เราอายุ 25-26ละค่ะ
เราโตมาในครอบครัวที่จนมาก
เราเป็นลูกคนโต จำได้ว่าตอนเด็กๆ4-5จำได้ว่าครอบครัวจนแต่มีความสุขมาก ข้าวไม่ค้อยมีกินของเล่นไม่เคยมีแต่อยู่กะพ่อแม่ พอเริ่มอายุ6-7ขวบเรามาอยู่หมู่บ้าน ฝ่ายแม่ของพ่อ ก่อนหน้านี้พ่อกับแม่อยู่จังหวัดอื่น เราก็เริ่มเข้าโรงเรียนเราเข้าโรงเรียนช้านะคะ เรียนได้ประมาณ 1 ปี เริ่มมีสงครามยิงกันแย่งเขาพระวิหาร ระเบิด โดนโรงเรียน เราก็หนีตาย มาอยู่ ในตัวเมือง เรามาเริ่มชีวิตใหม่ในตัวเมือง ได้ประมาณ3ปี เราได้เข้าโรงเรียนใหม่ที่ตัวเมือง เราก็ใช้ชีวิตในตัวเมือง เหมือนเด็กทั่วไป อาจจะไม่ได้มีเงินใช้ไม่ได้มีขนมกิน ไม่ได้มีข้าวกินทุกมื้อ แต่ก็ยังมีความสุข เพราะต่อให้ มีกินบ้างไม่มีกินบ้าง แต่เราก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่และแท้ๆของเรา พอเราเริ่มอายุ 9 ขวบ พ่อแม่ของเรา ก็เริ่มตัดสินใจไปทำงาน ที่กรุงเทพฯ เอาเราไปฝากยายที่ต่างจังหวัด นั้นคือจุดเริ่มต้นของเรา เรามีพี่น้อง 4 คน แม่กับพ่อเอาเราและน้องชายและน้องผู้หญิงอีกคนนึงไปฝากที่ยาย แต่น้องคนเล็กสุด แม่เอาไปด้วย แล้วแม่ก็ทำงาน ส่งเงินทุกเดือน
ตอนที่พวกเราใช้ชีวิตอยู่กับยายนั้นแสนลำบาก เราคือเด็กผู้หญิง 9 ขวบ น้องชายเรา 8 ขวบ น้องสาวเรา 6 ขวบ บ้านยาย ก็จะมีน้องสาวคนเล็กของแม่ อยู่กะยาย น้องสาวของแม่ มีอาชีพ เปิดร้าน ตัดชุด ไทย ลักษณะ ชุดลิเก ที่มันมีปัก ลูกปัดเยอะๆ นะคะ เราก็ไปเรียนรู้ ตั้งแต่ วันที่ 2 ที่ไปถึง เราก็ทำไปเรียนไป น้องเรา น้องผู้ชายก็ไปเลี้ยงควาย เฝ้านา น้องผู้หญิง ไปอยู่บ้านน้องชายของแม่ ไปช่วยเขา ทำงานบ้าน ฟรี เลี้ยงลูกให้เขา ฟรี แต่เราทำงานเก่งนะคะเราเรียนรู้เร็ว แล้วเราก็ได้ไปสมัครเรียน จะเล่ายังไงดี พอเราเริ่มทำงานเก่ง เพราะเราเป็นคนหัวดีค่ะ น้าเราก็เริ่มใช้งานเรา นะเราใช้ให้เราปักเสื้อลิเก ปักแบบทั้งตัวเลยนะคะ ถ้าปักไม่เสร็จ ไม่ต้องกินข้าว ไม่ต้องนอน ลองนึกถึงเด็ก 9 ขวบถึง 10 ขวบ ทำงาน นั่งปักลูกปัดถึงตี2-3ทุกวันเช้ามาก็มาโรงเรียน ปีแรกลำบากแบบรับได้ ปีที่ 2 ปีที่ 3 เริ่มหนักขึ้น เราก็ไม่กล้าบอกแม่กับพ่อเรานะคะ กลัวเขาเป็นห่วง บางครั้ง เราเรียนอยู่ในโรงเรียนอยู่ดีๆ โทรหาเรากลับบ้านด่วน มาทำงานให้ลูกค้า ต้องมาทำเสื้อให้ลูกค้าให้เสร็จ ลูกค้าเร่งมา เราก็ต้องกลับนะคะ หวังแต่ อยากให้ครูครูช่วย แต่ดูเหมือนว่า ไม่มีใครช่วยได้เลย บางวัน ข้าวยังเรายังกินไม่อิ่มกันเลยค่ะ เวลาหุงข้าว เขาจะกำหนดว่า ต้องหุงข้าววันละ 3-4 กระป๋อง มีคนกินทั้งหมด 7 คน พวกเรา 3 พี่น้อง จะกินยังไงก็ได้ เด็กๆจะอิ่มไม่อิ่มไม่รู้ แต่ที่รู้ๆต้องหุงข้าววันละแค่นั้น และต้องเหลือข้าวให้เยอะ เดี๋ยวนะจะกินไม่อิ่ม เราสามพี่น้อง ก็ต้องกินแบบ ไม่อิ่ม ก็ต้องอิ่ม เพราะถ้าเรากินหมด แล้วเราจะโดนตี มีวันหนึ่ง น้องชายเรา ไปเลี้ยงควาย ที่นา ด้วยความที่เป็นเด็กของน้องชาย