ส่องเทรนด์ลงทุนโค้งสุดท้ายปี’67 “ผู้จัดการตลาดหุ้นคนใหม่” ชี้ความเชื่อมั่นตลาดหุ้นฟื้นต่อเนื่อง มั่นใจ Q4 มีแรงหนุนทั้งจากจีดีพี เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์-TESG แถมกระทรวงการคลังเตรียมงัดมาตรการภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โบรกฯวิเคราะห์ “เลือกตั้งสหรัฐ” เขย่าลงทุนทั่วโลกปั่นป่วนลุ้นฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพื่อพักเงิน ขณะที่สารพัดปัจจัยหนุนราคา “ทองคำขาขึ้น” ต่อ ลุ้นฝ่าแนวต้าน 2,700 เหรียญต่อออนซ์ ฟากทองในประเทศหวังเงินบาทอ่อน
สัญญาณหุ้นไทยโค้งสุดท้าย
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในไตรมาส 4/67 ต้องบอกว่า ปีนี้สัญญาณของประเทศไทยกำลังฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี พิจารณาจากการเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) ตั้งแต่ไตรมาส 1-3 เป็นทิศทางที่ขยายตัวดีขึ้นตามลำดับ รัฐบาลก็มีเสถียรภาพ และที่สำคัญภาครัฐยังมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย
ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) และกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งจะเริ่มเปิดซื้อขายวันแรกในตลาดหุ้นวันแรก 7 ต.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้ภาพตลาดหุ้นไทย โดยรวมจะปรับตัวในแง่ดีได้ต่อเนื่อง โดยจะเห็นว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยค่อนข้างมาก ในเดือน ก.ย. 2567 ซื้อสุทธิหุ้นไทยกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท
ประกอบกับมาตรการกำกับดูแลต่าง ๆ ที่ทยอยออกมาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ช่วยให้มีสภาพคล่องสูงขึ้น และสามารถเรียกความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทยกลับมาได้มากขึ้นด้วย
“อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ก็ย่อมจะมีผลกระทบต่อทั่วโลกไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เพราะเป็นประเด็นที่สร้างความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น อยากแนะนำนักลงทุนให้ติดตามข้อมูลและวิเคราะห์ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง”
งัดมาตรการภาษีกระตุ้นต่อ
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า ในช่วงปลายปีนี้ รัฐบาลได้เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในรูปแบบของมาตรการภาษีและการกระตุ้นใช้จ่าย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
“รัฐบาลมีอาวุธอยู่ในมือ ซึ่งเตรียมจะออกมาในช่วงปลายปีนี้ แต่จะเป็นรูปแบบไหนให้รอดู เรามีไทม์ไลน์ที่ชัดเจนแล้ว”
โดยเศรษฐกิจไทยปีนี้ มองว่ามีโอกาสเติบโตได้ใกล้เคียง 2.7% ซึ่งตามประมาณการนี้ได้ใส่ผลของเม็ดเงินจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการโอนเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเปราะบางลงไปแล้ว ที่มีผลต่อ GDP ปีนี้ให้เพิ่มขึ้นอีกราว 0.3% จากคาดการณ์เดิมที่ประมาณ 2.6% และคาดว่าจะส่งผลลากยาวไปต้นปีหน้าด้วย
ตลาดหุ้นไทยที่พักเงิน
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/2567 ที่ค่อนข้าง Outperform ตลาดหุ้นภูมิภาค โดยปรับขึ้นมาเกือบ 15% ทำให้ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 4/2567 อาจไม่ได้ปรับขึ้นร้อนแรง
ประเมิน SET Index คงเป็นลักษณะแกว่งไซด์เวย์อัพ มองกรอบการเคลื่อนไหวบริเวณแนวรับ 1,350 จุด และแนวต้านที่ 1,500 จุด ซึ่งจะเป็นจุดแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญ โดยประเมินเป้าดัชนี SET สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1,450 จุด
ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากแนวโน้ม “ดอกเบี้ยขาลง” ซึ่งตอนนี้หลายประเทศทั่วโลกได้มีการปรับลดดอกเบี้ยไปแล้ว และมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้ที่ระดับ 0.25% ในการประชุมวันที่ 18 ธ.ค. แม้ในเวลานี้ ธปท.ได้รับแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งหนี้ครัวเรือนสูง, เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ และเงินบาทแข็งค่า ซึ่ง 3 เรื่องนี้เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ ธปท.ต้องลดดอกเบี้ย แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินกองทุนประหยัดภาษีผ่านกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ที่ปีนี้มีการปรับเงื่อนไข จึงคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาในตลาดหุ้นช่วงไตรมาส 4 ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จะหนุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มี ESG Rating ระดับสูง ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้ทำให้จะเข้ามาช่วยพยุงการเคลื่อนไหวของดัชนี SET ได้
