คำเตือน : เรื่องสั้นเรื่องนี้ สงวนสิทธิ์ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่ในทุกช่องทางโดยไม่ได้รับอนุญาต
คุณย่า
พุทธศักราช 2538 ครอบครัวของผมเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ขึ้น ก่อนอื่น ผมต้องขอสาธยายก่อน คำว่าครอบครัวในความหมายของผม หมายถึงครอบครัวจริง ๆ นะครับ ปู่และย่าของผมมีลูกทั้งหมดสิบคนถ้วน แบ่งเป็นผู้หญิงเสียครึ่ง หากขับรถเข้ามาในซอยซึ่งบ้านของผมตั้งอยู่และได้รับเลขที่จากทางอำเภออย่างถูกต้อง จะพบกับกลุ่มบ้านเรือนขนาดใหญ่ที่สุดในซอย นั่นล่ะครับ ตระกูล
ยั่งยืน อยู่ที่นั่น ปลูกบ้านบนที่ทางซึ่งปู่จัดสรรแบ่งปันให้ตั้งแต่ท่านยังสุขภาพดีอยู่ หนำซ้ำตลอดหัวซอยยันท้ายซอยก็ยังเป็นญาติ ๆ กันทั้งสิ้น ฉะนั้น หากจะบอกว่าซอยนี้ อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลยั่งยืน มันก็ดูจะไม่เกินความจริงสักเท่าใดนัก
กลับมาที่ความสูญเสียที่ผมได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ คุณย่าของผมมีอันลาจากโลกนี้ไปด้วยโรคปัจจุบันในสมัยนั้น ไม่ว่าจะแพทย์ของโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ หรือโรงพยาบาลพิษณุเวชซึ่งถูกส่งตัวไปภายหลังก็ไม่อาจยื้อลมหายใจของท่านเอาไว้ได้ ครับ หลังทั้งแม่ของผมรวมถึงบรรดาสะใภ้ทั้งหลาย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเฝ้าไข้ทั้งกลางวันกลางคืนร่วมอาทิตย์ เพื่อไม่ให้ใครหน้าไหนมาดูแคลนเอาได้ว่าสะใภ้ตระกูลนี้ ปล่อยแม่ย่าหนอนแหมะหลังแปะเบาะเพียงลำพัง คุณย่าของผมก็จากไปด้วยอาการกึ่งสงบ
ประเดี๋ยวก่อนนะครับทุกท่าน อย่าเพิ่งฉุนเฉียวหรือนึกรังเกียจรังงอนกันไป หาใช่ผมเอาความตายของญาติผู้ใหญ่มาล้อเล่นนะครับ ท่านจากไปด้วยอาการกึ่งสงบจริง ๆ แรกทีเดียวหลังรับยาจากหมอ ท่านนอนหลับเป็นปกติดีอยู่ ทว่าครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้นร่างกายของท่านก็มีอาการชักเกร็ง หายใจเข้าออกด้วยความลำบาก ราวกับมีบางอย่างขวางทั้งหลอดลมและหลอดอาหารอยู่สองสามครั้งก็นิ่งไป ฉะนั้น หากผมจะบอกว่าท่านจากไปด้วยอาการกึ่งสงบ จึงไม่ผิดถูกต้องไหมครับ?
ผมขอข้ามเรื่องการทำเอกสารนำร่างไร้วิญญาณของย่าออกจากโรงพยาบาลไปตอนที่ท่านมาถึงบ้านเลยก็แล้วกัน ครั้งนั้นอายุของผมเพียงหกขวบเศษเท่านั้น ทว่าผมกลับจำเรื่องราวทุกอย่างได้ดีไม่มีตกหล่น ใช่ว่าผมเป็นอัจฉริยะหรือเพ้อเจ้อพูดไปเรื่อยแต่อย่างใด ทุกท่านลองนึกย้อนดูเถิดครับ ผมว่าทุกท่านเองก็ต้องจำได้ ไม่ชัดเจนก็ต้องมีเค้าลางสำหรับลากยาวในการค้นความจำเป็นแน่ ดีไม่ดีบางคนอาจจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในขณะที่ตนเองเพิ่งจะขวบสองขวบเศษด้วยซ้ำ เอาล่ะครับ ขออภัยที่ผมนอกเรื่องเป็นครั้งที่สอง กลับมากันก่อนครับทุกท่าน
เมื่อร่างของคุณย่ามาถึงเรือนใหญ่โดยได้รับความอนุเคราะห์จากผู้ใหญ่ทรวง (ปัจจุบันท่านเองก็ลาโลกไปแล้วเช่นกัน) ซึ่งท่านมีรถยนต์สามารถขับไปรับคุณย่าข้ามจังหวัดได้ เรื่องตื่นตระหนกตกระทึกพลันอุบัติขึ้นจนแขกเหรื่อที่รู้ข่าวจากการป่าวประกาศหลายสิบหัวแตกฮือขนลุกไปตาม ๆ กัน จังหวะที่ลูกหลานผู้ชายอุ้มร่างผอมเกร็งของคุณย่าขึ้นไปชั้นบนของบ้านนั่นเอง ไม่ทราบว่าใครเกิดตะโกนขึ้นว่า นั่น! ยายวันนั่งอยู่บนรถ เรียกไปด้วยไม่ใช่เอาไปแต่ตัว!!