น้องชายก็ไปเล่นน้ำ ควายก็หลุด ไปกินนาชาวบ้าน ยาย ก็เลยตี น้องชายของแม่ ขี่รถไล่ตีน้องชายเรา จากนาจนมาถึงบ้าน ลองนึกถึง คนเราขี่รถไล่ตีควาย ประมาณนั้นแหละ แต่ที่ตีอยู่นั้นไม่ใช่ควาย แต่เป็นน้องชายเรา น้องสาวเรา ก็ทำงานบ้านให้เขาสารพัด เขาก็ยังบอกว่า ยังไม่ดี เท่ากับมาเฝ้าบ้านเขาเลย วันนั้น น้องชายเรากลับถึงบ้าน ยายก็เลยทำโทษด้วยการ หมัดติดกับเสา แล้วเอามดแดง มาให้กัด น้องชายเรา บางวัน ก็ทำโทษด้วยการมัดแล้วห้อยหัวลงล่าง เราร้องไห้ด้วยความเป็นเด็กไม่รู้จะทำยังไง ตัวเราเอง บางวันเราทำงานดึกใช่ไหมคะ ด้วยความเป็นเด็กและเราก็ง่วง เราปักเสื้อ จนถึงตี 2 ตี 3 เราก็เผลอหลับตอน 2:00 น กว่าเกือบตี 3 ยายเรา ก็เลยเอาน้ำเท จากบนบ้านลงมาข้างล่าง บ้านยายเรา เป็นบ้าน 2 ชั้นนะคะ แบบว่าบ้านโบราณนะคะ ข้างล่างก็จะเทพื้น แล้วก็ขึ้นมา ข้างบนก็จะเป็นไม้หมดเลยนะคะ มันก็จะมีรู พื้นบ้านนั่นแหละค่ะ ถ้าเดือนไหนที่แม่เราช็อต แม่เราไม่ฝากเงินมาให้ ยายกับน้าเรา ก็จะสอนให้เราด่าพ่อด่าแม่ อย่างนู้นอย่างนี้ สารพัดคำด่า แต่เรา ด่าไม่ได้ค่ะ เรา จำไว้ในใจเสมอว่า พ่อแม่ของเราคือพระเจ้า ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีเรา บางวันเราทำงานดึก ประมาณว่า เป็นชุดที่ลูกค้าเร่งจะเอาให้เสร็จภายในพรุ่งนี้ประมาณนี้ น้าเขาก็จะได้งานเรา วันนั้นเป็นวันที่เราจะสอบตอนเช้า คืนวันนั้นน้าให้เราทำงานปักเสื้อที่เราปักอยู่ให้เสร็จภายใน 1 คืน แบบว่า ถ้าคืนนี้ไม่เสร็จพรุ่งนี้ไม่ต้องไปโรงเรียน เราก็ต้องทำให้เสร็จ งานปักเยอะมากเลยนะคะ เคยทั้งตัวของเสื้อเลย เราก็เร่งสุดๆ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน ดีกว่า ตี 5 ครึ่งเรากราบลงไหว้พระจันทร์ ร้องไห้อ้อนวอน ขอให้พระจันทร์ยืดเวลา อย่าเพิ่งเช้าเลย เพราะเราอยากไปสอบ แต่เสื้อมันยังไม่เสร็จ ต้องตัดอีกสักพักถ้าทำจริงๆประมาร 9โมงกว่าจะเส็จแบบ สมบูรณ์ ร้องไห้ อ้อนวอนกราบไหว้ตอบพระจันทร์ แต่มันก็ไม่เป็นผล อย่าดราม่าเลยนะคะ เพราะตอนนั้นคือความคิดของเด็กน้อย คิดว่าประกันอาจจะรู้เวลาได้ สุดท้ายเราก็ไม่ได้สอบนะคะ เราเป็นคนใฝ่เรียนรู้ค่ะ เราอยากรู้หนังสือ เราเลยพยายามเก็บทุกกิจกรรมแต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ทุกวันที่เราพิมพ์หนังสือได้ เรามาเรียนรู้เอาตอนโตแล้วนะคะ เรากลับมาอยู่กับพ่อแม่ของเรา มันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวนะคะ ที่เขาทำ มันทุกครั้ง ทุกวันนี้เรายังไม่เคยไปบ้านเขาเลย แม่เรา ไปเอาเรากลับมาอยู่ด้วยกันตอนเราอายุ 13 ปี เราก็มาอยู่ด้วยกันที่ชลบุรี งานแรกที่เราทำคืองานก่อสร้างนะคะ เด็ก 13 งานก่อสร้างทั่วไป ความจริงเขาก็ไม่รับหรอกค่ะ แต่ด้วยความที่ว่าเราเป็นคนตัวโต เขาทำงานขอ ค่าแรงขั้นต่ำมาใช้เป็นวันๆ ทำรื้อจนกว่า เราอายุ 14 อ๋อลืมบอกไปนะคะ หนูไม่ใช่คนไทยนะคะ หนูเป็นคนกัมพูชาค่ะ แต่ทุกวันนี้มีแฟนเป็นคนไทย มีลูกเป็นคนไทย ตอนเรามาอยู่ชลบุรีด้วยกัน นั้นคือจุดเริ่มต้นของเราค่ะ เราเริ่มทำงานก่อสร้างงานแรก มัน ก็ไม่ใช่งานที่เราถนัด ทำได้ไม่มั่นคง งานที่ 2 คืองานแม่บ้าน ทำได้นะคะ ไม่เลือกงาน แต่อาจไม่ใช่งานที่เราถนัด เลยหางานใหม่ ทำค่ะ ก็คือมาเป็นเด็กเสิร์ฟ ร้านหมูกระ ร่าเริงอยู่แถวอ่าวอุดมนะคะ ขอเอ่ยชื่อร้านนะคะ เพราะว่าเจ้าของร้านเป็นคนดีมาก ก่อนที่เรามาทำงานที่ร้านหมูกระทะร่าเริงแถวอ่าวอุดม เราก็ไปทำงานที่ร้านหมูกะทะแถวๆนั้นก่อนเป็นร้านหมูกระทะเหมือนกันค่ะ แต่เป็นบุฟเฟ่ต์ เพราะตอนนั้นหนูมาสมัครที่ร้านร่าเริงแล้วแต่เขายังไม่รับยื่นใบสมัครไว้เฉยๆ หนูก็เลยไปไหว้ ของานอีกร้านนึง เขาก็ไม่รับคนเต็ม แต่ก็อ้อนวอนของว่า หนูขอทำงานแค่สัก 2-3 วันก็ได้ค่ะ ขอให้มีเงินกินข้าวก็พอแล้วค่ะ เขาบอกว่าเขาจะให้เราวันละ 200 นะ เรารับไหวไหม เราบอกว่าไหวค่ะ เท่าไหร่ก็ได้ค่ะ พอเราทำงานไป ได้ 4-5 วันด้วยความที่ว่าเราเป็นคนขยันอยู่แล้วเราเป็นคนร่าเริงอยู่แล้วเจ้าของร้านเขาก็เลยชอบเจ้าของร้านเป็นผู้หญิงนะคะ เขาเลยขอให้เราอยู่ด้วย แต่เราดันสมัครไว้กับ อีกร้านแล้ว แล้วเขาก็เรียกตัวพอดี เราก็เลยขอเขาออก เราก็ไม่อยากออกนะคะ แต่เพราะตอนแรก ป้าเขาบอกว่ายังไม่รับ จะรับเราแค่ชั่วคราว เราก็ยื่นใบสมัครไว้กับที่อื่น และอีกอย่าง แม่เราอยากให้เราทำงานกับน้าเราด้วย เพราะเป็นห่วง เราอยู่กันคนละจังหวัดนะคะ แม่ก็เลยอยากให้เราทำงานที่เดียวกันนะ สุดท้ายเราก็ออกมาจนได้ค่ะ แต่ป้าเขาเป็นคนดีมากเลยนะคะ งานที่ร้านเขา เยอะมากค่ะ ร้านเขาก็ขายดีมากเหมือนกัน แต่ถ้าเราทำงานแบบไม่บ่น ไม่ขี้โม้ มันก็ไม่เหนื่อย เจ้าของเขาก็รัก เราก็มาเริ่มงานใหม่ที่หมูกระทะร่าเริง เจ้าของร้านเป็นคุณลุง คนหนึ่งลุงเขาใจดีค่ะ ไปแรกๆก็เหมือนพนักงานทั่วไปนั่นแหละค่ะ ทำงานไป ไม่บ่นไม่รอแต่เงินติ๊บจากลูกค้า เห็นอะไรขวางหูขวางตาทำหมด ทำทุกอย่าง ตอนนั้นเราสตาร์ทเงินเดือนที่ 250 บาทนะคะ แล้วก็ขึ้นมาตลอด อยู่ที่ 280 ค่ะตอนนั้น ยังไม่ถึง 300 บาทนะคะ ซึ่งเราไม่ใช่คนไทย เราก็อาจจะไม่ได้คะแนนขั้นต่ำของคนไทยค่ะ แต่เราก็ใช้ไม่พอ ถ้าเราต้องหาเงินฝากให้พ่อให้แม่เราก็เริ่มหาจ๊อบพิเศษ ตอนนั้นเราทำงานที่ร้านหมูกระทะ เข้า 4 โมงเย็น ออก 23:00 น เราก็ไปรับจ๊อบล้างจานร้านอาหาร 23:00 น ถึง 2:00 น บางวันก็ตี 3 ได้มา 150แถวนั้น มีเด็กนักศึกษาเยอะค่ะ ร้านค้าร้านอาหารเลยเปิดกันเด็กๆ พอเรา กลับบ้าน ก็ประมาณตี 3 ครึ่ง หลับ ประมาณ โมงถึง 2 โมงเช้า ก็ตื่นไปรับจ๊อบ ล้างจานร้านบุฟเฟ่ต์หมูกระทะ ล้างตั้งแต่ 9:00 น ถึง เที่ยงวันค่ะ ได้มา 100 เราก็ไปรับจ๊อบต่อ ไปล้างกระทะที่ร้านที่เราทำอยู่ค่ะ ล้างตั้งแต่เที่ยง จนถึง 14:00 น ถ้าขับเร็วก็ไม่ถึง 14:00 น แต่ส่วนมากก็จะเกือบ 14:00 น ทุกวันเลย ได้มาอีก 100 