เลือกตั้งสหรัฐเขย่าลงทุน
นายณัฐพลกล่าวว่า ขณะที่ประเด็นสำคัญในไตรมาส 4 นี้คือ ในวันที่ 5 พ.ย. จะมีอีเวนต์ใหญ่เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดทุนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากความผันผวนของตลาดจะมีเม็ดเงินลงทุนบางส่วนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
อย่างเช่น ตลาดหุ้นไทยที่มีกองทุนวายุภักษ์เป็นตัวดึงดูด ประกอบภาพเศรษฐกิจไทยที่มีสัญญาณค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นในแต่ละไตรมาส จากที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบจากการแจกเงิน และการเบิกจ่ายงบประมาณที่ทำได้ต่อเนื่อง จึงมองตลาดหุ้นไทยจะเป็นที่พักเงินของนักลงทุน
ขณะที่ปัญหาความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ส่งผลให้ราคาทองคำปรับขึ้นแรง แต่ราคาน้ำมันไม่ได้ขยับขึ้นแรง เพราะโครงสร้างตลาดมีอุปทานส่วนเกินจากเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะชะลอตัวลง ดังนั้น ในช่วงไตรมาส 4 ราคาน้ำมันคงไม่ได้มีนัย
Q4 ต่างชาติเข้าหุ้นไทย 2-3 หมื่นล้าน
นายณัฐพลกล่าวว่า สำหรับสถานการณ์เงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) หากประเมินนับจากต้นปี (YTD) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1 แสนล้านบาท แต่มีบิ๊กลอต SCCC และ AWC ประมาณกว่า 4 หมื่นล้านบาท ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยราว 5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าน่าจะเห็นการที่นักลงทุนต่างชาติซื้อคืนหุ้นไทยกลับมาในช่วงไตรมาส 4 อย่างน้อย ๆ ประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท จากที่มีแรงดึงดูดเฉพาะตัว และจีดีพีมีพัฒนาการดีขึ้น คาดสิ้นปี GDP ไทยจะขยายตัว 2.8% ขณะที่กำไรต่อหุ้น (EPS) สิ้นปีอยู่ที่ 92 บาท
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ประเมินไว้ที่บริเวณ 1,600 จุด จากทิศทางจีดีพีไทยที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปี จากเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ จากมาตรการแจกเงินของรัฐบาลที่คงต่อเนื่องจากปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้า และเป็นปีที่การเบิกจ่ายงบประมาณได้ต่อเนื่อง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
3 ปัจจัยบวกหนุนหุ้นไทย Q4
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำหรับปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/2567 ที่หนุนให้ดัชนี SET ยืนได้ มาจาก 3 ปัจจัยหลักคือ
1.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่อาจจะมีมาตรการใหม่เพิ่มเติม 2.การลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดว่าปีนี้จะลด 2 ครั้งรวม 0.50% ในช่วงเดือน ต.ค.และเดือน ธ.ค. และ 3.แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่คาดว่าในไตรมาส 3/2567 จะออกมาเติบโต 23% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และในไตรมาส 4/2567 คาดว่ากำไร บจ.จะโต 15%
ขณะที่ปัจจัยลบกดดันดัชนี SET ยังคงต้องติดตามเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งมีส่วนสำคัญจากเรื่องของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทย และยังเป็นตลาดสำคัญในการส่งออกรถยนต์จากไทย
รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่ออกมาในรอบล่าสุด จะส่งผลให้ราคาบ้านหรือกำลังซื้อของคนในประเทศจีนฟื้นตัวได้ดีหรือไม่ แต่ก็ยังไม่เชื่อมากว่าจะทำได้มากขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม คาดหวังปัจจัยในประเทศน่าจะสนับสนุนให้ราคาหุ้นไม่ลงไปแรงได้
วายุภักษ์หนุนตลาดเดือน ต.ค.
