ผีในความทรงจำ ตอน คุณย่า

คำเตือน : เรื่องสั้นเรื่องนี้  สงวนสิทธิ์ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่ในทุกช่องทางโดยไม่ได้รับอนุญาต

คุณย่า
       พุทธศักราช 2538 ครอบครัวของผมเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ขึ้น  ก่อนอื่น ผมต้องขอสาธยายก่อน  คำว่าครอบครัวในความหมายของผม  หมายถึงครอบครัวจริง ๆ นะครับ  ปู่และย่าของผมมีลูกทั้งหมดสิบคนถ้วน  แบ่งเป็นผู้หญิงเสียครึ่ง หากขับรถเข้ามาในซอยซึ่งบ้านของผมตั้งอยู่และได้รับเลขที่จากทางอำเภออย่างถูกต้อง  จะพบกับกลุ่มบ้านเรือนขนาดใหญ่ที่สุดในซอย  นั่นล่ะครับ  ตระกูล ยั่งยืน อยู่ที่นั่น ปลูกบ้านบนที่ทางซึ่งปู่จัดสรรแบ่งปันให้ตั้งแต่ท่านยังสุขภาพดีอยู่  หนำซ้ำตลอดหัวซอยยันท้ายซอยก็ยังเป็นญาติ ๆ กันทั้งสิ้น  ฉะนั้น หากจะบอกว่าซอยนี้ อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลยั่งยืน  มันก็ดูจะไม่เกินความจริงสักเท่าใดนัก  

       กลับมาที่ความสูญเสียที่ผมได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้  คุณย่าของผมมีอันลาจากโลกนี้ไปด้วยโรคปัจจุบันในสมัยนั้น   ไม่ว่าจะแพทย์ของโรงพยาบาลอุตรดิตถ์  หรือโรงพยาบาลพิษณุเวชซึ่งถูกส่งตัวไปภายหลังก็ไม่อาจยื้อลมหายใจของท่านเอาไว้ได้  ครับ  หลังทั้งแม่ของผมรวมถึงบรรดาสะใภ้ทั้งหลาย  ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเฝ้าไข้ทั้งกลางวันกลางคืนร่วมอาทิตย์ เพื่อไม่ให้ใครหน้าไหนมาดูแคลนเอาได้ว่าสะใภ้ตระกูลนี้  ปล่อยแม่ย่าหนอนแหมะหลังแปะเบาะเพียงลำพัง  คุณย่าของผมก็จากไปด้วยอาการกึ่งสงบ  

      ประเดี๋ยวก่อนนะครับทุกท่าน  อย่าเพิ่งฉุนเฉียวหรือนึกรังเกียจรังงอนกันไป  หาใช่ผมเอาความตายของญาติผู้ใหญ่มาล้อเล่นนะครับ  ท่านจากไปด้วยอาการกึ่งสงบจริง ๆ แรกทีเดียวหลังรับยาจากหมอ ท่านนอนหลับเป็นปกติดีอยู่  ทว่าครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้นร่างกายของท่านก็มีอาการชักเกร็ง  หายใจเข้าออกด้วยความลำบาก  ราวกับมีบางอย่างขวางทั้งหลอดลมและหลอดอาหารอยู่สองสามครั้งก็นิ่งไป  ฉะนั้น หากผมจะบอกว่าท่านจากไปด้วยอาการกึ่งสงบ จึงไม่ผิดถูกต้องไหมครับ?      

       ผมขอข้ามเรื่องการทำเอกสารนำร่างไร้วิญญาณของย่าออกจากโรงพยาบาลไปตอนที่ท่านมาถึงบ้านเลยก็แล้วกัน  ครั้งนั้นอายุของผมเพียงหกขวบเศษเท่านั้น  ทว่าผมกลับจำเรื่องราวทุกอย่างได้ดีไม่มีตกหล่น  ใช่ว่าผมเป็นอัจฉริยะหรือเพ้อเจ้อพูดไปเรื่อยแต่อย่างใด  ทุกท่านลองนึกย้อนดูเถิดครับ  ผมว่าทุกท่านเองก็ต้องจำได้ ไม่ชัดเจนก็ต้องมีเค้าลางสำหรับลากยาวในการค้นความจำเป็นแน่  ดีไม่ดีบางคนอาจจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในขณะที่ตนเองเพิ่งจะขวบสองขวบเศษด้วยซ้ำ  เอาล่ะครับ ขออภัยที่ผมนอกเรื่องเป็นครั้งที่สอง  กลับมากันก่อนครับทุกท่าน