ครับ ถูกแล้ว คุณย่าของผมท่านชื่อทองวัน ชื่อเล่นเรียก วัน คำเดียว และมันช่างเป็นความจริงอันโหดร้ายที่ว่ายามนั้น คนที่ชื่อยายวันมีเพียงผู้ที่ร่างถูกพาขึ้นชั้นบนไปแล้ว ยายวันไก่ย่างยังไม่มา ยายวันขนมจีนยังไม่รู้ข่าว ป้าวันแกงหม้อเองก็ไม่อยู่ ฉะนั้นแล้ว ที่ว่ายายวันยังอยู่บนรถนั้น จะเป็นใครไปได้อีกเล่านอกจากคุณย่าของผมเท่านั้น
ทีนี้ หลายต่อหลายคนก็มองขึ้นไปบนบ้าน เสร็จแล้วมองไปที่ตัวรถด้วยอาการขยาด ก่อนร้องหาผู้ป่าวประกาศเมื่อครู่ว่าใคร? เห็นจริงหรือไม่? อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น
ทว่า ถามดูก็ไม่มีใครเลยที่เป็นผู้เอ่ยปากหากแต่ได้ยินกันถ้วนหน้าทั้งหัวหงอหัวดำและผู้ที่เส้นผมผสมกันเป็นสองสี ที่น่าหวาดหวั่นระลอกสอง คือเมื่อจับต้นชนปลาย หลายคนค้นความจำดูแล้ว เสียงตะโกนบอกเมื่อครู่ เหตุใดจึงคล้ายเสียงของคุณย่าผมนักเล่า? เชื่อไหมครับทุกท่าน แม้จะเป็นยามบ่ายที่แดดร้อนจัด ทั่วอาณาบริเวณนั้นกลับเย็นเยียบเงียบเชียบปานป่าช้า ผมได้ยินเสียงผู้ใหญ่บางคนเปรยทำนองว่า ก็ยายวันหรือย่าผมนั่นล่ะที่ร้องเตือน กลัวจะลืมเชิญวิญญาณแกขึ้นบ้าน ประเดี๋ยวติดรถผู้ใหญ่ทรวงไปล่ะยุ่งทีเดียว ต้องไปตามกลับกันให้วุ่นวายเสียฉิบเอาภายหลัง
ตอนตราสังเองก็ใช่เล่นนะครับ สัปเหร่อถึงกับปาดเหงื่อ ด้ายดิบที่จะใช้ผูกเป็นเปราะคล้องคอมือเท้า ขาดครั้งแล้วครั้งเล่า ผูกคอรั้งมามือเป็นขาด ผูกคอผูกมือรั้งมาเท้าเป็นขาด เรียกว่าเปลี่ยนใหม่จนสัปเหร่อสบถว่า กูจะไม่ทำให้แล้วหนาอีวัน เอ้อ...แน่ะ! เป็นเกลอเรียน ก-ไก่ ก-กา กันมาแต่เด็ก เห็นกันตั้งแต่นมยังไม่แตกพานมาแกล้งกันแบบนี้ ประเดี๋ยวพ่อร่ายมนสะกดผีให้ทุกข์เล่นไปชั่วกัปชั่วกัลป์เสียนี่ ร้อนถึงลูกหลานต้องขอขมาสัปเหร่อกันเสียงขรมเพราะดูแล้วแกเอาจริง โมโหจริง จวนจะสับหน้าผากย่าผมให้แยกเป็นมะพร้าวห้าวก็หลายครั้ง
“ลุงลองถามแม่ได้ไหมเล่าว่าเป็นห่วงเป็นใยเรื่องอะไร? อย่าทำตัวยากให้มันวุ่นวาย ตายแล้วก็ให้ปล่อยวางเสีย”
ลุงเสริฐ ลุงคนโตว่า ผมซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างจากจุดที่มะรุมมะตุ้มกันอยู่มองแก มองตาสัปเหร่อแล้วหันไปมองย่า ด้วยความไม่ประสาของเด็กหกขวบ ได้ยินว่าตาย เห็นว่าย่าที่เคยคอนตะกร้าเชี่ยนหมากขึ้นลงเรือนทุกวันนอนแน่นิ่ง หากแต่ไม่รู้ว่า ตายนั้นมันคืออะไร ผมคิดว่าย่าเพียงแต่หลับไปเท่านั้น แต่คงหลับลึกเสียหน่อย ทั้งเสียงเอะอะทั้งเสียงร้องห่มร้องไห้ย่าไม่ยอมตื่น คงหลับอยู่แบบนั้น ไม่แม้แต่จะกระดิกกระเดี้ยวตัวจนนิดเดียว
