เทศกาลกินเจ 2567 เริ่มวันไหน ควรเตรียมตัวอย่างไร และรวมรายการผัก-ผลไม้ ช่วยอิ่มท้องนาน เหมาะกับช่วงเทศกาลกินเจ

ช่วงเทศกาลกินเจของทุกปี ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย ตามปฏิทินสากล รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 9 วัน 9 คืน เทศกาลกินเจปี 2567 เริ่มวันที่ 3-11ตุลาคม 2567 รวมเป็นเวลา 9 วัน บางท่านอาจจะล้างท้องตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคมในมื้อเย็น รวมเป็น 10 วัน ซึ่งการล้างท้องหมายถึง เริ่มกินเจก่อนถึงวันเริ่มต้นเทศกาลจริง 1-2 วันเพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับสภาพ และทำความคุ้นเคยกับการกินเจได้ดียิ่งขึ้น
 
ความหมายของคำว่า "เจ"
คำว่า “เจ” ในภาษาจีนทางพระพุทธศาสนา หมายถึง “อุโบสถ หรือการรักษาศีล 8” ของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่จะมีการรักษาอุโบสถศีล ไม่บริโภคอะไรหลังเที่ยงวันตามหลักศีล 8 ข้อ และไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต ช่วงหลังจึงเรียกคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ว่า “กินเจ” ไปด้วย แต่ถึงกระนั้นการกินเจไม่ใช่เพียงแต่งดเนื้อสัตว์ อาหาร และเครื่องปรุงที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ แต่ยังรวมถึงการรักษาศีล ประพฤติตัวเป็นคนดีทั้งกาย วาจา ใจ อีกด้วย 

ประวัติความเป็นมา
เทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า เกิดมาในสมัยที่ชาวจีนถูกรุกรานโดยชนชาติแมนจู ซึ่งเข้าปกครองประเทศจีน และบังคับให้ชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน อาทิ การไว้ทรงผมเยี่ยงแมนจู คือ โกนศีรษะโล้นทางด้านหน้าและไว้ผมยาวทางด้านหลัง ซึ่งหลายคนคงจะชินตาในภาพยนตร์จีนที่นำมาฉายทางทีวี

ในสมัยนั้น มีคนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านชาวแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้ามาร่วมด้วย ชาวจีนกลุ่มนี้ นุ่งขาว ห่มขาวและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับกลุ่มของตนจนสามารถต้านทานชาวแมนจูได้ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งแม้จะได้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของชาวแมนจูได้ เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น

ความเชื่อถืออีกกระแสหนึ่งของตำนานการกินเจนั้น เชื่อกันว่าเป็นการสักการะพระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ในพิธีกรรมนี้ สาธุชนจึงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยการตั้งปณิธานในการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อเป็นการสมาทานศีล

สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่ พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของกการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจ จึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ

เตรียมตัวอย่างไร
1. ห้ามกินผักที่มีกลิ่นฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรง
เพราะจะทำให้ร่างกายและพลังธาตุถูกทำลาย ร่างกายเกิดการกระตุ้นจากรสของอาหารนั้นๆ ได้แก่ กระเทียม, หัวหอม ที่รวมไปถึง ต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง, หอมขาว, หอมหัวใหญ่, กุ้ยช่าย, ใบยาสูบ (บุหรี่ ยาเส้น ของเสพติดมึนเมา) หมายถึงต้องงดสูบบุหรี่และกินเหล้าในช่วงที่ถือศีลกินเจนี้ด้วย

2. ห้ามกินเนื้อสัตว์
หรืออาหารที่มีส่วนผสมหรือส่วนประกอบ หรือเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งจากสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นไขมันสัตว์ ไข่ เลือด อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเนื้อสัตว์

3. ห้ามกินอาหารที่มีรสจัด
ไม่ว่าจะเป็นทั้งเผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด หรือเปรี้ยวจัดก็ตาม เพราะอาหารที่มีรสจัดจะไปกระตุ้นต่อมต่างๆ ของร่างกายให้ทำงานมากขึ้น เชื่อว่าจะเป็นผลให้จิตใจไม่สงบในช่วงถือศีล กินเจนี้

4. ห้ามกินอาหารที่คนปรุงไม่ได้ถือศีลกินเจ
ข้อนี้แหละที่ทำให้คนถือศีลกินเจต้องไปอยู่รวมกันในสถานที่ที่มีคนกินเจรวมตัวกันอยู่ อย่างเช่นโรงทาน ศาลเจ้าต่างๆ ที่จัดงาน เพราะคนที่ทำหน้าที่ทำอาหารนั้นจะถือศีลด้วย

5. ถ้วยชามที่ใช้ใส่อาหารจะต้องไม่ปนกัน
ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือเบียดเบียนชีวิตใคร ต้องแต่งกายด้วยชุดขาว ห้ามพูดคำหยาบ โกหก ยุยง ส่อเสียด หรือพูดจาไม่เป็นสาระ

6. ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา
ในช่วงที่ถือศีลกินเจตลอด 9 วัน

7. ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง
ในสถานที่อย่างศาลเจ้า โรงเจ โรงทาน หรือสถานที่ที่จัดงานถือศีลกินเจ จะมีการจุดตะเกียง 9 ดวงเอาไว้ตลอดวันตลอดคืน จึงต้องมีคนเฝ้าไม่ให้ตะเกียงนั้นดับ
 
ทำไมเราต้องกินเจ
กินเจ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะอาหารเจถือเป็นอาหารชีวจิตอย่างหนึ่ง ช่วยปรับสภาพร่างกายให้สมดุล ล้างพิษในร่างกาย รวมถึงช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคนจีนเชื่อว่า เนื้อสัตว์เป็น “หยิน” และผักผลไม้เป็น “หยาง” โดยธรรมชาติคนเรามักทานเนื้อสัตว์เยอะกว่าผักผลไม้ การงดทานเนื้อสัตว์จึงเป็นการปรับให้หยินและหยางสมดุลมากยิ่งขึ้นด้วย

กินเจ เพื่อทำบุญ เพื่อชำระล้างใจให้ใสสะอาด ไม่เบียดเบียนสัตว์โลก ทำให้จิตใจเราผ่องใสมากขึ้น เมื่อเราทราบว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องที่ดี ก็จะส่งผลต่อจิตใจที่เบิกบาน เป็นสุขขึ้น

กินเจ เพื่อละเว้นกรรม ที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือแม้กระทั่งการจ้างฆ่าเพื่อการบริโภค เป็นการช่วยชีวิตสัตว์นับพันนับหมื่น เราก็จะช่วยลดกรรมของเราได้มากขึ้น
 
ช่วงเทศกาลกินเจ ห้ามกินอะไรบ้าง
1. ห้ามทานเนื้อสัตว์ และห้ามทำอันตรายต่อสัตว์
2. ผักที่มีกลิ่นฉุน 5 อย่าง ได้แก่ กระเทียม (ไม่ดีต่อหัวใจ), หอมใหญ่ แดง ขาว ต้นหอม (ไม่ดีต่อไต), หลักเกียว ผักของจีน มีลักษณะคล้ายกระเทียมโทน (ไม่ดีต่อม้าม), กุยช่าย (ไม่ดีต่อตับ) และ ใบยาสูบ (ไม่ดีต่อปอดเมื่อใช้สูบ) นอกจากนี้ผักชนิดไหนที่มีกลิ่นฉุนก็ไม่ควรทานระหว่างช่วงกินเจด้วย
3. นม เนย น้ำมัน และผลิตภัณฑ์จากสัตว์
4. อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด หรือเผ็ดจัด
5. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

ใครที่กินเจจริงจัง ห้ามทานอาหารบนภาชนะที่ใช้ร่วมกับผู้ที่ไม่ได้กินเจ และต้องทานอาหารที่ปรุงจากคนที่กินเจด้วยกันเท่านั้น รวมถึงการงดแต่งหน้า งดใช้เครื่องสำอางด้วย 

ช่วงเทศกาลกินเจ กินอะไรได้บ้าง
1. ชา กาแฟ ที่ไม่ใส่นม เนย หรือครีมเทียม
2. วิตามินเสริมอัดเม็ด ที่ไม่มีสารสกัดจากสัตว์
3. ขนมกรุบกรอบ ที่ไม่มีส่วนผสมของสัตว์
4. พริกไทย เป็นสมุนไพร (แต่หากรู้สึกว่ามีกลิ่นฉุน สามารถเลี่ยงได้)
5. ขนมปัง (ที่เป็นขนมปังเจ หรือไม่มีส่วนผสมของนม)
6. มาม่า หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (สูตรเจเท่านั้น)

ช่วงเทศกาลกินเจ ทานอาหารเหล่านี้ได้ แต่ไม่แนะนำ
1. น้ำอัดลม (ไม่มีข้อห้าม แต่น้ำตาลสูงเกินไป)
2. ผงชูรส (แม้จะทำจากมันสำปะหลังและกากน้ำตาลจากอ้อย แต่ผงปรุงรสอาหารอื่นๆ มักผสมเนื้อสัตว์)
3. ช็อคโกแลต (ส่วนใหญ่มีนมเป็นส่วนผสม แต่หากทานดาร์คช็อคโกแลต 100% ก็สามารถทำได้ แต่หายาก)

รวม 10 ผัก-ผลไม้ ช่วยให้อิ่มท้องนาน
ช่วงกินเจ หลายคนจึงมักจะมีผักและผลบางชนิดที่ช่วยให้อิ่มท้องนานขึ้น เป็นตัวเลือกในการถือศีลเจ ที่ช่วยให้อิ่มท้องนานสำหรับคนที่เตรียมตัวกินเจ ดังนี้

