ลูกชายสหายภูชนะ-สหายกาสะลอง ร้อง DSI รับเป็นคดีพิเศษ หลังพ่อถูกอุ้มฆ่า คดีไม่คืบ
https://prachatai.com/journal/2024/09/110881
ลูกชายสหายภูชนะ-สหายกาสะลอง เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง DSI ขอให้รับคดีพ่อถูกสังหารโหดหายจับยัดกระสอบทิ้งแม่น้ำโขง เมื่อปี 2561 เป็นคดีพิเศษ ปัจจุบันคดียังไม่มีความคืบหน้า
30 ก.ย. 2567 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมรายงาน เวลา 09.00 น. ณ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) บุตรชายสหาย
ภูชนะ หรือ
ชัชชาญ บุปผาวัลย์ และบุตรชาย
สหายกาสะลอง หรือ
ไกรเดช ลือเลิศ พร้อมด้วยทนายความมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เดินทางไปยื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับเป็นคดีพิเศษและดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ 2565
(พ.ร.บ.ทรมาน-อุ้มกายฯ) กรณีที่บุคคลทั้งสองถูกพบเป็นศพบริเวณริมแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม เมื่อปี 2561
เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2561 มีชาวบ้านที่บริเวณริมแม่น้ำโขง ม.2 ต.ธาตุพนม อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ได้พบศพชายไม่ทราบชื่อ โดยสภาพศพถูกห่อด้วยกระสอบป่านเย็บติด 2-3 กระสอบแล้วหุ้มด้วยตาข่าย นอกจากนี้ยังถูกใส่กุญแจมือไขว้ไว้ด้านหน้า ลำคอถูกรัดด้วยเชือกป่าน ใบหน้าถูกทุบด้วยของแข็งและบริเวณท้องถูกเปิดตามแนวยาวตั้งแต่ลิ้นปี่จนถึงหัวหน่าว อวัยวะภายในบ้างส่วนหายไป และพบว่าท้องถูกยัดด้วยเสาปูนยาวประมาณ 1 เมตร ต่อมาพิสูจน์ทราบว่าศพดังกล่าวคือ
ไกรเดช ลือเลิศ และ
ชัชชาญ บุปผาวัลย์ ถูกฆาตกรรมในลักษณะเช่นเดียวกัน ปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินคดีเพื่อนำผู้กระทำความผิดที่แท้จริงมาลงโทษ และยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
อีกทั้งการฆาตกรรมในลักษณะห่อศพด้วยกระสอบป่านเย็บติด 2-3 กระสอบแล้วหุ้มด้วยตาข่าย นอกจากนี้ยังถูกใส่กุญแจมือไขว้ไว้ด้านหน้า ลำคอถูกรัดด้วยเชือกป่าน ใบหน้าถูกทุบด้วยของแข็งและบริเวณท้องถูกเปิดตามแนวยาวตั้งแต่ลิ้นปี่จนถึงหัวหน่าว อวัยวะภายในบ้างส่วนหายไป ท้องถูกยัดด้วยเสาปูนยาวประมาณ 1 เมตร เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน ทารุณโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
กรณีการบังคับให้สูญหายและต่อมาพบเป็นศพดังกล่าว มีรูปแบบการกระทำที่ต้องอาศัยบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในการทรมานและฆาตกรรมอย่างทารุณโหดร้าย และทำลายศพเพื่อให้ได้รับความอับอาย อีกทั้งการฆาตกรรมดังกล่าวเป็นการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ปิดลับ จึงอาจเกิดจากผู้มีอิทธิพลที่มีอำนาจในการอำพรางศพ ทำให้เชื่อได้ว่าการต่อสู้เรียกร้องในประเด็นทางการเมืองของบุคคลทั้งสองที่ถูกพบศพ เป็นเหตุให้ผู้มีอำนาจหวาดกลัว จึงได้ดำเนินการอุ้มและฆ่าอย่างทารุณโหดร้าย
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอเชิญสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจ ร่วมติดตามการยื่นหนังสือของบุตรชายทั้งสองของสหายภูชนะ และสหายกาสะลอง ในวันและเวลาดังกล่าว เพื่อร่วมยืนหยัดเคียงข้างทั้งสองครอบครัว รวมถึงทุกครอบครัวของผู้ถูกบังคับให้สูญหายในการเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรม และเพื่อให้มั่นใจได้ว่าครอบครัวทั้งสองจะทราบตัวผู้กระทำความผิดและสามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ในที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้กับบุคคลใดได้อีก