แล้วก็กลับบ้านไปพักผ่อนนิดหน่อย ก็ได้เวลามาทำงานอีกแล้ว เงินเดือนเราไม่เคยใช้เลยนะคะ เราเป็นเด็กที่ประหยัดมาก เงินที่รับจ๊อบมาแล้วก็ไม่เคยใช้เราใช้แต่เงินทิปจากลูกค้าเพราะลูกค้าที่เขามาทาน หมูกะทะ เขาเห็นเราขยัน เขาก็ให้ติ๊บเรา เรียกเราไปให้ติ๊บเลย ลูกค้าเข้าใจดีมากเลย 10 บาท 20 บาท เราก็เก็บไปซื้อข้าวทานทุกวันค่ะ เงินเดือนบางส่วน เราเอาไปช่วยออกค่าไฟ ค่าข้าวนะ เดือนละ 1,000 บาท ที่เหลือฝากให้พ่อให้แม่หมดเลย แม่ก็ช่าง ทำงานนานๆไป ลุงเจ้าของร้าน เขาน่าจะสังเกตแต่ว่า ลูกน้องคนไหนขยันคนไหนไม่ขยัน เขาก็จะเอ็นดูเราเป็นพิเศษ เพราะเราเด็กกว่าเขาที่สุดแล้ว เป็นเด็กสาวอายุ 13 ขวบนี่เอง ร้านหมูกะทะราชเทวีนี่แหละค่ะ ที่ทำให้เรารู้ภาษาไทย เพราะเราเห็นหลานสาวของร้านหมูกะทะ เรียนภาษาไทย เราก็อยากรู้ภาษาไทยบ้าง เราเลยเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเองจากมือถือบางวันเรามาทำงาน เราก็เรียนรู้ไปด้วย ได้หลานสาวของร้านหมูกระทะ ช่วยชี้แนะไปบังคับขอบคุณเขามากเลย ทุกวันเราก็ยังไม่ลืมเขานะคะ ทุกวันนี้ เรามีแฟนมีลูกแล้ว มีชีวิตที่ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่เราก็คิดถึงลุงเขามาก คิดว่าถ้ามีโอกาส จะถือกับสาวไปเยี่ยมเขา แต่ข่าวที่ได้รับคืน ลุงเขาขายร้านไปแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าลุงเขา ไปอยู่ที่ไหน แต่ก็ยังยังจำเรื่องเขาไม่มีวันลืมนะคะ หนูเป็นคนรู้บุญคุณคน ไทยทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ส่วนมากไป 80% จากใจแลกใจ และอีก 20% ที่เจอมานั้น มีแบบยืมเงินไม่คืนบ้าง ว่าเราเสียหายหลังๆบ้างทั้งๆที่ไม่จริงไม่เคยไปบ้านคนอื่น แต่เขาก็ยังนินทาได้ บางคนเอาลูกมาอ้างเพื่อที่จะขอยืมเงิน ซ้ำ สุดท้ายเราก็ต้องยกหนี้ให้เขา ด้วยความที่ตอนเป็นเด็กเราเป็นคนร่าเริงเป็นคนพูดจาฉะฉาน ขี้โม้ไปเรื่อยๆ พอนั่งนึกย้อนหลังแล้ว ลุงๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ที่เราเคยทำงานด้วยนั้น เขาทนนั่งฟังเราขี้โม้ได้ยังไง บางวันเราล้างจานด้วยโม้ไปด้วย ขัดกระทะไปด้วยมองไปด้วย ทำงานไปด้วยมองไปด้วย แต่โม้ในลักษณะความเป็นเด็กนะคะ ไม่มีผิดพายอะไรกับใครเลย ทุกวันนี้ยังคุยกับแฟนอยู่เลยว่า หนูมีคนที่อยากจะไปเยี่ยม อยากจะไปแวะหา เพราะเขา เป็นจุดเริ่มต้นให้เรา เริ่มศึกษาใฝ่รู้ใฝ่เรียน ภาษาไทย หนูเป็นคน จำบุญคุณคนนะคะ ใครทำดีกันหนู 10 ปี 20 ปี 100 ปีหนูก็ไม่ลืม ทุกวันนี้ก็ยังคิดจะไปเยี่ยมลุงเขาอยู่ คิดอยากไปเยี่ยมทุกคน ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และช่วยเหลือเรา ต่อให้เขาใช้งานเราก็ช่าง เราต้องคิดบวกว่าไม่มีใครได้เงินมาฟรีๆหรอก ไม่งั้นจะทำให้คนขี้เกียจได้ เราจะทำดีหรือไม่ดีแค่นั้นแหละ ที่เขาเลือกจะรักเอ็นดูหรือไม่รักไม่เอ็นดู มีอีกเยอะค่ะ พอแต่แค่นี้ก่อน มีเวลาจะมาเล่าต่อค่ะ!
