เจอเนื้องอกในสมอง ภาค 2 ส่งตัวรักษา เนื้องอกในสมอง การผ่าตัดที่ยาวนาน

จากกระทู้ก่อน ความบังเอิญที่ตรวจเจอเนื้องอกในสมองเพราะโควิด
   ความเดิมกระทู้ที่แล้ว ที่คุณหมอที่รักษาโควิด ร.พ สิทธ์ประกันสังคม ของเรา ได้บอกไว้ว่า เมื่อโควิดซาเมื่อไหร่ จะส่งตัวเราไปรักษาเนื้องอกในสมอง
   หลังจากที่เรารักษาตัวใน ร.พ จนหายและได้กลับมาทำงานปกติแล้ว (เป็นโควืดเดือน ก.ค 2021 ทาง ร.พ ติดต่อกลับมาเดือน ก.ย 2021 ทาง ร.พ แจ้งว่า คุณหมอได้ส่งตัวให้เราไปเข้ารับการรักษาที่ สถาบันฯประสาท ซึ่งเป็น ร.พ ผ่าตัดสมองอันดับ 1 ของประเทศ ซึ่งเราขอขอบคุณ ร.พ สิทธิ์ของเรา (ร.พ นวมินทร์ 9) รวมทั้งต้องขอบพระคุณคุณหมอท่านนั้น ที่ส่งตัวเรามารักษาที่ ร.พ ที่ดีที่สุดด้านสมอง ถือว่าเป็นโชคดีของเรามาก ทาง ร.พ ได้นัดให้เรา ไปเอาใบส่งตัวที่ ร.พ และบอกรายละเอียด ในการเข้ารับการติดต่อกับทาง สถาบันฯประสาท กับเรา
    วันแรกที่ถึงวันนัดกับทาง สถาบันฯประสาท เราต้องไปแต่เช้าคือตีสี่ เพื่อไปดำเนินการลงทะเบียนเป็นผู้ป่วย เราถือฟิลม์ผล CT สแกนมาเพื่อมอบให้คุณหมอที่จะรักษาเราได้อ่านผลด้วย พร้อมทั้งรอคิวหมอ ซึ่งตรงนี้เราไม่ได้เลือกหมอเอง อยู่ที่ว่าคิวเราจะไปตกอยู่กับหมอท่านใหน ระหว่างนั่งรอหมอ จู่ๆใจก็เริ่มรู้สึกหวั่นๆ เพราะเราคิดมาตลอดว่า เนื้องอกเราคงไม่โตมาก คงน่าจะแค่เฝ้าติดตามอาการได้ แต่จู่ๆตอนนั่งรอหมอ ยิ่งใกล้ถึงคิวก็ยิ่งกลัว จนถึงคิวเรา พอเปิดเข้าไปในห้องตรวจ คุณหมอเป็นผู้ชายวัยพอๆกับเรา ดูภูมิฐานและดูดีเลยล่ะ หน้าจอคอมคุณหมอ มีรูป ที่เป็นรูปหัวกระโหลกมนุษย์อยู่บนจอภาพ และนั่นคงเป็นผล CT สแกน สมองเรา ที่เราเองก็พึ่งเห็นเป็นครั้งแรกเพราะตอนที่ได้รับมาจาก ร.พ สิทธ์ ของเรา เราไม่เคยกล้าเปิดดูเลย คุณหมอนั่งดูเงียบสักสองนาที แล้วพูดขึ้นว่า "ก็คงต้องผ่าตัด" ตอนนั้นในใจเราหล่นวูบ เนื่องจากเป็นสิ่งที่กลัวที่สุด และหลอกตัวเองมาตลอดว่า คงไม่ต้องโดนผ่า เราถามคุณหมอว่า "ต้องผ่าจริงเหรอคะ เฝ้าดูอาการก่อนไม่ได้หรอคะ" คุณหมอตอบกลับมาด้วยเสียงแข็งๆนิดหน่อยว่า "เนื้องอกคุณมันสามเซ็นกว่าแล้ว ต้องรักษาด้วยการผ่าอย่างเดียว" " แต่แล้วแต่คุณนะ ผ่าคนไข้คนนึงเหนื่อยมาก ผมก็ไม่ได้อยากผ่าหลอกนะ" เราก็ถามว่า "แล้วถ้าเราไม่ผ่า ต่อไปมันจะเป็นยังไงหรอคะ" คุณหมอบอกว่า " เนื้องอกคุณมันไปทับเส้นศูนย์การทรงตัว ถ้ายิ่งปล่อยให้มันโตขึ้น คุณก็อาจจะเดินไม่ได้" แล้วคุณหมอก็พูดต่อว่า "คุณจะกังวลทำไม ผ่าคุณก็ผ่าฟรี เพราะคุณใช้สิทธิ์ประกันสังคม ก็รักษาให้หาย" เราจึงถามท่านต่อว่า "แล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรมั้ยคะ" ท่านบอกว่า "จุดที่เนื้องอกคุณอยู่ เมื่อผ่าแล้ว ผลข้างเคียงที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ หน้าคุณอาจเบี้ยว เพราะเนื้องอกอยู่ใกล้เส้นประสาทหน้า ซึ่งเป็นเส้นประสาทใบหน้า ตาคุณอาจปิดมั้ยสนิทตอนนอน ก็จะทำให้มีปัญหาเรื่องตาแห้งตาอักเสบบ่อยๆ หูฝั่งที่มีเนื้องอก จะเสียการได้ยินไป 100% เลย"  เมื่อเราฟังผลที่อาจเกิดขึ้นไม่ร้ายแรงมากอย่างที่คิด ก็เริ่มเบาใจ จึงแจ้งคุณหมอว่า จะขอกลับไปปรึกษาคนในครอบครัวก่อน คุณหมอจึงนัดในเดือนต่อมา คือ ต.ค 2021 โดยนัดให้เข้ามาทำ MRI ด้วยก่อนวันนัด เพื่อที่หากเราจะผ่าตัด จะได้วางแผนการผ่าตัดได้เลย
   เมื่อเรากลับมาบ้าน เรามาปรึกษากับพี่สาว (สามีให้เราผ่าอยู่แล้ว) พี่สาวห่วงเรื่องผลหลังผ่าตัด กลัวเราเดินไม่ได้ กลัวเราเอ๋อ เราจึงอธิบายว่า การผ่าตัดเนื้องอกเราไม่ได้ทำให้เกิดผลแบบนั้น พี่สาวจึงแล้วแต่เรา เดือนถัดมาก่อนวันนัดหมอ เราต้องเข้านับทำการ MRI ก่อน และซึ่งการ MRI ของเราในครั้งนั้น ทำในช่างปลายโควิระบาด ก่อนเข้าอุโมงค์ เราต้องใส่แมสถึงสองชั้น แล้วเจ้าหน้าที่ก็เอาตัวครอบเหมือนหน้ากากตาข่ายมาครอบหน้าเราอีกชั้น ยอมรับว่าครั้งนั้นมันอึดอัดมาก เนื่องจากต้องนอนอยู่ในที่แคบๆและผื่อห้ามกระดุกกระดิก เมื่อ MRI เสร็จแล้ว สัปดาห์ต่อมาก๋เป็นการนัดหมอ เราบอกหมอว่า ,"ตกลงผ่านะคะ" หมอบอกว่า เนื้องอกเรามีการดึงเอาเลือดไปเลี้ยงตัวเองด้วย" นี้อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เรากลายเป็นคน ง่วงหงาวหาวนอน อ่อนเพลียตลอดเวลา หมอบอกว่า แบบนี้ หมอจะขอเลือดเพิ่ม เผื่อมีการเสียเลือดมากระหว่างผ่าตัด โดยคุณหมอให้เปอร์เซ็นในความอันตรายอยู่ที่ 5%  
    ช่วงเวลาที่รอวันผ่าตัด ช่วงนั้นเรามีอาการเวียนหัว เดินทรงตัวได้ไม่ค่อยดีมากขึ้น เวลาไปใหน สามีต้องคอยประคองไว้ อาจจะเป็นเพราะโควิด ที่ไปกระตุ้นให้อาการหนักขึ้น ช่วงระหว่างนั้นยอมรับว่า เรากังวลเรื่องผ่าตัดมาก ไม่ได้กลัวการผ่า ไม่ได้กลัวเจ็บ ไม่ได้กลัวว่าผ่าตัดมาแล้วผลข้างเคียงอาจทำให้หน้าเบี้ยว แต่กลัวการวางยาสลบ กลัวหลับไปไม่ตื่น กลัวไม่ได้กลับมาหาลูก ปกติเคยเป็นคนหัวถึงหมอนก็หลับ กลายเป็นคนนอนแล้วาะดุ้งตื่น สะดุ้งตื่นทั้งคืน ช่วงนี้ได้แต่สวดมนต์ คาถาชินรบัญชร