นันทนา จี้ รมว.พณ.จัดการ Temu พิชัยแจงยิบ ต้นเหตุจากโควิด ตำหนิแบงก์ชาติกลางสภาสูง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4819018
‘นันทนา’ จี้ถาม ‘รมว.พณ.’ จัดการแอพพ์ Temu จากจีน 5 ข้อ หวังช่วย SMEs ด้าน ‘พิชัย’ ชี้สินค้าจีนแทรกแค่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุเกิดจากโควิด ตำหนิ ‘แบงก์ชาติ’ ต้องเป็นหลักช่วยฟื้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่คลังกับรัฐ ยันจับตาใกล้ชิด ไม่ปล่อยผ่านสินค้าจีนไร้มาตรฐานเข้าประเทศ
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30 กันยายน ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มี นาย
มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามเป็นหนังสือของ น.ส.
นันทนา นันทวโรภาส ส.ว. ถาม นาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เรื่อง ขอให้รัฐบาลเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาหารครอบงำของอีคอมเมิร์ซข้ามชาติ เพื่อปกป้องผู้ประกอบการ SMEs ในไทยว่า แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหญ่ข้ามชาติที่เข้ามาในประเทศไทยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเอสเอ็มอีไทย ซึ่งแพลตฟอร์มล่าสุดคือทีมู (Temu) ประเทศจีน ที่ขายสินค้าทุกชนิดด้วยราคาต่ำมาก โดยใช้วิธีตัดพ่อค้าคนกลางออกไปทำให้ทีมูประสบความสำเร็จทั้งในอเมริกาและยุโรปอย่างรวดเร็ว โดยใช้วิธีลดต้นทุนเพื่อให้ต่ำที่สุด ขณะเดียวกันคนที่ซื้อสินค้าราคาถูกเหล่านี้ก็อาจได้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ หรือใกล้หมดอายุ มีสารปนเปื้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือใช้ไม่ได้จริง ที่เราเรียกว่า “
ไม่ตรงปก” เมื่อสินค้าขายไม่ได้ก็กลายเป็นขยะที่กำลังมีปัญหาอยู่ทุกวันนี้
น.ส.
นันทนากล่าวต่อว่า ที่สำคัญพ่อค้าแม่ค้าไทยได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เนื่องจากผู้บริโภคสั่งซื้อตรงจากโรงงานที่ผลิตในประเทศจีนผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว และประเทศไทยขาดดุลการค้ากับประเทศจีนติดต่อกันมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยเรื่อยโดยใน 6 เดือนแรกของปี 2567 มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 7.12% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกันคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.33 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจากจีนเพิ่มขึ้น 15.66 %
“
ก่อนหน้านี้เห็นข่าวว่ารัฐมนตรีขอความร่วมมือผ่านทางทูตให้ทางทีมูมาจดทะเบียนและมาตั้งบริษัทในไทย ก็เอาใจช่วยว่าจะทำได้จริง เพราะขนาดเกาหลีใต้สามารถทำให้ทีมูมาจดทะเบียนในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา แต่เมื่อไปตรวจสอบพบว่าสถานที่ตั้งไม่พบว่ามีผู้บริหาร มีเพียงป้ายที่แสดงสัญลักษณ์ของบริษัททีมูอยู่เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายรัฐมนตรีที่ไปชวนเขามาตั้งบริษัท ขณะที่กิจกรรมไลฟ์คอมเมิร์ซไทย-จีนที่ดึงอินฟลูเอนเซอร์ช่วยขายสินค้าไทยที่คาดว่า 5 วันจะทะลุพันล้านบาท ดูตัวเลขแล้วน่าทึ่ง แต่เทียบไม่ได้กับยอดที่ไทยขาดดุลจีน ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาที่ฉาบฉวย” น.ส.
นันทนาระบุ
น.ส.
นันทนากล่าวต่อว่า ขอตั้งคำถามต่อกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้เอสเอ็มอีได้เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ 5 ข้อคือ 1.มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบงำจากอีคอมเมิร์ซข้ามชาติอย่างไร 2.มีมาตรการในการสนับสนุนเยียวยา SMES ในไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างไร 3.มีมาตรการในการจัดการกับปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพ อันเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคที่จะเข้ามาตามแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติอย่างไร 4.มีแผนยุทธศาสตร์อย่างไรในการแก้ไขการขาดดุลการค้าไทยจีน และ 5.ประเทศไทยจะร่วมมือกับอาเซียนอย่างไรในการจัดการกับปัญหานี้
ด้านนาย
พิชัย รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า ไทยมีความจำเป็นต้องพึ่งพาจีนเพราะเป็นตลาดใหญ่ หากเจรจาต่อรองขายของในจีนจะได้ประโยชน์เยอะ ซึ่งได้เชิญเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเข้าหารือหลังรับตำแหน่งรัฐมนตรี จีนยืนยันว่าพร้อมให้ความร่วมมือกับไทยทุกอย่าง โดยเรื่องแรกๆ ที่จะทำคือต้องให้สินค้าจีนมีมาตรฐาน เช่น ผ่าน มอก. อย. และมีป้ายติดชัดเจน ซึ่งจีนยืนยันว่าพร้อมปฏิบัติตามกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด และส่วนตัวจะไม่ยอมเด็ดขาดหากมีการขายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ จีนยังยืนยันที่จะลงทุนในไทยเพิ่ม แต่สิ่งสำคัญที่สนใจต่างชาติคืออยากให้มีเทคโนโลยีที่สูงมาลงทุนในไทยมากขึ้น
นาย
พิชัยยังกล่าวถึงกรณีแพลตฟอร์ม Temu สัญชาติจีนว่า ถ้ามาตั้งที่ไทยจริงก็ต้องผ่านมาตรฐานต่างๆ และจะติดตามมอนิเตอร์สินค้าจีนที่เข้ามาอย่างใกล้ชิด ยืนยันว่าไม่นิ่งนอนใจ มีมาตรการให้ความช่วยเหลือ SMEs ทั้งสร้าง SMEs รุ่นใหม่ที่มีความสามารถ และการแก้ไขปัญหา SMEs ต้องบูรณาการทุกกระทรวง ต้องดูเรื่องหนี้สินของ SMEs เพราะปัจจุบันหนี้เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จะยากต่อการเดินหน้าต่อ โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต้องร่วมมือกัน แก้ไขปัญหาในภาพรวม เพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้
นาย
พิชัยกล่าวว่า สินค้าจีนมาแทรกแซง SMEs เป็นส่วนหนึ่งที่อาจจะเป็นปลายเหตุ แต่ต้นเหตุที่เกิดปัญหามาจากโควิด-19 ซึ่งการตัดหนี้ก็เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้น จึงอยากให้ ธปท.มองว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งในต่างประเทศเป็นเรื่องปกติที่ต้องช่วยเหลือกัน กระทรวงการคลังร่วมมือกับ ธปท. แต่ ธปท.เรายังไม่ยอมลดดอกเบี้ย พอตนออกมาตำหนิ ธปท.คนก็มาตำหนิตน
“
ผมยืนยันไม่ได้ด่าแบงก์ชาติ แต่ถ้าเศรษฐกิจแย่ขนาดนี้ จะต้องออกมาตรการช่วยเหลือให้ฟื้น เหมือนประเทศจีนออกแพคเกจใหญ่มาช่วย แต่ 10 ปีแบงก์ชาติไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งที่มีหน้าที่ช่วยเศรษฐกิจด้วย ไม่ใช่เพียงกระทรวงการคลัง หรือรัฐบาลมีหน้าที่อย่างเดียว แต่ทั้งโลกแบงก์ชาติมีหน้าที่ฟื้นเศรษฐกิจ อย่างสหรัฐหากมีปัญหาก็อัดเงิน จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้น