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเริ่มเข้าลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ในเดือนตุลาคมนี้ บล.ทิสโก้มองว่าอย่างน้อยน่าจะช่วยหล่อเลี้ยงภาวะตลาดได้ในช่วงครึ่งเดือนแรก
แต่ในช่วงครึ่งเดือนหลัง คาดนักลงทุนจะหันมาโฟกัสการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ก่อนการเลือกตั้งสหรัฐในต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งปกติตลาดหุ้นสหรัฐมักจะปรับตัวลง 5-10% ในช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้งสหรัฐ
“ดังนั้น บล.ทิสโก้แนะนำนักลงทุนหาจังหวะทยอยขายทำรอบกำไรในช่วงครึ่งเดือนแรก รอย่อตัวซื้อคืนในช่วงครึ่งเดือนหลัง โดยคาดหวังตลาดหุ้นกลับมาขึ้นต่อ ในช่วงที่เหลือของปีนี้หลังการเลือกตั้งสหรัฐมีความชัดเจน หนุนกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าไทยต่อ ผสานกับเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีที่ปกติจะไหลเข้ามากสุดในช่วงปลายปีนี้ โดย บล.ทิสโก้มีเป้าหมาย SET Index เชิงกลยุทธ์สิ้นปีนี้ที่ 1,500-1,520 จุด”
TESG จ่อโปรโมตใหญ่ต้น พ.ย.นี้
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTAM) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4/67 เป็นช่วงที่นักลงทุนสนใจในการซื้อกองทุน Thailand ESG Fund (TESG) โดยเป็นกองทุนลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่รัฐบาลอนุมัติการปรับเกณฑ์ให้มีความน่าสนใจขึ้น จาก 100,000 บาทต่อปีภาษี เป็น 300,000 บาทต่อปีภาษี รวมทั้งลดเวลาถือครองหน่วยลงทุนเหลือไม่ต่ำกว่า 5 ปี จากเดิม 8 ปี
โดยฝั่งของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอยู่ระหว่างเตรียมโปรโมตแก่นักลงทุน ซึ่งอาจทำร่วมกันทั้งอุตสาหกรรมอีกครั้งเหมือนปีผ่านมา โดยคาดว่าจะโปรโมตเป็นช่วงต้นเดือน พ.ย.นี้ เพื่อทำให้นักลงทุนมีโอกาสซื้อได้มากขึ้น โดยคาดมีเม็ดเงินจาก TESG ตลอดทั้งปี’67 รวมประมาณ 30,000 ล้านบาท
ทองขาขึ้นลุ้น 2,700 เหรียญ
นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มราคาทองคำไตรมาส 4/67 ยังมีทิศทางเป็นขาขึ้น จากปัจจัยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% และมีทิศทางว่าจะลดอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงปัญหาความไม่สงบการทำสงครามในตะวันออกกลาง ที่ยังกังวลว่าอาจจะขยายวงกว้างขึ้น จึงเป็นปัจจัยหลักหนุนราคาทองคำ รวมถึงในช่วงเดือน พ.ย. 67 จะมีปัจจัยการเลือกตั้งในสหรัฐเพิ่มเข้ามา จะทำให้ราคาทองคำมีทิศทางแกว่งตัวที่ชัดเจนขึ้น
“สำหรับการลงทุนmทอง มองเป็นขาขึ้นระยะยาว ดังนั้น มองว่าหากราคาย่อลงสามารถทยอยเข้าซื้อได้ โดยเฉพาะราคาทองคำในประเทศที่ได้ปัจจัยในเรื่องค่าเงินที่แข็งค่าจะสามารถเข้าซื้อทองคำในราคาที่ถูก” นายธนรัชต์กล่าว
สารพัดปัจจัยดัน “ราคาทอง”
ด้านนางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG เปิดเผยว่า ในระยะสั้นราคาทองคำที่ปรับขึ้นได้เร็ว อาจมีแรงขายทำกำไร ส่วนระยะยาวราคาทองคำยังขึ้นได้ต่อ โดยประเมินแนวรับ 2,600 เหรียญสหรัฐ แนวต้าน 2,700 เหรียญสหรัฐ
ซึ่งหากราคาสามารถทะลุได้ แนวต้านถัดไปอยู่ที่ 3,000 เหรียญสหรัฐ แต่ยังไม่มั่นใจว่าปีนี้ ‘67 จะทะลุได้หรือไม่ โดยปีนี้ราคาทองคำทำ New High ที่ 2,686 เหรียญสหรัฐ จึงมองว่า 2,700 เหรียญสหรัฐ มีโอกาสที่จะได้เห็นในเร็ว ๆ นี้