โครม! อยู่ไม่อยู่ตู้ไม้ใบเก่าซึ่งของส่วนใหญ่ของคุณย่าไม่ว่าจะมีค่าหรือไม่อัดแน่นอยู่ในนั้นพลันเปิดออกเอง พร้อมกับกล่องสแตนเลสใบเก่าบุบบู้บี้ร่วงลงพื้นเล่นเอาทุกคนเงียบกริบ หากความมทรงจำของผมไม่เลอะจนเกินไป ผมเห็นหลายครั้งที่คุณย่านำเงินทั้งเหรียญและธนบัตรออกมาจากกล่องใบนี้ แจกจ่ายหลาน ๆ ให้ไปซื้อขนมกินบ้าง จ่ายค่า โน่น นี่ นั่น บ้าง แน่ล่ะครับ ผมรู้เพราะผมเห็น เห็นบ่อยเสียด้วย แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่ากล่องใบนั้นมีสิ่งใดบรรจุอยู่ด้านใน และคงไม่มีใครให้ความสำคัญกับกล่องใบนั้นเกินไปกว่ามันหล่นลงมาได้อย่างไรในเมื่อตู้ใบที่ว่า ประตูถูกคล้องด้วยแม่กุญแจดอกเล็ก ๆ ผู้ที่เปิดได้เห็นจะมีเพียงคุณย่าเท่านั้น
“ตังค์ ในนั้นมีตังค์ เคยเห็นย่าเอาออกมาอยู่” ผมเอ่ยขึ้นเพราะได้ยินเสียงกระซิบว่านั่นกล่องอะไร? แล้วก็เป็นลุงเสริฐคนเดิมนั่นล่ะครับที่ลุกไปดู หยิบกล่องมาเปิดออกให้หายข้องใจ แล้วแกก็ปล่อยโฮอีกเป็นครั้งที่เท่าไรไม่ทราบ เมื่อเห็นว่าในนั้นมีเงินอยู่จริง ๆ ซ้ำยังมากจนสามารถซื้อข้าวของมาจัดงานศพให้คุณย่าได้สบาย ๆ อีกด้วย
ณ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าเงินจำนวนที่ว่ามีค่ามากขนาดไหน ทว่าตอนนี้เมื่อนึกย้อนไป มันมากมายไม่น้อยทีเดียว คุณย่าของผมคงไม่อยากให้ลูก ๆ ลำบากเรื่องงานศพของท่าน เพราะแต่ละคนก็ใช่จะเป็นพวกผู้รากมากดีมั่งมีเงินทองกองเท่าภูเขาเสียเมื่อไร ปู่ของผมยังพูดเลยครับว่า ท่านไม่เคยเห็นกล่องใบนั้นสักครั้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าย่ามีเงินเก็บ ลูกหลานเองก็เช่นกัน
จะมีก็เพียงผม และลูกพี่ลูกน้องสองสามคนเท่านั้นที่รู้เพราะมักไปนอนหนุนตักอ้อนคุณย่าอยู่บ่อยครั้ง สำหรับเด็ก ๆ รุ่นเดียวกับผม กล่าวคือปัจจุบันอายุครึ่งของเลขสามหรือเกินไปกว่านั้น ขุมทรัพย์การเงินคงไม่พ้นตะกร้าหมากคุณยายคุณย่า ทว่าของผมและหลานคนอื่น ๆ มีทั้งตะกร้าหมากและกล่องใบนั้นด้วย นับว่าโชคดีไม่น้อยทีเดียวล่ะครับ
สามคืนในการตั้งสวดพระอภิธรรม ไม่มีเหตุการณ์ตื่นเต้นใด ๆ มากไปกว่าเสียงสุนัขเห่าหอนโหยหวนชวนให้คนเฝ้าศพหลับไม่ลง ตราบจนกระทั่งวันที่ร่างของคุณย่าตั้งเด่นบนเชิงตะกอนและถูกผลาญไฟจนเหลือแต่เถ้าก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นั่นคือที่ลุงป้าน้าอาบอกเล่านะครับ ส่วนกับผม มีเพียงการเห็นคุณย่าในเช้าวันถัดจากวันเผาเท่านั้น