ที่เรามักสวดประจำ เพราะเคารพนับถือในตัวท่าน พระพุฒาจารโตพรหมรังสี พอเยียวยาและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้ ก่อนวันผ่าตัด ได้บอกกับสามีว่าอยากไปเที่ยวทะเลก่อนผ่าตัด ในใจตอนนั้นคิดว่า หากตาย อย่างน้อย ก็อยากให้ลูกมีความทรงจำดีๆ ระหว่างเที่ยวทะเล มองลูกเล่นทราย แล้วก็คิด หนูเอ๋ย ยังเล็กนักลูก ขอให้แม่ปลอดภัยได้กลับมาดูแลหนูเถิด
   วันผ่าตัด หมอนัดมานอน ร.พ ก่อนหนึ่งคืน เราเอาลูกไปฝากที่บ้านเราไว้ แล้วมานอนกับสามีที่ ร.พ คิวนัดผ่าตัดของเราคือ 15 ธ.ค แต่ต้องมานอน ร.พ ก่อน คือวันที่ 14 คิวผ่าของเรา คือ 13.00 ของวันที่ 15 เราต้องอดข้าวอดน้ำ หลังเที่ยงคืน คืนแรก ก่อนนอนสวดมนต์ก่อนนอนอีกรอบ เช้าวันผ่าตัด มีหมอผู้ช่วยเขามาตรวจความเรียบร้อยก่อนเข้าห้องผ่าตัด เราได้พูดคุยกับทางคุณหมอผู้ช่วย เรื่องผลข้างเคียงที่อาจทำให้หน้าเบี้ยว คุณหมอได้แนะนำว่า ถ้าคนไข้กังวล ทำไมไม่ใช้เครื่องนำทางการผ่าตัด ที่สามารถส่งสัญญาณเตือนเวลาคุณหมอทำการผ่าตัด ที่ถ้าผ่าไปใกล้เส้นประสาท เครื่องจะส่งสัญญาณเตือน แต่เครื่องนี้ไม่อยู่ในสิทธิ์ ผู้ป่วยต้องจ่ายในส่วนนี้เอง เราจึงบอกคุณหมอผู้ช่วยว่า ให้ใช้ได้เลยค่ะ เพื่อจะได้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณหมอทำงานสะดวกขึ้น
   เวลาเที่ยงสิบห้านาที เจ้าหน้าที่ มาเข็นพาเราไปห้องผ่าตัด เราจับมือสามีแล้วบอกว่า เดี๋ยวออกมานะ ไม่กี่ชั่วโมงหรอก (เคยอ่านเจอบางคน เนื้องอก 7-8 เซ็น ผ่าเต็มที่ก็แค่แปดชั่วโมง ของเราแค่ 3 เซ็นกว่าๆ คงแค่ 3-4 ชั่วโมงก็คงเสร็จ) เมื่อมาถึงห้องผ่าตัด เจ้าหน้าที่ก็ได้ขานชื่อ นามสกุล รวมถึงมาร์คตำแหน่งเนื้องอกที่ต้องผ่า ป้องกันการผ่าผิด จากนั้นให้เปลี่ยนชุด ฉีดยาให้ และเตรียมเอาฝาครอบดมยาสลบให้เรา ระหว่างที่มองเจ้าฝาครอบนั้น สติสุดท้าย เรานึกถึงท่านพุฒาจารโต ว่าช่วยคุ้มครองให้ลูกปลอดภัยในการผ่าตัดครั้งนี้ด้วยเถิด จากนั้นก็วูบไป
    เวลาผ่านไปนานแค่ใหนไม่รู้ เคยอ่านในพันทิป ถึงคนที่ผ่าตัด ส่วนใหญ่จะบอกว่า เหมือนหลับไปวูบเดียว แต่สำหรับเรา เมื่อลืมตาฟื้นขึ้นมา ความรู้สึกแรกเหมือนนาน และคิดในใจ ได้กลับมาแล้ว ฉันผ่านมันมาแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย อยากบอกว่า นรก มากตอนนั้น เห็นพัดลม เห็นไฟบนเพดาน เหมือนไกวไปมา ตามด้วยอาการคลื่นไส้มาก ได้ยินพยาบาลพูดขึ้นว่า จะฉีดยาให้คนไข้ แต่คนไข้เอามือปัดป้องตลอด ต้องช่วยกันจับ ซึ่งเราไม่รู้ตัวเลยตอนทึ่เราทำแบบที่พยาบาลบอก น่าจะเป็นการทำโดยสัญชาตญาณ ตอนสติยังมาไม่ครบมากกว่า ตอนนั้น สิ่งที่ร่างกายรู้สึกได้คือ เวียนหัวคลื่นไส้ จนต้องโกงคออาเจียนตลอด อาเจียนออกมาเป็นน้ำเหลืองเข้ม ปวดแผลที่ผ่า ระบบในหลอดลมและคอเนื่องจากการสอดท่อหายใจ  ปวดระบบร่างกายข้างซ้าย เนื่องจาก ผ่าข้างขวา ต้องนอนตะแคงซ้าย   ดังนั้นเราจึงไม่สามรถนอนตะแคงซ้ายได้ เนื่องจากปวดระบบร่างกายข้างซ้าย และไม่สามารถนอนตะแคงขวาได้เนื่องจากปวดแผลผ่าตัด ต้องนอนหงายอย่างเดียว และทุกครั้งที่โกงคออาเจียน ในช่องท้องก็ระบบจนเจ็บไปหมด คอระคายเคืองจากการสอดท่อ พอไอ ก็จบระบบช่องท้องไปหมด แต่เมื่อพยาบาลฉีดยาให้ อาการอาเจียนก็เริ่มดีขึ้น ตอนนั้นประมาณการว่า น่าจะอยู่ในช่วงตีสี่ถึงตีห้า เพราะพอไม่นานก็เช้า พยาบาลมาเช็ดตัวให้ พยาบาลบอกเราว่า คนไข้ออกจากห้องผ่าตัดมาตอนใกล้เที่ยงคืนนะคะ นั่นแปลว่า เราผ่าตัดตั้งแต่ 13.00 ถึง 23.00 น. รวมๆแล้วถึง 10 ชั่วโมง นั่นคือสาเหตุที่ ร่างกายฝั่งซ้ายเราจึงปวดระบบมาก เพราะต้องนอนอยู่ท่าเดียวถึง 10 ชม และมีอาการเมายาสลบจนอาเจียนตลอด คงเพราะต้องให้ยาสลบค่อนข้างนาน ตรงขมับสองข้างมีอาการเจ็บๆ จับไปเจอสะเก็ดเลือด พยาบาลบอกว่า คุณหมอต้องขันน๊อตบล็อกศีรษะไว้ตอนผ่านะคะ เลยเป็นแผล เมื่ออกจากห้องไอซียูมาแล้ว คุณหมอให้มานอนที่ห้องรวมก่อน ยังไม่ให้กลับห้องตัวเอง เพื่อให้อยู่ใกล้ชิดในสายตาพยาบาล เรายังไม่สามารถลุกจากเตียงได้ แม้จะนั่งเอนก็ยังทำไม่ได้ กินอะไรก็ไม่ได้ อาเจียนออกตลอด พยาบาลจึงเอาเกลือแร่น้ำสีเขียวเค็มปิ๊ดมาให้กิน กินปุ๊บ อาเจียนออกปากออกจมูกทันที อาเจียนแบบไม่สามารถบังคับตัวเองได้ ที่นอนหมอนผ้าห่มเละไปหมด จนพอย่างเข้าวันที่ 17 อาการเริ่มดีขึ้น คุณหมอจึงอนุญาตให้กลับห้องได้ ตอนคุณหมอมาตรวจ แอบถามคุณหมอว่า ทำไมเคสเราจึงผ่านาน คุณหมอบอกว่า เนื้อแข็งมาก ต้องค่อยๆเลาะออก เรารู้สึกสงสารคุณหมอมาก ต้องยืนผ่านถึง 10 ชม
   เมื่อได้กลับห้องมาสองวันแรก ก็ยังเดินเองไม่ได้ สามีต้องคอยพยุงเดินตลอด พอวันที่สามหมอก็เริ่มหยุดให้มอร์ฟีน ให้ทานเป็นยาแก้ปวดไอบูโรเฟ่น แทน ตอนช่วงที่ได้เป็นมอร์ฟีน ตอนนั้นสามารถนอนหลับได้ดี แต่ทุกครั้งที่หลับ จะฝันแต่ถึงสถานที่ ที่ดูหม่นๆ ดูสกปรก ตลอด พอกลับมาห้องได้เป็นยาแก้ปวดแทน ก็เริ่มนอนไม่ค่อยได้เพราะปวดแผล และคืนนั้นเอง ก็มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นกับเรา