นางสาวฐิภากล่าวว่า สำหรับราคาทองคำในประเทศ ประเมินกรอบแนวรับ 40,500 บาท แนวต้าน 42,100 บาท และมีแนวต้านถัดไปที่ 46,500 บาท (หากทองโลกทะลุ 2,700 เหรียญ) ส่วนปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาทองคำในประเทศค่อนข้างสูงคือ “ค่าเงินบาท” ถือว่ามีนัยกับราคาทองในประเทศค่อนข้างมาก ช่วงค่าเงินบาทผันผวนแข็งค่าก็แนะนำซื้อ เนื่องจากต้นปีที่ผ่านมาเงินบาทอยู่ถึงระดับ 37 บาท/ดอลลาร์
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปี 2567 ราคาทองคำปรับขึ้นมาค่อนข้างสูงมาก จากต้นปีทองคำโลกอยู่ที่ประมาณ 1,800 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.77% ขณะที่ทองในประเทศเพิ่มขึ้น 23.70% และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 3.87%
“นอกจากนี้ทุกครั้งที่ราคาทองคำขึ้นสูงทำ New High จะเห็นราคาทองคำย่อลงมาประมาณ 100 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นแรงเทขายทำกำไร แนะนำนักลงทุนเข้าซื้อ ยังมองภาพรวมเป็นขาขึ้น โดยควรมีสินทรัพย์ทองคำ 10% ของพอร์ต”...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1667913
“เลือกตั้งสหรัฐ” ป่วนลงทุน Q4 หุ้นไทยลุ้นเงินไหลเข้า-ทองขาขึ้นยาว
สัญญาณหุ้นไทยโค้งสุดท้าย
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในไตรมาส 4/67 ต้องบอกว่า ปีนี้สัญญาณของประเทศไทยกำลังฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี พิจารณาจากการเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) ตั้งแต่ไตรมาส 1-3 เป็นทิศทางที่ขยายตัวดีขึ้นตามลำดับ รัฐบาลก็มีเสถียรภาพ และที่สำคัญภาครัฐยังมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย
ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) และกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งจะเริ่มเปิดซื้อขายวันแรกในตลาดหุ้นวันแรก 7 ต.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้ภาพตลาดหุ้นไทย โดยรวมจะปรับตัวในแง่ดีได้ต่อเนื่อง โดยจะเห็นว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยค่อนข้างมาก ในเดือน ก.ย. 2567 ซื้อสุทธิหุ้นไทยกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท
ประกอบกับมาตรการกำกับดูแลต่าง ๆ ที่ทยอยออกมาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ช่วยให้มีสภาพคล่องสูงขึ้น และสามารถเรียกความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทยกลับมาได้มากขึ้นด้วย
“อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ก็ย่อมจะมีผลกระทบต่อทั่วโลกไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เพราะเป็นประเด็นที่สร้างความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น อยากแนะนำนักลงทุนให้ติดตามข้อมูลและวิเคราะห์ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง”
งัดมาตรการภาษีกระตุ้นต่อ
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า ในช่วงปลายปีนี้ รัฐบาลได้เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในรูปแบบของมาตรการภาษีและการกระตุ้นใช้จ่าย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
“รัฐบาลมีอาวุธอยู่ในมือ ซึ่งเตรียมจะออกมาในช่วงปลายปีนี้ แต่จะเป็นรูปแบบไหนให้รอดู เรามีไทม์ไลน์ที่ชัดเจนแล้ว”