ผมยืนยันว่าไม่อยากทะเลาะกับใคร หรือข้องใจกับใคร บางครั้งอาจพูดแรงไปบ้าง เพราะรู้ถึงความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งหอการค้า ภาคอุตสาหกรรม โทรมาบอกว่ามันจะเจ๊งกันอยู่แล้ว มาเจอโควิด-19 ดอกเบี้ยแพงหลายเรื่อง เราพยายามแก้ทุกทาง แต่ต้องแก้ภาพรวมทั้งหมดด้วย เราอยากแก้ทุกอย่างพร้อมกัน ร่วมมือกันทุกฝ่าย ที่ผ่านมาถือเป็นวิกฤต ทำอย่างไรให้ฝ่าวิกฤตไปให้ได้” นาย
พิชัยกล่าว
นาย
พิชัยกล่าวย้ำว่า สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์กำลังทำคือเร่งเจรจาการค้า ในการแก้ปัญหาผู้ประกอบการ SMEs จะมีการแถลงเร็วๆ นี้ โดยนายกรัฐมนตรีมีหลายโปรแกรมที่จะให้ความช่วยเหลือ เพราะเป็นหน้าที่หลัก รวมถึงต้องผลักดันผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ตนยินดีเปิดรับฟังและแก้ไขให้กับผู้ที่มีปัญหา.
ทองคำร่วง 250 บาท ราคาวิ่งตามตลาดโลก ไม่ทัน หลังเงินบาทแข็งค่า สุดรอบ 2 ปี 7 เดือน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4819015
ทองคำร่วง 250 บาท ราคาวิ่งตามตลาดโลกไม่ทัน หลังเงินบาทแข็งค่า สุดรอบ 2 ปี 7 เดือน
เมื่อวันที่ 30 กันยายน นาย
ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยว่า ภาพตลาดทองคำปรับตัวลดลงแรง
กว่า 250 บาท ทำให้ราคาทองคำแท่ง รับซื้ออยู่ที่ 40,500 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 40,600 บาทต่อบาททองคำ ทองรูปพรรณ รับซื้อ 39,764.68 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 41,100 บาทต่อบาททองคำ ทองสปอต 2,653.50 อัตราค่าเงินบาท 32.30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ถือเป็นการปรับลดลง หลังจากสัปดาห์ก่อนราคาทองคำแก่งปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 41,000 บาทต่อบาททองคำ ก่อนที่จะมีแรงเทขายออกมาช่วงปลายสัปดาห์ ทำให้ราคาทองคำแท่งปรับตัวลงต่ำกว่า 41,000 บาทต่อบาททองคำ
“แม้ว่าราคาทองคำโลกจะปรับตัวขึ้นทำ All-time high อย่างต่อเนื่อง แต่ราคาทองคำแท่งไทยยังแกว่งตัวผันผวนเนื่องจากต้องเผชิญแรงกดดันของค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว ทำให้การปรับตัวขึ้นไม่สามารถทำได้มากนัก โดยขณะนี้แนะนำให้จับตาบริเวณแนวรับระดับ 40,600-40,700 บาท หากยืนเหนือแนวรับดังกล่าวได้ สามารถเข้าซื้อได้สะสมเพื่อวิ่งตามราคาตลาดโลกได้” นายธนรัชต์ กล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ค่าเงินบาท แข็งค่าทะลุแนวระดับ 33.00 และ 32.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ไปทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 31 เดือนที่ 32.36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยนับเป็นการแข็งค่าสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นมา หรือในรอบประมาณ 2 ปี 7 เดือน โดยเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นตามภาพรวมของสกุลเงินในเอเชีย นำโดยเงินหยวนที่ได้รับอานิสงส์จากความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน
นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกที่ไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ สวนทางบรรยากาศของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ยังอ่อนแอต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในระยะข้างหน้า
JJNY : ร้อง DSI คดีไม่คืบ│นันทนา จี้ รมว.พณ.จัดการ Temu│ทองคำร่วง วิ่งตามตลาดโลกไม่ทัน│อนุมัติงบสนับสนุนกลาโหมไต้หวัน