ผมสะดุ้งตื่นเอาตอนหกโมงเศษ เกิดปวดเบาปีนลงจากเตียงเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปทางหลังบ้านและจัดการปลดทุกข์ด้วยความสบายตัว จังหวะนั้นล่ะครับที่ผมเห็นคุณย่าท่านยืนเอามือไพล่หลังมองผม ครั้นแล้วท่านก็เอ็ดว่า ห้องน้ำห้องท่ามีทำไมไม่ไปเข้า? เยี่ยวตรงนี้เดี๋ยวก็เหม็นหึ่งอยู่ไม่ได้กันเท่านั้นเอง
ครั้นแล้วท่านก็เดินเข้ามาหาคล้ายจะเขกมะกอกใส่ ผมหลับตาปี๋ย่นคอรอแรงกระแทก ทว่า...ว่างเปล่าครับ ตรงหน้าไม่มีใคร ไม่มีคุณย่า ไม่มีคนอื่น มีเพียงผมเท่านั้น ในทุกเช้า ผมมักลุกขึ้นมาปล่อยเบาหลังบ้านเป็นประจำ และมักพบคุณย่ายืนเก็บผักข้างรั้วบ้าง บิดเอวไปมาคลายเมื่อยบ้าง ยืนมือไพล่หลังมองฟ้ามองฝนบ้าง และเมื่อท่านเห็นผมทำแบบนั้น ท่านก็จะเอ็ดและเดินเข้ามาเขกมะกอกก่อนทรุดตัวลงนั่งกอดผม ถามว่าเช้านี้อยากกินอะไรย่าจะทำให้กิน แต่วันนั้น...คุณย่ากลับหายไปโดยไม่ทำอย่างทุกครั้งที่เคยทำมา
มีต่อครับ
ผีในความทรงจำ ตอน คุณย่า
กลับมาที่ความสูญเสียที่ผมได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ คุณย่าของผมมีอันลาจากโลกนี้ไปด้วยโรคปัจจุบันในสมัยนั้น ไม่ว่าจะแพทย์ของโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ หรือโรงพยาบาลพิษณุเวชซึ่งถูกส่งตัวไปภายหลังก็ไม่อาจยื้อลมหายใจของท่านเอาไว้ได้ ครับ หลังทั้งแม่ของผมรวมถึงบรรดาสะใภ้ทั้งหลาย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเฝ้าไข้ทั้งกลางวันกลางคืนร่วมอาทิตย์ เพื่อไม่ให้ใครหน้าไหนมาดูแคลนเอาได้ว่าสะใภ้ตระกูลนี้ ปล่อยแม่ย่าหนอนแหมะหลังแปะเบาะเพียงลำพัง คุณย่าของผมก็จากไปด้วยอาการกึ่งสงบ
ประเดี๋ยวก่อนนะครับทุกท่าน อย่าเพิ่งฉุนเฉียวหรือนึกรังเกียจรังงอนกันไป หาใช่ผมเอาความตายของญาติผู้ใหญ่มาล้อเล่นนะครับ ท่านจากไปด้วยอาการกึ่งสงบจริง ๆ แรกทีเดียวหลังรับยาจากหมอ ท่านนอนหลับเป็นปกติดีอยู่ ทว่าครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้นร่างกายของท่านก็มีอาการชักเกร็ง หายใจเข้าออกด้วยความลำบาก ราวกับมีบางอย่างขวางทั้งหลอดลมและหลอดอาหารอยู่สองสามครั้งก็นิ่งไป ฉะนั้น หากผมจะบอกว่าท่านจากไปด้วยอาการกึ่งสงบ จึงไม่ผิดถูกต้องไหมครับ?
ผมขอข้ามเรื่องการทำเอกสารนำร่างไร้วิญญาณของย่าออกจากโรงพยาบาลไปตอนที่ท่านมาถึงบ้านเลยก็แล้วกัน ครั้งนั้นอายุของผมเพียงหกขวบเศษเท่านั้น ทว่าผมกลับจำเรื่องราวทุกอย่างได้ดีไม่มีตกหล่น ใช่ว่าผมเป็นอัจฉริยะหรือเพ้อเจ้อพูดไปเรื่อยแต่อย่างใด ทุกท่านลองนึกย้อนดูเถิดครับ ผมว่าทุกท่านเองก็ต้องจำได้ ไม่ชัดเจนก็ต้องมีเค้าลางสำหรับลากยาวในการค้นความจำเป็นแน่ ดีไม่ดีบางคนอาจจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในขณะที่ตนเองเพิ่งจะขวบสองขวบเศษด้วยซ้ำ เอาล่ะครับ ขออภัยที่ผมนอกเรื่องเป็นครั้งที่สอง กลับมากันก่อนครับทุกท่าน
เมื่อร่างของคุณย่ามาถึงเรือนใหญ่โดยได้รับความอนุเคราะห์จากผู้ใหญ่ทรวง (ปัจจุบันท่านเองก็ลาโลกไปแล้วเช่นกัน) ซึ่งท่านมีรถยนต์สามารถขับไปรับคุณย่าข้ามจังหวัดได้ เรื่องตื่นตระหนกตกระทึกพลันอุบัติขึ้นจนแขกเหรื่อที่รู้ข่าวจากการป่าวประกาศหลายสิบหัวแตกฮือขนลุกไปตาม ๆ กัน จังหวะที่ลูกหลานผู้ชายอุ้มร่างผอมเกร็งของคุณย่าขึ้นไปชั้นบนของบ้านนั่นเอง ไม่ทราบว่าใครเกิดตะโกนขึ้นว่า นั่น! ยายวันนั่งอยู่บนรถ เรียกไปด้วยไม่ใช่เอาไปแต่ตัว!!
ครับ ถูกแล้ว คุณย่าของผมท่านชื่อทองวัน ชื่อเล่นเรียก วัน คำเดียว และมันช่างเป็นความจริงอันโหดร้ายที่ว่ายามนั้น คนที่ชื่อยายวันมีเพียงผู้ที่ร่างถูกพาขึ้นชั้นบนไปแล้ว ยายวันไก่ย่างยังไม่มา ยายวันขนมจีนยังไม่รู้ข่าว ป้าวันแกงหม้อเองก็ไม่อยู่ ฉะนั้นแล้ว ที่ว่ายายวันยังอยู่บนรถนั้น จะเป็นใครไปได้อีกเล่านอกจากคุณย่าของผมเท่านั้น
ทีนี้ หลายต่อหลายคนก็มองขึ้นไปบนบ้าน เสร็จแล้วมองไปที่ตัวรถด้วยอาการขยาด ก่อนร้องหาผู้ป่าวประกาศเมื่อครู่ว่าใคร? เห็นจริงหรือไม่? อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น
ทว่า ถามดูก็ไม่มีใครเลยที่เป็นผู้เอ่ยปากหากแต่ได้ยินกันถ้วนหน้าทั้งหัวหงอหัวดำและผู้ที่เส้นผมผสมกันเป็นสองสี ที่น่าหวาดหวั่นระลอกสอง คือเมื่อจับต้นชนปลาย หลายคนค้นความจำดูแล้ว เสียงตะโกนบอกเมื่อครู่ เหตุใดจึงคล้ายเสียงของคุณย่าผมนักเล่า? เชื่อไหมครับทุกท่าน แม้จะเป็นยามบ่ายที่แดดร้อนจัด ทั่วอาณาบริเวณนั้นกลับเย็นเยียบเงียบเชียบปานป่าช้า ผมได้ยินเสียงผู้ใหญ่บางคนเปรยทำนองว่า ก็ยายวันหรือย่าผมนั่นล่ะที่ร้องเตือน กลัวจะลืมเชิญวิญญาณแกขึ้นบ้าน ประเดี๋ยวติดรถผู้ใหญ่ทรวงไปล่ะยุ่งทีเดียว ต้องไปตามกลับกันให้วุ่นวายเสียฉิบเอาภายหลัง
