KEY POINTS
ตลท. กลับไปใช้เกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ตามปกติ ทั้ง Ceiling & Floor 30% และ Dynamic Price Band 10% มีผล 16 เม.ย.นี้ หลังเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์เริ่มคลี่คลายลง
ออก 2 มาตรการใหม่ ดูแลความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ และการสร้างเสถียรภาพตลาดหุ้นไทย “ให้กลับมาขายชอร์ตได้เฉพาะหุ้น SET100 มีผล 16 เม.ย.นี้ และการซื้อขายหุ้นของกลุ่ม HFT ทำได้เฉพาะหุ้นกลุ่ม SET100 คาดเริ่ม พ.ค.นี้” หลังสิ้นสุดมาตรการชั่วคราว
บอร์ด ก.ล.ต. เห็นชอบปรับเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยยกเลิกการขายชอร์ตหุ้นในกลุ่ม non-SET100 Index เพื่อสร้างเสถียรภาพของตลาดโดยรวม
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่า เนื่องด้วยเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ได้เริ่มคลี่คลายลงแล้ว ดังนั้น หลังจากสิ้นสุดมาตรการชั่วคราว ซึ่งได้มีผลใช้บังคับในช่วงระหว่างวันที่ 8-11 เม.ย.2568 ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ บมจ. ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) หรือ TFEX จะกลับไปใช้เกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย.2568 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็น ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ TFEX ก็พร้อมที่จะพิจารณาทบทวนปรับใช้เกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์
อย่างไรก็ดี แม้มาตรการชั่วคราวดังกล่าวข้างต้นจะสิ้นสุดลง แต่เพื่อให้การดูแลความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ และการสร้างเสถียรภาพตลาดหุ้นไทยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เห็นชอบให้มีมาตรการใหม่เพิ่มเติมอีก 2 มาตรการ ดังนี้
1) กำหนดหุ้นที่อนุญาตให้ขายชอร์ตได้ เป็นเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับทันที ตั้งแต่ 16 เม.ย.2568 เป็นต้นไป โดยได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. แล้ว ทั้งนี้ การขายชอร์ตหลักทรัพย์ดังกล่าว ยังคงต้องเป็นไปตามเกณฑ์ uptick คือให้ใช้ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย
2) กำหนดให้การซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุนกลุ่ม HFT จำกัดอยู่เพียงเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 เพื่อลดความผันผวนของหุ้นขนาดกลางและเล็ก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ภายในเดือน พ.ค.นี้ หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อม
นอกจากนี้ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้เห็นชอบให้คงมาตรการ Minimum Resting Time (MRT) ต่อไป เพื่อป้องกันการใส่ถอนคำสั่งซื้อขายที่รวดเร็วเกินไปอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ในการประชุมคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (คณะกรรมการ ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2568 คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีมติเห็นชอบการปรับปรุงเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อยกระดับการกำกับดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการซื้อขายหลักทรัพย์ ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอ ในส่วนของมาตรการกำกับดูแลการขายชอร์ต โดยยกเลิกการขายชอร์ตเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Non-SET100 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย.2568
ทั้งนี้ การขายชอร์ตดังกล่าวยังต้องใช้มาตรการ Uptick หรือให้ขายชอร์ตได้ในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย จนกว่าจะมีการทบทวนมาตรการต่อไป
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า การเห็นชอบการปรับปรุงเกณฑ์
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้มีกลไกในการลดความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ขนาดกลางและขนาดเล็กที่ไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขายอย่างเพียงพอ รวมทั้งจะช่วยให้ตลาดมีเสถียรภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับตลาดทุนโดยรวม นอกจากนี้ ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะร่วมกันติดตามสถานการณ์และประเมินผลของการใช้มาตรการดังกล่าวต่อไป
ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกมาบวกปิดท้ายสัปดาห์ หลังเฟดกระตุ้นเชื่อมั่น