https://prachatai.com/journal/2024/09/110881
ลูกชายสหายภูชนะ-สหายกาสะลอง เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง DSI ขอให้รับคดีพ่อถูกสังหารโหดหายจับยัดกระสอบทิ้งแม่น้ำโขง เมื่อปี 2561 เป็นคดีพิเศษ ปัจจุบันคดียังไม่มีความคืบหน้า
30 ก.ย. 2567 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมรายงาน เวลา 09.00 น. ณ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) บุตรชายสหายภูชนะ หรือชัชชาญ บุปผาวัลย์ และบุตรชายสหายกาสะลอง หรือไกรเดช ลือเลิศ พร้อมด้วยทนายความมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เดินทางไปยื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับเป็นคดีพิเศษและดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ 2565
(พ.ร.บ.ทรมาน-อุ้มกายฯ) กรณีที่บุคคลทั้งสองถูกพบเป็นศพบริเวณริมแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม เมื่อปี 2561
เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2561 มีชาวบ้านที่บริเวณริมแม่น้ำโขง ม.2 ต.ธาตุพนม อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ได้พบศพชายไม่ทราบชื่อ โดยสภาพศพถูกห่อด้วยกระสอบป่านเย็บติด 2-3 กระสอบแล้วหุ้มด้วยตาข่าย นอกจากนี้ยังถูกใส่กุญแจมือไขว้ไว้ด้านหน้า ลำคอถูกรัดด้วยเชือกป่าน ใบหน้าถูกทุบด้วยของแข็งและบริเวณท้องถูกเปิดตามแนวยาวตั้งแต่ลิ้นปี่จนถึงหัวหน่าว อวัยวะภายในบ้างส่วนหายไป และพบว่าท้องถูกยัดด้วยเสาปูนยาวประมาณ 1 เมตร ต่อมาพิสูจน์ทราบว่าศพดังกล่าวคือ ไกรเดช ลือเลิศ และชัชชาญ บุปผาวัลย์ ถูกฆาตกรรมในลักษณะเช่นเดียวกัน ปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินคดีเพื่อนำผู้กระทำความผิดที่แท้จริงมาลงโทษ และยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
อีกทั้งการฆาตกรรมในลักษณะห่อศพด้วยกระสอบป่านเย็บติด 2-3 กระสอบแล้วหุ้มด้วยตาข่าย นอกจากนี้ยังถูกใส่กุญแจมือไขว้ไว้ด้านหน้า ลำคอถูกรัดด้วยเชือกป่าน ใบหน้าถูกทุบด้วยของแข็งและบริเวณท้องถูกเปิดตามแนวยาวตั้งแต่ลิ้นปี่จนถึงหัวหน่าว อวัยวะภายในบ้างส่วนหายไป ท้องถูกยัดด้วยเสาปูนยาวประมาณ 1 เมตร เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน ทารุณโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
กรณีการบังคับให้สูญหายและต่อมาพบเป็นศพดังกล่าว มีรูปแบบการกระทำที่ต้องอาศัยบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในการทรมานและฆาตกรรมอย่างทารุณโหดร้าย และทำลายศพเพื่อให้ได้รับความอับอาย อีกทั้งการฆาตกรรมดังกล่าวเป็นการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ปิดลับ จึงอาจเกิดจากผู้มีอิทธิพลที่มีอำนาจในการอำพรางศพ ทำให้เชื่อได้ว่าการต่อสู้เรียกร้องในประเด็นทางการเมืองของบุคคลทั้งสองที่ถูกพบศพ เป็นเหตุให้ผู้มีอำนาจหวาดกลัว จึงได้ดำเนินการอุ้มและฆ่าอย่างทารุณโหดร้าย
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอเชิญสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจ ร่วมติดตามการยื่นหนังสือของบุตรชายทั้งสองของสหายภูชนะ และสหายกาสะลอง ในวันและเวลาดังกล่าว เพื่อร่วมยืนหยัดเคียงข้างทั้งสองครอบครัว รวมถึงทุกครอบครัวของผู้ถูกบังคับให้สูญหายในการเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรม และเพื่อให้มั่นใจได้ว่าครอบครัวทั้งสองจะทราบตัวผู้กระทำความผิดและสามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ในที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้กับบุคคลใดได้อีก