เรื่องเล่าชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร
เราโตมาในครอบครัวที่จนมาก
เราเป็นลูกคนโต จำได้ว่าตอนเด็กๆ4-5จำได้ว่าครอบครัวจนแต่มีความสุขมาก ข้าวไม่ค้อยมีกินของเล่นไม่เคยมีแต่อยู่กะพ่อแม่ พอเริ่มอายุ6-7ขวบเรามาอยู่หมู่บ้าน ฝ่ายแม่ของพ่อ ก่อนหน้านี้พ่อกับแม่อยู่จังหวัดอื่น เราก็เริ่มเข้าโรงเรียนเราเข้าโรงเรียนช้านะคะ เรียนได้ประมาณ 1 ปี เริ่มมีสงครามยิงกันแย่งเขาพระวิหาร ระเบิด โดนโรงเรียน เราก็หนีตาย มาอยู่ ในตัวเมือง เรามาเริ่มชีวิตใหม่ในตัวเมือง ได้ประมาณ3ปี เราได้เข้าโรงเรียนใหม่ที่ตัวเมือง เราก็ใช้ชีวิตในตัวเมือง เหมือนเด็กทั่วไป อาจจะไม่ได้มีเงินใช้ไม่ได้มีขนมกิน ไม่ได้มีข้าวกินทุกมื้อ แต่ก็ยังมีความสุข เพราะต่อให้ มีกินบ้างไม่มีกินบ้าง แต่เราก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่และแท้ๆของเรา พอเราเริ่มอายุ 9 ขวบ พ่อแม่ของเรา ก็เริ่มตัดสินใจไปทำงาน ที่กรุงเทพฯ เอาเราไปฝากยายที่ต่างจังหวัด นั้นคือจุดเริ่มต้นของเรา เรามีพี่น้อง 4 คน แม่กับพ่อเอาเราและน้องชายและน้องผู้หญิงอีกคนนึงไปฝากที่ยาย แต่น้องคนเล็กสุด แม่เอาไปด้วย แล้วแม่ก็ทำงาน ส่งเงินทุกเดือน
ตอนที่พวกเราใช้ชีวิตอยู่กับยายนั้นแสนลำบาก เราคือเด็กผู้หญิง 9 ขวบ น้องชายเรา 8 ขวบ น้องสาวเรา 6 ขวบ บ้านยาย ก็จะมีน้องสาวคนเล็กของแม่ อยู่กะยาย น้องสาวของแม่ มีอาชีพ เปิดร้าน ตัดชุด ไทย ลักษณะ ชุดลิเก ที่มันมีปัก ลูกปัดเยอะๆ นะคะ เราก็ไปเรียนรู้ ตั้งแต่ วันที่ 2 ที่ไปถึง เราก็ทำไปเรียนไป น้องเรา น้องผู้ชายก็ไปเลี้ยงควาย เฝ้านา น้องผู้หญิง ไปอยู่บ้านน้องชายของแม่ ไปช่วยเขา ทำงานบ้าน ฟรี เลี้ยงลูกให้เขา ฟรี แต่เราทำงานเก่งนะคะเราเรียนรู้เร็ว แล้วเราก็ได้ไปสมัครเรียน จะเล่ายังไงดี พอเราเริ่มทำงานเก่ง เพราะเราเป็นคนหัวดีค่ะ น้าเราก็เริ่มใช้งานเรา นะเราใช้ให้เราปักเสื้อลิเก ปักแบบทั้งตัวเลยนะคะ ถ้าปักไม่เสร็จ ไม่ต้องกินข้าว ไม่ต้องนอน ลองนึกถึงเด็ก 9 ขวบถึง 10 ขวบ ทำงาน นั่งปักลูกปัดถึงตี2-3ทุกวันเช้ามาก็มาโรงเรียน ปีแรกลำบากแบบรับได้ ปีที่ 2 ปีที่ 3 เริ่มหนักขึ้น เราก็ไม่กล้าบอกแม่กับพ่อเรานะคะ กลัวเขาเป็นห่วง บางครั้ง เราเรียนอยู่ในโรงเรียนอยู่ดีๆ โทรหาเรากลับบ้านด่วน มาทำงานให้ลูกค้า ต้องมาทำเสื้อให้ลูกค้าให้เสร็จ ลูกค้าเร่งมา เราก็ต้องกลับนะคะ หวังแต่ อยากให้ครูครูช่วย แต่ดูเหมือนว่า ไม่มีใครช่วยได้เลย บางวัน ข้าวยังเรายังกินไม่อิ่มกันเลยค่ะ เวลาหุงข้าว เขาจะกำหนดว่า ต้องหุงข้าววันละ 3-4 กระป๋อง มีคนกินทั้งหมด 7 คน พวกเรา 3 พี่น้อง จะกินยังไงก็ได้ เด็กๆจะอิ่มไม่อิ่มไม่รู้ แต่ที่รู้ๆต้องหุงข้าววันละแค่นั้น และต้องเหลือข้าวให้เยอะ เดี๋ยวนะจะกินไม่อิ่ม เราสามพี่น้อง ก็ต้องกินแบบ ไม่อิ่ม ก็ต้องอิ่ม เพราะถ้าเรากินหมด แล้วเราจะโดนตี มีวันหนึ่ง น้องชายเรา ไปเลี้ยงควาย