ตอนตราสังเองก็ใช่เล่นนะครับ สัปเหร่อถึงกับปาดเหงื่อ ด้ายดิบที่จะใช้ผูกเป็นเปราะคล้องคอมือเท้า ขาดครั้งแล้วครั้งเล่า ผูกคอรั้งมามือเป็นขาด ผูกคอผูกมือรั้งมาเท้าเป็นขาด เรียกว่าเปลี่ยนใหม่จนสัปเหร่อสบถว่า กูจะไม่ทำให้แล้วหนาอีวัน เอ้อ...แน่ะ! เป็นเกลอเรียน ก-ไก่ ก-กา กันมาแต่เด็ก เห็นกันตั้งแต่นมยังไม่แตกพานมาแกล้งกันแบบนี้ ประเดี๋ยวพ่อร่ายมนสะกดผีให้ทุกข์เล่นไปชั่วกัปชั่วกัลป์เสียนี่ ร้อนถึงลูกหลานต้องขอขมาสัปเหร่อกันเสียงขรมเพราะดูแล้วแกเอาจริง โมโหจริง จวนจะสับหน้าผากย่าผมให้แยกเป็นมะพร้าวห้าวก็หลายครั้ง
“ลุงลองถามแม่ได้ไหมเล่าว่าเป็นห่วงเป็นใยเรื่องอะไร? อย่าทำตัวยากให้มันวุ่นวาย ตายแล้วก็ให้ปล่อยวางเสีย”
ลุงเสริฐ ลุงคนโตว่า ผมซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างจากจุดที่มะรุมมะตุ้มกันอยู่มองแก มองตาสัปเหร่อแล้วหันไปมองย่า ด้วยความไม่ประสาของเด็กหกขวบ ได้ยินว่าตาย เห็นว่าย่าที่เคยคอนตะกร้าเชี่ยนหมากขึ้นลงเรือนทุกวันนอนแน่นิ่ง หากแต่ไม่รู้ว่า ตายนั้นมันคืออะไร ผมคิดว่าย่าเพียงแต่หลับไปเท่านั้น แต่คงหลับลึกเสียหน่อย ทั้งเสียงเอะอะทั้งเสียงร้องห่มร้องไห้ย่าไม่ยอมตื่น คงหลับอยู่แบบนั้น ไม่แม้แต่จะกระดิกกระเดี้ยวตัวจนนิดเดียว
โครม! อยู่ไม่อยู่ตู้ไม้ใบเก่าซึ่งของส่วนใหญ่ของคุณย่าไม่ว่าจะมีค่าหรือไม่อัดแน่นอยู่ในนั้นพลันเปิดออกเอง พร้อมกับกล่องสแตนเลสใบเก่าบุบบู้บี้ร่วงลงพื้นเล่นเอาทุกคนเงียบกริบ หากความมทรงจำของผมไม่เลอะจนเกินไป ผมเห็นหลายครั้งที่คุณย่านำเงินทั้งเหรียญและธนบัตรออกมาจากกล่องใบนี้ แจกจ่ายหลาน ๆ ให้ไปซื้อขนมกินบ้าง จ่ายค่า โน่น นี่ นั่น บ้าง แน่ล่ะครับ ผมรู้เพราะผมเห็น เห็นบ่อยเสียด้วย แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่ากล่องใบนั้นมีสิ่งใดบรรจุอยู่ด้านใน และคงไม่มีใครให้ความสำคัญกับกล่องใบนั้นเกินไปกว่ามันหล่นลงมาได้อย่างไรในเมื่อตู้ใบที่ว่า ประตูถูกคล้องด้วยแม่กุญแจดอกเล็ก ๆ ผู้ที่เปิดได้เห็นจะมีเพียงคุณย่าเท่านั้น
“ตังค์ ในนั้นมีตังค์ เคยเห็นย่าเอาออกมาอยู่” ผมเอ่ยขึ้นเพราะได้ยินเสียงกระซิบว่านั่นกล่องอะไร? แล้วก็เป็นลุงเสริฐคนเดิมนั่นล่ะครับที่ลุกไปดู หยิบกล่องมาเปิดออกให้หายข้องใจ แล้วแกก็ปล่อยโฮอีกเป็นครั้งที่เท่าไรไม่ทราบ เมื่อเห็นว่าในนั้นมีเงินอยู่จริง ๆ ซ้ำยังมากจนสามารถซื้อข้าวของมาจัดงานศพให้คุณย่าได้สบาย ๆ อีกด้วย