นันทนา จี้ รมว.พณ.จัดการ Temu พิชัยแจงยิบ ต้นเหตุจากโควิด ตำหนิแบงก์ชาติกลางสภาสูง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4819018
‘นันทนา’ จี้ถาม ‘รมว.พณ.’ จัดการแอพพ์ Temu จากจีน 5 ข้อ หวังช่วย SMEs ด้าน ‘พิชัย’ ชี้สินค้าจีนแทรกแค่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุเกิดจากโควิด ตำหนิ ‘แบงก์ชาติ’ ต้องเป็นหลักช่วยฟื้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่คลังกับรัฐ ยันจับตาใกล้ชิด ไม่ปล่อยผ่านสินค้าจีนไร้มาตรฐานเข้าประเทศ
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30 กันยายน ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามเป็นหนังสือของ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ส.ว. ถาม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เรื่อง ขอให้รัฐบาลเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาหารครอบงำของอีคอมเมิร์ซข้ามชาติ เพื่อปกป้องผู้ประกอบการ SMEs ในไทยว่า แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหญ่ข้ามชาติที่เข้ามาในประเทศไทยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเอสเอ็มอีไทย ซึ่งแพลตฟอร์มล่าสุดคือทีมู (Temu) ประเทศจีน ที่ขายสินค้าทุกชนิดด้วยราคาต่ำมาก โดยใช้วิธีตัดพ่อค้าคนกลางออกไปทำให้ทีมูประสบความสำเร็จทั้งในอเมริกาและยุโรปอย่างรวดเร็ว โดยใช้วิธีลดต้นทุนเพื่อให้ต่ำที่สุด ขณะเดียวกันคนที่ซื้อสินค้าราคาถูกเหล่านี้ก็อาจได้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ หรือใกล้หมดอายุ มีสารปนเปื้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือใช้ไม่ได้จริง ที่เราเรียกว่า “ไม่ตรงปก” เมื่อสินค้าขายไม่ได้ก็กลายเป็นขยะที่กำลังมีปัญหาอยู่ทุกวันนี้
น.ส.นันทนากล่าวต่อว่า ที่สำคัญพ่อค้าแม่ค้าไทยได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เนื่องจากผู้บริโภคสั่งซื้อตรงจากโรงงานที่ผลิตในประเทศจีนผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว และประเทศไทยขาดดุลการค้ากับประเทศจีนติดต่อกันมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยเรื่อยโดยใน 6 เดือนแรกของปี 2567 มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 7.12% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกันคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.33 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจากจีนเพิ่มขึ้น 15.66 %
“ก่อนหน้านี้เห็นข่าวว่ารัฐมนตรีขอความร่วมมือผ่านทางทูตให้ทางทีมูมาจดทะเบียนและมาตั้งบริษัทในไทย ก็เอาใจช่วยว่าจะทำได้จริง เพราะขนาดเกาหลีใต้สามารถทำให้ทีมูมาจดทะเบียนในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา แต่เมื่อไปตรวจสอบพบว่าสถานที่ตั้งไม่พบว่ามีผู้บริหาร มีเพียงป้ายที่แสดงสัญลักษณ์ของบริษัททีมูอยู่เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายรัฐมนตรีที่ไปชวนเขามาตั้งบริษัท ขณะที่กิจกรรมไลฟ์คอมเมิร์ซไทย-จีนที่ดึงอินฟลูเอนเซอร์ช่วยขายสินค้าไทยที่คาดว่า 5 วันจะทะลุพันล้านบาท ดูตัวเลขแล้วน่าทึ่ง แต่เทียบไม่ได้กับยอดที่ไทยขาดดุลจีน ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาที่ฉาบฉวย” น.ส.นันทนาระบุ
น.ส.นันทนากล่าวต่อว่า ขอตั้งคำถามต่อกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้เอสเอ็มอีได้เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ 5 ข้อคือ 1.มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบงำจากอีคอมเมิร์ซข้ามชาติอย่างไร 2.มีมาตรการในการสนับสนุนเยียวยา SMES ในไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างไร 3.มีมาตรการในการจัดการกับปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพ อันเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคที่จะเข้ามาตามแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติอย่างไร 4.มีแผนยุทธศาสตร์อย่างไรในการแก้ไขการขาดดุลการค้าไทยจีน และ 5.ประเทศไทยจะร่วมมือกับอาเซียนอย่างไรในการจัดการกับปัญหานี้
ด้านนายพิชัย รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า ไทยมีความจำเป็นต้องพึ่งพาจีนเพราะเป็นตลาดใหญ่ หากเจรจาต่อรองขายของในจีนจะได้ประโยชน์เยอะ ซึ่งได้เชิญเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเข้าหารือหลังรับตำแหน่งรัฐมนตรี จีนยืนยันว่าพร้อมให้ความร่วมมือกับไทยทุกอย่าง โดยเรื่องแรกๆ ที่จะทำคือต้องให้สินค้าจีนมีมาตรฐาน เช่น ผ่าน มอก. อย. และมีป้ายติดชัดเจน ซึ่งจีนยืนยันว่าพร้อมปฏิบัติตามกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด และส่วนตัวจะไม่ยอมเด็ดขาดหากมีการขายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ จีนยังยืนยันที่จะลงทุนในไทยเพิ่ม แต่สิ่งสำคัญที่สนใจต่างชาติคืออยากให้มีเทคโนโลยีที่สูงมาลงทุนในไทยมากขึ้น
นายพิชัยยังกล่าวถึงกรณีแพลตฟอร์ม Temu สัญชาติจีนว่า ถ้ามาตั้งที่ไทยจริงก็ต้องผ่านมาตรฐานต่างๆ และจะติดตามมอนิเตอร์สินค้าจีนที่เข้ามาอย่างใกล้ชิด ยืนยันว่าไม่นิ่งนอนใจ มีมาตรการให้ความช่วยเหลือ SMEs ทั้งสร้าง SMEs รุ่นใหม่ที่มีความสามารถ และการแก้ไขปัญหา SMEs ต้องบูรณาการทุกกระทรวง ต้องดูเรื่องหนี้สินของ SMEs เพราะปัจจุบันหนี้เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จะยากต่อการเดินหน้าต่อ โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต้องร่วมมือกัน แก้ไขปัญหาในภาพรวม เพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้
นายพิชัยกล่าวว่า สินค้าจีนมาแทรกแซง SMEs เป็นส่วนหนึ่งที่อาจจะเป็นปลายเหตุ แต่ต้นเหตุที่เกิดปัญหามาจากโควิด-19 ซึ่งการตัดหนี้ก็เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้น จึงอยากให้ ธปท.มองว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งในต่างประเทศเป็นเรื่องปกติที่ต้องช่วยเหลือกัน กระทรวงการคลังร่วมมือกับ ธปท. แต่ ธปท.เรายังไม่ยอมลดดอกเบี้ย พอตนออกมาตำหนิ ธปท.คนก็มาตำหนิตน
“ผมยืนยันไม่ได้ด่าแบงก์ชาติ แต่ถ้าเศรษฐกิจแย่ขนาดนี้ จะต้องออกมาตรการช่วยเหลือให้ฟื้น เหมือนประเทศจีนออกแพคเกจใหญ่มาช่วย แต่ 10 ปีแบงก์ชาติไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งที่มีหน้าที่ช่วยเศรษฐกิจด้วย ไม่ใช่เพียงกระทรวงการคลัง หรือรัฐบาลมีหน้าที่อย่างเดียว แต่ทั้งโลกแบงก์ชาติมีหน้าที่ฟื้นเศรษฐกิจ อย่างสหรัฐหากมีปัญหาก็อัดเงิน จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้น