1. มันฝรั่ง
อุดมไปด้วยใยอาหารและแป้งที่ช่วยให้อิ่มท้อง โปรตีนที่ได้จากมันฝรั่งมีคุณภาพดีกว่าโปรตีนที่ได้จากพืชอื่นๆ มันฝรั่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ก็ยังมีข้อควรระวังโดยเฉพาะมันฝรั่งที่ยังอายุน้อยที่ผลสีเขียวจะมีสารโซลานีนอยู่ซึ่งเป็นอันตราย จึงควรผ่านกระบวนการทำให้ร้อนจนสุกเสียก่อนนำมาบริโภค

2.บร็อคโคลี่
มีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมไปด้วยเบต้า-แคโรทีน โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม โฟลิก ฟอสฟอรัส เหล็ก และไฟเบอร์ นอกจากนั้นบร็อคโคลี่ประกอบไปด้วยสารเคมีทางธรรมชาติชื่อ sulforaphane และ indoles ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็ง และมีโปรตีนสูงด้วย
 
3.ถั่วลันเตา
อีกหนึ่งผักที่มีโปรตีนสูงที่สุด ในถั่วลันเตามีใยอาหารและน้ำในปริมาณสูง ซึ่งช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อกลุ่มคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างชัดเจน ภายในถั่วลันเตา ยังคงมีไนอะซิน ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยทำให้ลดการสร้างไขมันไตรกลีเซอไรด์ ช่วยทำให้ระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีต่อร่างกาย ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตันได้เป็นอย่างดี ช่วยแก้อาการท้องผูกได้ด้วย
 
4.แครอท
ส่วนรากหรือหัวมีสารเบต้า-แคโรทีนสูง อีกทั้งยังมีคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล ไขมัน เส้นใย และแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม วิตามินบี และวิตามินซี แครอทจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและยังมีสารต้านอนุมูลอิสระแคโรทินอยด์ อีกทั้งยังช่วยป้องกันปัญหาที่เกิดจากการขาดวิตามินเอได้ ลดน้ำตาลในเลือดและรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดได้ หากต้องการได้รับประโยชน์จากแครอทสูงสุดโดยเฉพาะสารเบต้าแคโรทีน แนะนำให้ปรุงสุกก่อนรับประทาน
 
5.คื่นฉ่าย
มีใยอาหารและน้ำสูง แคลอรี่ต่ำ โพแทสเซียมสูง ช่วยหลอดเลือดขยายตัว ลดความดันโลหิตสูง ช่วยขับปัสสาวะ รักษาโรคปวดข้อ ลดอาการของโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร เช่น โรคบิด ท้องร่วง ท้องเสีย ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง กรดเกิน กรดไหลย้อน รวมไปถึงโรคที่เกี่ยวกับลำไส้ เป็นต้น ช่วยขับลมในกระเพาะ

6.ซูกินี
อุดมไปด้วยโปรตีนและใยอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มนาน มีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ฟอสฟอรัส และแคลเซียมที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง และส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ด้วย

7. กล้วย
อุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร และมีประโยชน์หลากหลายด้านใน 1 ผลให้พลังงานประมาณ 105 แคลอรี่ มีวิตามินบี 6 วิตามินซี โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส ใยอาหารสูง คาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลจากธรรมชาติ หลายคนจึงชอบกินกล้วยหอมตอนเช้าเพราะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องนาน หิวช้าลง
 
8.แอปเปิ้ล
ผลไม้ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 85% เนื้อสัมผัสกรอบ ช่วยชะลอการทานอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มท้องนานขึ้น มีใยอาหารที่ชื่อว่าเพคตินซึ่งเป็นใยอาหารที่มีส่วนสำคัญต่อกระบวนการย่อยอาหาร อีกทั้งเพคตินยังมีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติกที่ช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อลำไส้เจริญเติบโตได้ดี การรับประทานแอปเปิ้ลจึงสามารถช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
9.แบล็คเบอร์รี่
มีคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายสูงที่รวมทั้งเส้นใยอาหาร วิตามินซี วิตามินเค กรดโฟลิก วิตามินบี แมงกานีส น้ำตาลน้อยเมื่อเทียบกับกว่าผลไม้อื่น โดยมีน้ำตาลเพียง 7 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคเท่านั้น ทำให้รู้สึกอิ่มท้องนาน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี

10. อะโวคาโด้
อุดมไปด้วยไขมันดี และใยอาหารสูงประมาณ 7 กรัมต่อครึ่งผล เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเค โพแทสเซียม และโฟเลต อะโวคาโดมีสารต้านอนุมูลอิสระ อะโวคาโดจึงเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ช่วยให้อิ่มท้องนานที่สุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่