โดยเศรษฐกิจไทยปีนี้ มองว่ามีโอกาสเติบโตได้ใกล้เคียง 2.7% ซึ่งตามประมาณการนี้ได้ใส่ผลของเม็ดเงินจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการโอนเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเปราะบางลงไปแล้ว ที่มีผลต่อ GDP ปีนี้ให้เพิ่มขึ้นอีกราว 0.3% จากคาดการณ์เดิมที่ประมาณ 2.6% และคาดว่าจะส่งผลลากยาวไปต้นปีหน้าด้วย
ตลาดหุ้นไทยที่พักเงิน
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/2567 ที่ค่อนข้าง Outperform ตลาดหุ้นภูมิภาค โดยปรับขึ้นมาเกือบ 15% ทำให้ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 4/2567 อาจไม่ได้ปรับขึ้นร้อนแรง
ประเมิน SET Index คงเป็นลักษณะแกว่งไซด์เวย์อัพ มองกรอบการเคลื่อนไหวบริเวณแนวรับ 1,350 จุด และแนวต้านที่ 1,500 จุด ซึ่งจะเป็นจุดแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญ โดยประเมินเป้าดัชนี SET สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1,450 จุด
ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากแนวโน้ม “ดอกเบี้ยขาลง” ซึ่งตอนนี้หลายประเทศทั่วโลกได้มีการปรับลดดอกเบี้ยไปแล้ว และมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้ที่ระดับ 0.25% ในการประชุมวันที่ 18 ธ.ค. แม้ในเวลานี้ ธปท.ได้รับแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งหนี้ครัวเรือนสูง, เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ และเงินบาทแข็งค่า ซึ่ง 3 เรื่องนี้เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ ธปท.ต้องลดดอกเบี้ย แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินกองทุนประหยัดภาษีผ่านกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ที่ปีนี้มีการปรับเงื่อนไข จึงคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาในตลาดหุ้นช่วงไตรมาส 4 ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จะหนุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มี ESG Rating ระดับสูง ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้ทำให้จะเข้ามาช่วยพยุงการเคลื่อนไหวของดัชนี SET ได้
เลือกตั้งสหรัฐเขย่าลงทุน
นายณัฐพลกล่าวว่า ขณะที่ประเด็นสำคัญในไตรมาส 4 นี้คือ ในวันที่ 5 พ.ย. จะมีอีเวนต์ใหญ่เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดทุนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากความผันผวนของตลาดจะมีเม็ดเงินลงทุนบางส่วนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
อย่างเช่น ตลาดหุ้นไทยที่มีกองทุนวายุภักษ์เป็นตัวดึงดูด ประกอบภาพเศรษฐกิจไทยที่มีสัญญาณค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นในแต่ละไตรมาส จากที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบจากการแจกเงิน และการเบิกจ่ายงบประมาณที่ทำได้ต่อเนื่อง จึงมองตลาดหุ้นไทยจะเป็นที่พักเงินของนักลงทุน
ขณะที่ปัญหาความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ส่งผลให้ราคาทองคำปรับขึ้นแรง แต่ราคาน้ำมันไม่ได้ขยับขึ้นแรง เพราะโครงสร้างตลาดมีอุปทานส่วนเกินจากเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะชะลอตัวลง ดังนั้น ในช่วงไตรมาส 4 ราคาน้ำมันคงไม่ได้มีนัย
Q4 ต่างชาติเข้าหุ้นไทย 2-3 หมื่นล้าน