ตลาดหุ้นสหรัฐ พลิกกลับมาปิดสูงขึ้นเมื่อวันศุกร์ ธนาคารขนาดใหญ่เริ่มต้นประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก หลังความปั่นป่วนจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ดัชนีหลักทั้งสามแห่งของสหรัฐฯ ปิดท้ายเซสชั่นที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากได้รับคำรับรองจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ ซูซาน คอลลินส์ ว่าเฟดพร้อมที่จะใช้นโยบายการเงินต่อไปได้หากจำเป็น
ดัชนีทั้งสามปิดสูงขึ้นจากการปิดวันศุกร์ที่แล้ว หุ้นได้รับผลกระทบตลอดทั้งสัปดาห์โดยการยกเว้นภาษีสินค้ายุโรปและการเพิ่มขึ้นของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน สัญญาณหนึ่งของความผันผวน: ความแตกต่างระหว่างจุดสูงสุดรายสัปดาห์และต่ำสุดประจำสัปดาห์ของ S&P500 นั้นกว้างที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกถูกล็อคในช่วงที่มีการระบาดใหญ่
S&P 500 และ Dow มีเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นรายสัปดาห์สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ในขณะที่ Nasdaq มีสถิติเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022
ระยะเวลาการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกเริ่มต้นได้อย่างแข็งแกร่ง JPMorgan Chase, Morgan Stanley, Wells Fargo ทั้งหมดรายงานผลกำไรที่ดีเกินคาด แต่คำเตือนถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากข้อพิพาททางการค้าทำให้ความกระตือรือร้นของภาคส่วนนี้ลดลง
ปัจจุบันนักวิเคราะห์คาดว่าการเติบโตของกำไรรวมของ S&P 500 ที่ 8.0% ในช่วงสามเดือนแรกของปี ซึ่งเป็นแง่ดีน้อยกว่าการเติบโต 12.2% ที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นไตรมาส ตามข้อมูล LSEG
ข้อมูลทางเศรษฐกิจยังคงแสดงว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงเย็นลง โดยดัชนีราคาผู้ผลิตของกระทรวงแรงงานลดลงอย่างไม่คาดคิด 0.4% เมื่อเดือนที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในรายงานที่แยกออกมา ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับแย่ลงไปอีก การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อหนึ่งปีพุ่งสูงถึง 6.7% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1981
นอกจากนี้ จอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐแห่งนิวยอร์กกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้เข้าสู่ช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสูงและการเติบโตต่ำ และธนาคารกลางสหรัฐฯ จะดำเนินการเพื่อควบคุมสิ่งที่เรียกว่า "ภาวะเงินเฟ้อติดลบ"
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) เพิ่มขึ้น 619.05 จุด หรือ 1.56% เป็น 40,212.71 จุด
ส่วน S&P 500 (.SPX) เพิ่มขึ้น 95.31 จุด หรือ 1.81% เป็น 5,363.36 จุด
และ Nasdaq Composite (.IXIC) เพิ่มขึ้น 337.15 จุด หรือ 2.06% เป็น 16,724.46
จุด
ราคาน้ำมันดิบเบรนต์และเวสต์เท็กซัส พุ่งขึ้นมากกว่า 1 ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ หลังจากที่คริส ไรท์ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ กล่าวว่าสหรัฐฯ อาจยุติการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะทำให้อิหร่านบรรลุข้อตกลงในโครงการนิวเคลียร์
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์สปิดที่ 64.76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.43 ดอลลาร์ หรือ 2.26%
ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate ของสหรัฐปิดที่ 61.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.43 ดอลลาร์หรือ 2.38%
ทองคำพุ่งทะลุระดับ 3,200 ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ โดยค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรง กระตุ้นให้เกิดความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้นักลงทุนแห่กันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย
ราคาทองสปอตเพิ่มขึ้นเกือบ 2% อยู่ที่ 3,235.89 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $3,245.28 ในช่วงต้นเซสชั่น ทองคำแท่งขึ้นมากกว่า 6% ในสัปดาห์นี้
ราคาทองคำล่วงหน้าของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2.1% สู่ระดับ 3,244.6 ดอลลาร์
ตลท. ให้กลับมาขายชอร์ตได้เฉพาะหุ้น SET100 มีผล 16 เม.ย.นี้ และ ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกมาบวกปิดท้ายสัปดาห์