ที่นา ด้วยความที่เป็นเด็กของน้องชาย น้องชายก็ไปเล่นน้ำ ควายก็หลุด ไปกินนาชาวบ้าน ยาย ก็เลยตี น้องชายของแม่ ขี่รถไล่ตีน้องชายเรา จากนาจนมาถึงบ้าน ลองนึกถึง คนเราขี่รถไล่ตีควาย ประมาณนั้นแหละ แต่ที่ตีอยู่นั้นไม่ใช่ควาย แต่เป็นน้องชายเรา น้องสาวเรา ก็ทำงานบ้านให้เขาสารพัด เขาก็ยังบอกว่า ยังไม่ดี เท่ากับมาเฝ้าบ้านเขาเลย วันนั้น น้องชายเรากลับถึงบ้าน ยายก็เลยทำโทษด้วยการ หมัดติดกับเสา แล้วเอามดแดง มาให้กัด น้องชายเรา บางวัน ก็ทำโทษด้วยการมัดแล้วห้อยหัวลงล่าง เราร้องไห้ด้วยความเป็นเด็กไม่รู้จะทำยังไง ตัวเราเอง บางวันเราทำงานดึกใช่ไหมคะ ด้วยความเป็นเด็กและเราก็ง่วง เราปักเสื้อ จนถึงตี 2 ตี 3 เราก็เผลอหลับตอน 2:00 น กว่าเกือบตี 3 ยายเรา ก็เลยเอาน้ำเท จากบนบ้านลงมาข้างล่าง บ้านยายเรา เป็นบ้าน 2 ชั้นนะคะ แบบว่าบ้านโบราณนะคะ ข้างล่างก็จะเทพื้น แล้วก็ขึ้นมา ข้างบนก็จะเป็นไม้หมดเลยนะคะ มันก็จะมีรู พื้นบ้านนั่นแหละค่ะ ถ้าเดือนไหนที่แม่เราช็อต แม่เราไม่ฝากเงินมาให้ ยายกับน้าเรา ก็จะสอนให้เราด่าพ่อด่าแม่ อย่างนู้นอย่างนี้ สารพัดคำด่า แต่เรา ด่าไม่ได้ค่ะ เรา จำไว้ในใจเสมอว่า พ่อแม่ของเราคือพระเจ้า ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีเรา บางวันเราทำงานดึก ประมาณว่า เป็นชุดที่ลูกค้าเร่งจะเอาให้เสร็จภายในพรุ่งนี้ประมาณนี้ น้าเขาก็จะได้งานเรา วันนั้นเป็นวันที่เราจะสอบตอนเช้า คืนวันนั้นน้าให้เราทำงานปักเสื้อที่เราปักอยู่ให้เสร็จภายใน 1 คืน แบบว่า ถ้าคืนนี้ไม่เสร็จพรุ่งนี้ไม่ต้องไปโรงเรียน เราก็ต้องทำให้เสร็จ งานปักเยอะมากเลยนะคะ เคยทั้งตัวของเสื้อเลย เราก็เร่งสุดๆ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน ดีกว่า ตี 5 ครึ่งเรากราบลงไหว้พระจันทร์ ร้องไห้อ้อนวอน ขอให้พระจันทร์ยืดเวลา อย่าเพิ่งเช้าเลย เพราะเราอยากไปสอบ แต่เสื้อมันยังไม่เสร็จ ต้องตัดอีกสักพักถ้าทำจริงๆประมาร 9โมงกว่าจะเส็จแบบ สมบูรณ์ ร้องไห้ อ้อนวอนกราบไหว้ตอบพระจันทร์ แต่มันก็ไม่เป็นผล อย่าดราม่าเลยนะคะ เพราะตอนนั้นคือความคิดของเด็กน้อย คิดว่าประกันอาจจะรู้เวลาได้ สุดท้ายเราก็ไม่ได้สอบนะคะ เราเป็นคนใฝ่เรียนรู้ค่ะ เราอยากรู้หนังสือ เราเลยพยายามเก็บทุกกิจกรรมแต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ทุกวันที่เราพิมพ์หนังสือได้ เรามาเรียนรู้เอาตอนโตแล้วนะคะ เรากลับมาอยู่กับพ่อแม่ของเรา มันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวนะคะ ที่เขาทำ มันทุกครั้ง ทุกวันนี้เรายังไม่เคยไปบ้านเขาเลย แม่เรา ไปเอาเรากลับมาอยู่ด้วยกันตอนเราอายุ 13 ปี เราก็มาอยู่ด้วยกันที่ชลบุรี งานแรกที่เราทำคืองานก่อสร้างนะคะ เด็ก 13 งานก่อสร้างทั่วไป ความจริงเขาก็ไม่รับหรอกค่ะ แต่ด้วยความที่ว่าเราเป็นคนตัวโต เขาทำงานขอ ค่าแรงขั้นต่ำมาใช้เป็นวันๆ ทำรื้อจนกว่า เราอายุ 14 อ๋อลืมบอกไปนะคะ หนูไม่ใช่คนไทยนะคะ หนูเป็นคนกัมพูชาค่ะ แต่ทุกวันนี้มีแฟนเป็นคนไทย มีลูกเป็นคนไทย ตอนเรามาอยู่ชลบุรีด้วยกัน นั้นคือจุดเริ่มต้นของเราค่ะ เราเริ่มทำงานก่อสร้างงานแรก มัน ก็ไม่ใช่งานที่เราถนัด ทำได้ไม่มั่นคง งานที่ 2 คืองานแม่บ้าน ทำได้นะคะ ไม่เลือกงาน แต่อาจไม่ใช่งานที่เราถนัด เลยหางานใหม่ ทำค่ะ ก็คือมาเป็นเด็กเสิร์ฟ ร้านหมูกระ ร่าเริงอยู่แถวอ่าวอุดมนะคะ ขอเอ่ยชื่อร้านนะคะ เพราะว่าเจ้าของร้านเป็นคนดีมาก ก่อนที่เรามาทำงานที่ร้านหมูกระทะร่าเริงแถวอ่าวอุดม เราก็ไปทำงานที่ร้านหมูกะทะแถวๆนั้นก่อนเป็นร้านหมูกระทะเหมือนกันค่ะ แต่เป็นบุฟเฟ่ต์ เพราะตอนนั้นหนูมาสมัครที่ร้านร่าเริงแล้วแต่เขายังไม่รับยื่นใบสมัครไว้เฉยๆ หนูก็เลยไปไหว้ ของานอีกร้านนึง เขาก็ไม่รับคนเต็ม แต่ก็อ้อนวอนของว่า หนูขอทำงานแค่สัก 2-3 วันก็ได้ค่ะ ขอให้มีเงินกินข้าวก็พอแล้วค่ะ เขาบอกว่าเขาจะให้เราวันละ 200 นะ เรารับไหวไหม เราบอกว่าไหวค่ะ เท่าไหร่ก็ได้ค่ะ พอเราทำงานไป ได้ 4-5 วันด้วยความที่ว่าเราเป็นคนขยันอยู่แล้วเราเป็นคนร่าเริงอยู่แล้วเจ้าของร้านเขาก็เลยชอบเจ้าของร้านเป็นผู้หญิงนะคะ เขาเลยขอให้เราอยู่ด้วย แต่เราดันสมัครไว้กับ อีกร้านแล้ว แล้วเขาก็เรียกตัวพอดี เราก็เลยขอเขาออก เราก็ไม่อยากออกนะคะ แต่เพราะตอนแรก ป้าเขาบอกว่ายังไม่รับ จะรับเราแค่ชั่วคราว เราก็ยื่นใบสมัครไว้กับที่อื่น และอีกอย่าง แม่เราอยากให้เราทำงานกับน้าเราด้วย เพราะเป็นห่วง เราอยู่กันคนละจังหวัดนะคะ แม่ก็เลยอยากให้เราทำงานที่เดียวกันนะ สุดท้ายเราก็ออกมาจนได้ค่ะ แต่ป้าเขาเป็นคนดีมากเลยนะคะ งานที่ร้านเขา เยอะมากค่ะ ร้านเขาก็ขายดีมากเหมือนกัน แต่ถ้าเราทำงานแบบไม่บ่น ไม่ขี้โม้ มันก็ไม่เหนื่อย เจ้าของเขาก็รัก เราก็มาเริ่มงานใหม่ที่หมูกระทะร่าเริง เจ้าของร้านเป็นคุณลุง คนหนึ่งลุงเขาใจดีค่ะ ไปแรกๆก็เหมือนพนักงานทั่วไปนั่นแหละค่ะ ทำงานไป ไม่บ่นไม่รอแต่เงินติ๊บจากลูกค้า เห็นอะไรขวางหูขวางตาทำหมด ทำทุกอย่าง ตอนนั้นเราสตาร์ทเงินเดือนที่ 250 บาทนะคะ แล้วก็ขึ้นมาตลอด อยู่ที่ 280 ค่ะตอนนั้น ยังไม่ถึง 300 บาทนะคะ ซึ่งเราไม่ใช่คนไทย เราก็อาจจะไม่ได้คะแนนขั้นต่ำของคนไทยค่ะ แต่เราก็ใช้ไม่พอ ถ้าเราต้องหาเงินฝากให้พ่อให้แม่เราก็เริ่มหาจ๊อบพิเศษ ตอนนั้นเราทำงานที่ร้านหมูกระทะ เข้า 4 โมงเย็น ออก 23:00 น เราก็ไปรับจ๊อบล้างจานร้านอาหาร 23:00 น ถึง 2:00 น บางวันก็ตี 3 ได้มา 150แถวนั้น มีเด็กนักศึกษาเยอะค่ะ ร้านค้าร้านอาหารเลยเปิดกันเด็กๆ พอเรา กลับบ้าน ก็ประมาณตี 3 ครึ่ง หลับ ประมาณ โมงถึง 2 โมงเช้า ก็ตื่นไปรับจ๊อบ ล้างจานร้านบุฟเฟ่ต์หมูกระทะ ล้างตั้งแต่ 9:00 น ถึง เที่ยงวันค่ะ ได้มา 100 เราก็ไปรับจ๊อบต่อ ไปล้างกระทะที่ร้านที่เราทำอยู่ค่ะ ล้างตั้งแต่เที่ยง จนถึง 14:00 น ถ้าขับเร็วก็ไม่ถึง 14:00 น แต่ส่วนมากก็จะเกือบ 14:00 น ทุกวันเลย ได้มาอีก 