นายณัฐพลกล่าวว่า สำหรับสถานการณ์เงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) หากประเมินนับจากต้นปี (YTD) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1 แสนล้านบาท แต่มีบิ๊กลอต SCCC และ AWC ประมาณกว่า 4 หมื่นล้านบาท ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยราว 5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าน่าจะเห็นการที่นักลงทุนต่างชาติซื้อคืนหุ้นไทยกลับมาในช่วงไตรมาส 4 อย่างน้อย ๆ ประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท จากที่มีแรงดึงดูดเฉพาะตัว และจีดีพีมีพัฒนาการดีขึ้น คาดสิ้นปี GDP ไทยจะขยายตัว 2.8% ขณะที่กำไรต่อหุ้น (EPS) สิ้นปีอยู่ที่ 92 บาท
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ประเมินไว้ที่บริเวณ 1,600 จุด จากทิศทางจีดีพีไทยที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปี จากเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ จากมาตรการแจกเงินของรัฐบาลที่คงต่อเนื่องจากปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้า และเป็นปีที่การเบิกจ่ายงบประมาณได้ต่อเนื่อง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
3 ปัจจัยบวกหนุนหุ้นไทย Q4
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำหรับปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/2567 ที่หนุนให้ดัชนี SET ยืนได้ มาจาก 3 ปัจจัยหลักคือ
1.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่อาจจะมีมาตรการใหม่เพิ่มเติม 2.การลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดว่าปีนี้จะลด 2 ครั้งรวม 0.50% ในช่วงเดือน ต.ค.และเดือน ธ.ค. และ 3.แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่คาดว่าในไตรมาส 3/2567 จะออกมาเติบโต 23% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และในไตรมาส 4/2567 คาดว่ากำไร บจ.จะโต 15%
ขณะที่ปัจจัยลบกดดันดัชนี SET ยังคงต้องติดตามเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งมีส่วนสำคัญจากเรื่องของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทย และยังเป็นตลาดสำคัญในการส่งออกรถยนต์จากไทย
รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่ออกมาในรอบล่าสุด จะส่งผลให้ราคาบ้านหรือกำลังซื้อของคนในประเทศจีนฟื้นตัวได้ดีหรือไม่ แต่ก็ยังไม่เชื่อมากว่าจะทำได้มากขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม คาดหวังปัจจัยในประเทศน่าจะสนับสนุนให้ราคาหุ้นไม่ลงไปแรงได้
วายุภักษ์หนุนตลาดเดือน ต.ค.
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเริ่มเข้าลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ในเดือนตุลาคมนี้ บล.ทิสโก้มองว่าอย่างน้อยน่าจะช่วยหล่อเลี้ยงภาวะตลาดได้ในช่วงครึ่งเดือนแรก
แต่ในช่วงครึ่งเดือนหลัง คาดนักลงทุนจะหันมาโฟกัสการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ก่อนการเลือกตั้งสหรัฐในต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งปกติตลาดหุ้นสหรัฐมักจะปรับตัวลง 5-10% ในช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้งสหรัฐ
“ดังนั้น บล.ทิสโก้แนะนำนักลงทุนหาจังหวะทยอยขายทำรอบกำไรในช่วงครึ่งเดือนแรก รอย่อตัวซื้อคืนในช่วงครึ่งเดือนหลัง โดยคาดหวังตลาดหุ้นกลับมาขึ้นต่อ ในช่วงที่เหลือของปีนี้หลังการเลือกตั้งสหรัฐมีความชัดเจน หนุนกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าไทยต่อ ผสานกับเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีที่ปกติจะไหลเข้ามากสุดในช่วงปลายปีนี้ โดย บล.ทิสโก้มีเป้าหมาย SET Index เชิงกลยุทธ์สิ้นปีนี้ที่ 1,500-1,520 จุด”