ผมยืนยันว่าไม่อยากทะเลาะกับใคร หรือข้องใจกับใคร บางครั้งอาจพูดแรงไปบ้าง เพราะรู้ถึงความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งหอการค้า ภาคอุตสาหกรรม โทรมาบอกว่ามันจะเจ๊งกันอยู่แล้ว มาเจอโควิด-19 ดอกเบี้ยแพงหลายเรื่อง เราพยายามแก้ทุกทาง แต่ต้องแก้ภาพรวมทั้งหมดด้วย เราอยากแก้ทุกอย่างพร้อมกัน ร่วมมือกันทุกฝ่าย ที่ผ่านมาถือเป็นวิกฤต ทำอย่างไรให้ฝ่าวิกฤตไปให้ได้” นายพิชัยกล่าว
นายพิชัยกล่าวย้ำว่า สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์กำลังทำคือเร่งเจรจาการค้า ในการแก้ปัญหาผู้ประกอบการ SMEs จะมีการแถลงเร็วๆ นี้ โดยนายกรัฐมนตรีมีหลายโปรแกรมที่จะให้ความช่วยเหลือ เพราะเป็นหน้าที่หลัก รวมถึงต้องผลักดันผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ตนยินดีเปิดรับฟังและแก้ไขให้กับผู้ที่มีปัญหา.
ทองคำร่วง 250 บาท ราคาวิ่งตามตลาดโลก ไม่ทัน หลังเงินบาทแข็งค่า สุดรอบ 2 ปี 7 เดือน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4819015
ทองคำร่วง 250 บาท ราคาวิ่งตามตลาดโลกไม่ทัน หลังเงินบาทแข็งค่า สุดรอบ 2 ปี 7 เดือน
เมื่อวันที่ 30 กันยายน นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยว่า ภาพตลาดทองคำปรับตัวลดลงแรง
กว่า 250 บาท ทำให้ราคาทองคำแท่ง รับซื้ออยู่ที่ 40,500 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 40,600 บาทต่อบาททองคำ ทองรูปพรรณ รับซื้อ 39,764.68 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 41,100 บาทต่อบาททองคำ ทองสปอต 2,653.50 อัตราค่าเงินบาท 32.30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ถือเป็นการปรับลดลง หลังจากสัปดาห์ก่อนราคาทองคำแก่งปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 41,000 บาทต่อบาททองคำ ก่อนที่จะมีแรงเทขายออกมาช่วงปลายสัปดาห์ ทำให้ราคาทองคำแท่งปรับตัวลงต่ำกว่า 41,000 บาทต่อบาททองคำ
“แม้ว่าราคาทองคำโลกจะปรับตัวขึ้นทำ All-time high อย่างต่อเนื่อง แต่ราคาทองคำแท่งไทยยังแกว่งตัวผันผวนเนื่องจากต้องเผชิญแรงกดดันของค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว ทำให้การปรับตัวขึ้นไม่สามารถทำได้มากนัก โดยขณะนี้แนะนำให้จับตาบริเวณแนวรับระดับ 40,600-40,700 บาท หากยืนเหนือแนวรับดังกล่าวได้ สามารถเข้าซื้อได้สะสมเพื่อวิ่งตามราคาตลาดโลกได้” นายธนรัชต์ กล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ค่าเงินบาท แข็งค่าทะลุแนวระดับ 33.00 และ 32.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ไปทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 31 เดือนที่ 32.36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยนับเป็นการแข็งค่าสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นมา หรือในรอบประมาณ 2 ปี 7 เดือน โดยเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นตามภาพรวมของสกุลเงินในเอเชีย นำโดยเงินหยวนที่ได้รับอานิสงส์จากความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน
นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกที่ไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ สวนทางบรรยากาศของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ยังอ่อนแอต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในระยะข้างหน้า