ทุกครั้งที่หลับ เราจะมีอาการผีอำ ในฝัน เราจะถูกดึงลงจากเตียง ได้ยินเสียงคนหัวเราะอยู่รอบๆเตียง ได้ยินเหมือนเสียงพระสวดศพ พอสะดุ้งตื่น เราก็คิดว่า คงเป็นเพราะร่างกายเราเจ็บป่วยอยู่ จึงทำให้ฝันแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่ตั้งต้นหลับใหม่ ก็จะถูกอำตลอด สี่ห้ารอบที่เป็นอย่างนี้ จนรอบสุดท้ายเราตะโกนเรียกสามีให้ตื่น และขอพระที่ห้อยคอเขามาคล้อง และบอกสามีว่า เขาไม่ยอมให้ฉันนอนเลย พร้อมกับร้องไห้ ด้วยความล้า ในขณะนั้น พยาบาลได้เข้ามาจะวัดความดัน จึงถามว่า คนไข้เป็นอะไรคะ เรากลัวว่าพยาบาลจะว่าเราเพ้อเจ้อ จึงบอกว่าไม่มีอะไรค่ะ แล้วเราก็ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน พอออกจากห้องน้ำ พยาบาลท่านนั้น ก็ยังแคลงใจ จึงมองจ้องหน้าเราและเน้นคำพูดว่า "คนไข้คะ คนไข้เป็นอะไรคะ" เราจึงเล่าให้เขาฟัง พยาบาลคนนั้นจึงพูดว่า "วันนี้วันพระหรือเปล่านะ งั้นเดี๋ยวคนไข้สวดมนต์ก่อนนอนนะคะ" เราก็ค่ะ จากนั้นจึงไปเปิดโทรศัพท์ดู จึงรู้ว่า เป็นวันโกน เราเปิดตาถาชินบัญชร ในโทรศัพท์และสวด น่าแปลกมาก ที่เอาพระสามีมาห้อยคอ ก็ยังโดนอำ แต่พอสวดมนต์ปุ๊บ อาการโดนอำ ก็หายทันที และหลับได้ดี แต่จำได้ว่า เสียงสุดท้ายในฝัน ได้ยินเสียงคนพูดขึ้นว่า "ไม่ไปใช่มั้ย" จากนั้นก็ไม่เคยฝันว่าโดนอำอีกเลย รุ่งเช้า เหมือนพยาบาลท่านนั้นได้ไปเล่าให้คนอื่นๆฟัง เพราะพยาบาลทุกคนที่เข้ามาจะถามถึงเรื่องนี้ แม้กระทั่งหมอผู้ช่วย ตอนเข้ามาตรวจ ก็หันไปถามพยาบาลว่า "ใหนๆห้องนี้หรอ" แล้วหมอก็ถามว่า คนไข้จะเอายานอนหลับมั้ยครับ" เราบอกว่า ไม่เป็นไรแล้วค่ะ หลับได้แล้ว" เราเองก็ค่อนข้างงง ที่ได้รับความสนใจขนาดนี้ คิดว่าจะโดนคิดว่าเพ้อเจ้อ วันออกจาก ร.พ จึงถามพยาบาลว่า ห้องนี้มีอะไรหรอคะ พยาบาลบอกว่า ห้องนี้น่ะ หลายคนแล้ว เราก็นึกว่า โดนหลอกมาหลายคนแล้ว พยาบาลบอกว่า ไม่ใช่ค่ะ ตายมาหลายคนแล้ว สรุป ห้องนั้นเป็นห้องที่เฮี้ยนที่สุด เมื่ออยู่ครบแปดวัน หมอก็ให้ออกจาก ร.พ ได้ ผลจากการผ่าตัด อาจารย์หมอเก่งมาก เราไม่ได้ผลกระทบจากการหน้าเบี้ยวเลย กลับมาพักฟื้นที่บ้านอยู่สองเดือน จึงได้กลับไปทำงาน จริงๆมีรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ลิมิตตัวอักษรในพันทิปน่าจะไม่พอ ก็อาจจะขอจบการเล่าแค่นี้นะคะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านประสบการณ์ของเรานะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่