TESG จ่อโปรโมตใหญ่ต้น พ.ย.นี้
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTAM) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4/67 เป็นช่วงที่นักลงทุนสนใจในการซื้อกองทุน Thailand ESG Fund (TESG) โดยเป็นกองทุนลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่รัฐบาลอนุมัติการปรับเกณฑ์ให้มีความน่าสนใจขึ้น จาก 100,000 บาทต่อปีภาษี เป็น 300,000 บาทต่อปีภาษี รวมทั้งลดเวลาถือครองหน่วยลงทุนเหลือไม่ต่ำกว่า 5 ปี จากเดิม 8 ปี
โดยฝั่งของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอยู่ระหว่างเตรียมโปรโมตแก่นักลงทุน ซึ่งอาจทำร่วมกันทั้งอุตสาหกรรมอีกครั้งเหมือนปีผ่านมา โดยคาดว่าจะโปรโมตเป็นช่วงต้นเดือน พ.ย.นี้ เพื่อทำให้นักลงทุนมีโอกาสซื้อได้มากขึ้น โดยคาดมีเม็ดเงินจาก TESG ตลอดทั้งปี’67 รวมประมาณ 30,000 ล้านบาท
ทองขาขึ้นลุ้น 2,700 เหรียญ
นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มราคาทองคำไตรมาส 4/67 ยังมีทิศทางเป็นขาขึ้น จากปัจจัยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% และมีทิศทางว่าจะลดอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงปัญหาความไม่สงบการทำสงครามในตะวันออกกลาง ที่ยังกังวลว่าอาจจะขยายวงกว้างขึ้น จึงเป็นปัจจัยหลักหนุนราคาทองคำ รวมถึงในช่วงเดือน พ.ย. 67 จะมีปัจจัยการเลือกตั้งในสหรัฐเพิ่มเข้ามา จะทำให้ราคาทองคำมีทิศทางแกว่งตัวที่ชัดเจนขึ้น
“สำหรับการลงทุนmทอง มองเป็นขาขึ้นระยะยาว ดังนั้น มองว่าหากราคาย่อลงสามารถทยอยเข้าซื้อได้ โดยเฉพาะราคาทองคำในประเทศที่ได้ปัจจัยในเรื่องค่าเงินที่แข็งค่าจะสามารถเข้าซื้อทองคำในราคาที่ถูก” นายธนรัชต์กล่าว
สารพัดปัจจัยดัน “ราคาทอง”
ด้านนางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG เปิดเผยว่า ในระยะสั้นราคาทองคำที่ปรับขึ้นได้เร็ว อาจมีแรงขายทำกำไร ส่วนระยะยาวราคาทองคำยังขึ้นได้ต่อ โดยประเมินแนวรับ 2,600 เหรียญสหรัฐ แนวต้าน 2,700 เหรียญสหรัฐ
ซึ่งหากราคาสามารถทะลุได้ แนวต้านถัดไปอยู่ที่ 3,000 เหรียญสหรัฐ แต่ยังไม่มั่นใจว่าปีนี้ ‘67 จะทะลุได้หรือไม่ โดยปีนี้ราคาทองคำทำ New High ที่ 2,686 เหรียญสหรัฐ จึงมองว่า 2,700 เหรียญสหรัฐ มีโอกาสที่จะได้เห็นในเร็ว ๆ นี้
นางสาวฐิภากล่าวว่า สำหรับราคาทองคำในประเทศ ประเมินกรอบแนวรับ 40,500 บาท แนวต้าน 42,100 บาท และมีแนวต้านถัดไปที่ 46,500 บาท (หากทองโลกทะลุ 2,700 เหรียญ) ส่วนปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาทองคำในประเทศค่อนข้างสูงคือ “ค่าเงินบาท” ถือว่ามีนัยกับราคาทองในประเทศค่อนข้างมาก ช่วงค่าเงินบาทผันผวนแข็งค่าก็แนะนำซื้อ เนื่องจากต้นปีที่ผ่านมาเงินบาทอยู่ถึงระดับ 37 บาท/ดอลลาร์
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปี 2567 ราคาทองคำปรับขึ้นมาค่อนข้างสูงมาก จากต้นปีทองคำโลกอยู่ที่ประมาณ 1,800 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.77% ขณะที่ทองในประเทศเพิ่มขึ้น 23.70% และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 3.87%
“นอกจากนี้ทุกครั้งที่ราคาทองคำขึ้นสูงทำ New High จะเห็นราคาทองคำย่อลงมาประมาณ 100 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นแรงเทขายทำกำไร แนะนำนักลงทุนเข้าซื้อ ยังมองภาพรวมเป็นขาขึ้น โดยควรมีสินทรัพย์ทองคำ 10% ของพอร์ต”...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1667913