100 แล้วก็กลับบ้านไปพักผ่อนนิดหน่อย ก็ได้เวลามาทำงานอีกแล้ว เงินเดือนเราไม่เคยใช้เลยนะคะ เราเป็นเด็กที่ประหยัดมาก เงินที่รับจ๊อบมาแล้วก็ไม่เคยใช้เราใช้แต่เงินทิปจากลูกค้าเพราะลูกค้าที่เขามาทาน หมูกะทะ เขาเห็นเราขยัน เขาก็ให้ติ๊บเรา เรียกเราไปให้ติ๊บเลย ลูกค้าเข้าใจดีมากเลย 10 บาท 20 บาท เราก็เก็บไปซื้อข้าวทานทุกวันค่ะ เงินเดือนบางส่วน เราเอาไปช่วยออกค่าไฟ ค่าข้าวนะ เดือนละ 1,000 บาท ที่เหลือฝากให้พ่อให้แม่หมดเลย แม่ก็ช่าง ทำงานนานๆไป ลุงเจ้าของร้าน เขาน่าจะสังเกตแต่ว่า ลูกน้องคนไหนขยันคนไหนไม่ขยัน เขาก็จะเอ็นดูเราเป็นพิเศษ เพราะเราเด็กกว่าเขาที่สุดแล้ว เป็นเด็กสาวอายุ 13 ขวบนี่เอง ร้านหมูกะทะราชเทวีนี่แหละค่ะ ที่ทำให้เรารู้ภาษาไทย เพราะเราเห็นหลานสาวของร้านหมูกะทะ เรียนภาษาไทย เราก็อยากรู้ภาษาไทยบ้าง เราเลยเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเองจากมือถือบางวันเรามาทำงาน เราก็เรียนรู้ไปด้วย ได้หลานสาวของร้านหมูกระทะ ช่วยชี้แนะไปบังคับขอบคุณเขามากเลย ทุกวันเราก็ยังไม่ลืมเขานะคะ ทุกวันนี้ เรามีแฟนมีลูกแล้ว มีชีวิตที่ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่เราก็คิดถึงลุงเขามาก คิดว่าถ้ามีโอกาส จะถือกับสาวไปเยี่ยมเขา แต่ข่าวที่ได้รับคืน ลุงเขาขายร้านไปแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าลุงเขา ไปอยู่ที่ไหน แต่ก็ยังยังจำเรื่องเขาไม่มีวันลืมนะคะ หนูเป็นคนรู้บุญคุณคน ไทยทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ส่วนมากไป 80% จากใจแลกใจ และอีก 20% ที่เจอมานั้น มีแบบยืมเงินไม่คืนบ้าง ว่าเราเสียหายหลังๆบ้างทั้งๆที่ไม่จริงไม่เคยไปบ้านคนอื่น แต่เขาก็ยังนินทาได้ บางคนเอาลูกมาอ้างเพื่อที่จะขอยืมเงิน ซ้ำ สุดท้ายเราก็ต้องยกหนี้ให้เขา ด้วยความที่ตอนเป็นเด็กเราเป็นคนร่าเริงเป็นคนพูดจาฉะฉาน ขี้โม้ไปเรื่อยๆ พอนั่งนึกย้อนหลังแล้ว ลุงๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ที่เราเคยทำงานด้วยนั้น เขาทนนั่งฟังเราขี้โม้ได้ยังไง บางวันเราล้างจานด้วยโม้ไปด้วย ขัดกระทะไปด้วยมองไปด้วย ทำงานไปด้วยมองไปด้วย แต่โม้ในลักษณะความเป็นเด็กนะคะ ไม่มีผิดพายอะไรกับใครเลย ทุกวันนี้ยังคุยกับแฟนอยู่เลยว่า หนูมีคนที่อยากจะไปเยี่ยม อยากจะไปแวะหา เพราะเขา เป็นจุดเริ่มต้นให้เรา เริ่มศึกษาใฝ่รู้ใฝ่เรียน ภาษาไทย หนูเป็นคน จำบุญคุณคนนะคะ ใครทำดีกันหนู 10 ปี 20 ปี 100 ปีหนูก็ไม่ลืม ทุกวันนี้ก็ยังคิดจะไปเยี่ยมลุงเขาอยู่ คิดอยากไปเยี่ยมทุกคน ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และช่วยเหลือเรา ต่อให้เขาใช้งานเราก็ช่าง เราต้องคิดบวกว่าไม่มีใครได้เงินมาฟรีๆหรอก ไม่งั้นจะทำให้คนขี้เกียจได้ เราจะทำดีหรือไม่ดีแค่นั้นแหละ ที่เขาเลือกจะรักเอ็นดูหรือไม่รักไม่เอ็นดู มีอีกเยอะค่ะ พอแต่แค่นี้ก่อน มีเวลาจะมาเล่าต่อค่ะ!