ณ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าเงินจำนวนที่ว่ามีค่ามากขนาดไหน ทว่าตอนนี้เมื่อนึกย้อนไป มันมากมายไม่น้อยทีเดียว คุณย่าของผมคงไม่อยากให้ลูก ๆ ลำบากเรื่องงานศพของท่าน เพราะแต่ละคนก็ใช่จะเป็นพวกผู้รากมากดีมั่งมีเงินทองกองเท่าภูเขาเสียเมื่อไร ปู่ของผมยังพูดเลยครับว่า ท่านไม่เคยเห็นกล่องใบนั้นสักครั้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าย่ามีเงินเก็บ ลูกหลานเองก็เช่นกัน
จะมีก็เพียงผม และลูกพี่ลูกน้องสองสามคนเท่านั้นที่รู้เพราะมักไปนอนหนุนตักอ้อนคุณย่าอยู่บ่อยครั้ง สำหรับเด็ก ๆ รุ่นเดียวกับผม กล่าวคือปัจจุบันอายุครึ่งของเลขสามหรือเกินไปกว่านั้น ขุมทรัพย์การเงินคงไม่พ้นตะกร้าหมากคุณยายคุณย่า ทว่าของผมและหลานคนอื่น ๆ มีทั้งตะกร้าหมากและกล่องใบนั้นด้วย นับว่าโชคดีไม่น้อยทีเดียวล่ะครับ
สามคืนในการตั้งสวดพระอภิธรรม ไม่มีเหตุการณ์ตื่นเต้นใด ๆ มากไปกว่าเสียงสุนัขเห่าหอนโหยหวนชวนให้คนเฝ้าศพหลับไม่ลง ตราบจนกระทั่งวันที่ร่างของคุณย่าตั้งเด่นบนเชิงตะกอนและถูกผลาญไฟจนเหลือแต่เถ้าก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นั่นคือที่ลุงป้าน้าอาบอกเล่านะครับ ส่วนกับผม มีเพียงการเห็นคุณย่าในเช้าวันถัดจากวันเผาเท่านั้น
ผมสะดุ้งตื่นเอาตอนหกโมงเศษ เกิดปวดเบาปีนลงจากเตียงเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปทางหลังบ้านและจัดการปลดทุกข์ด้วยความสบายตัว จังหวะนั้นล่ะครับที่ผมเห็นคุณย่าท่านยืนเอามือไพล่หลังมองผม ครั้นแล้วท่านก็เอ็ดว่า ห้องน้ำห้องท่ามีทำไมไม่ไปเข้า? เยี่ยวตรงนี้เดี๋ยวก็เหม็นหึ่งอยู่ไม่ได้กันเท่านั้นเอง
ครั้นแล้วท่านก็เดินเข้ามาหาคล้ายจะเขกมะกอกใส่ ผมหลับตาปี๋ย่นคอรอแรงกระแทก ทว่า...ว่างเปล่าครับ ตรงหน้าไม่มีใคร ไม่มีคุณย่า ไม่มีคนอื่น มีเพียงผมเท่านั้น ในทุกเช้า ผมมักลุกขึ้นมาปล่อยเบาหลังบ้านเป็นประจำ และมักพบคุณย่ายืนเก็บผักข้างรั้วบ้าง บิดเอวไปมาคลายเมื่อยบ้าง ยืนมือไพล่หลังมองฟ้ามองฝนบ้าง และเมื่อท่านเห็นผมทำแบบนั้น ท่านก็จะเอ็ดและเดินเข้ามาเขกมะกอกก่อนทรุดตัวลงนั่งกอดผม ถามว่าเช้านี้อยากกินอะไรย่าจะทำให้กิน แต่วันนั้น...คุณย่ากลับหายไปโดยไม่ทำอย่างทุกครั้งที่เคยทำมา
มีต่อครับ