      เมื่อร่างของคุณย่ามาถึงเรือนใหญ่โดยได้รับความอนุเคราะห์จากผู้ใหญ่ทรวง (ปัจจุบันท่านเองก็ลาโลกไปแล้วเช่นกัน) ซึ่งท่านมีรถยนต์สามารถขับไปรับคุณย่าข้ามจังหวัดได้  เรื่องตื่นตระหนกตกระทึกพลันอุบัติขึ้นจนแขกเหรื่อที่รู้ข่าวจากการป่าวประกาศหลายสิบหัวแตกฮือขนลุกไปตาม ๆ กัน  จังหวะที่ลูกหลานผู้ชายอุ้มร่างผอมเกร็งของคุณย่าขึ้นไปชั้นบนของบ้านนั่นเอง  ไม่ทราบว่าใครเกิดตะโกนขึ้นว่า  นั่น! ยายวันนั่งอยู่บนรถ  เรียกไปด้วยไม่ใช่เอาไปแต่ตัว!!  

       ครับ ถูกแล้ว  คุณย่าของผมท่านชื่อทองวัน  ชื่อเล่นเรียก วัน คำเดียว  และมันช่างเป็นความจริงอันโหดร้ายที่ว่ายามนั้น คนที่ชื่อยายวันมีเพียงผู้ที่ร่างถูกพาขึ้นชั้นบนไปแล้ว  ยายวันไก่ย่างยังไม่มา  ยายวันขนมจีนยังไม่รู้ข่าว  ป้าวันแกงหม้อเองก็ไม่อยู่  ฉะนั้นแล้ว  ที่ว่ายายวันยังอยู่บนรถนั้น  จะเป็นใครไปได้อีกเล่านอกจากคุณย่าของผมเท่านั้น

       ทีนี้  หลายต่อหลายคนก็มองขึ้นไปบนบ้าน เสร็จแล้วมองไปที่ตัวรถด้วยอาการขยาด  ก่อนร้องหาผู้ป่าวประกาศเมื่อครู่ว่าใคร?  เห็นจริงหรือไม่?  อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น  

       ทว่า  ถามดูก็ไม่มีใครเลยที่เป็นผู้เอ่ยปากหากแต่ได้ยินกันถ้วนหน้าทั้งหัวหงอหัวดำและผู้ที่เส้นผมผสมกันเป็นสองสี  ที่น่าหวาดหวั่นระลอกสอง คือเมื่อจับต้นชนปลาย หลายคนค้นความจำดูแล้ว เสียงตะโกนบอกเมื่อครู่  เหตุใดจึงคล้ายเสียงของคุณย่าผมนักเล่า?  เชื่อไหมครับทุกท่าน  แม้จะเป็นยามบ่ายที่แดดร้อนจัด  ทั่วอาณาบริเวณนั้นกลับเย็นเยียบเงียบเชียบปานป่าช้า  ผมได้ยินเสียงผู้ใหญ่บางคนเปรยทำนองว่า  ก็ยายวันหรือย่าผมนั่นล่ะที่ร้องเตือน กลัวจะลืมเชิญวิญญาณแกขึ้นบ้าน ประเดี๋ยวติดรถผู้ใหญ่ทรวงไปล่ะยุ่งทีเดียว  ต้องไปตามกลับกันให้วุ่นวายเสียฉิบเอาภายหลัง
   
       ตอนตราสังเองก็ใช่เล่นนะครับ  สัปเหร่อถึงกับปาดเหงื่อ  ด้ายดิบที่จะใช้ผูกเป็นเปราะคล้องคอมือเท้า  ขาดครั้งแล้วครั้งเล่า  ผูกคอรั้งมามือเป็นขาด  ผูกคอผูกมือรั้งมาเท้าเป็นขาด  เรียกว่าเปลี่ยนใหม่จนสัปเหร่อสบถว่า  กูจะไม่ทำให้แล้วหนาอีวัน  เอ้อ...แน่ะ! เป็นเกลอเรียน ก-ไก่ ก-กา กันมาแต่เด็ก เห็นกันตั้งแต่นมยังไม่แตกพานมาแกล้งกันแบบนี้ ประเดี๋ยวพ่อร่ายมนสะกดผีให้ทุกข์เล่นไปชั่วกัปชั่วกัลป์เสียนี่  ร้อนถึงลูกหลานต้องขอขมาสัปเหร่อกันเสียงขรมเพราะดูแล้วแกเอาจริง โมโหจริง  จวนจะสับหน้าผากย่าผมให้แยกเป็นมะพร้าวห้าวก็หลายครั้ง

      “ลุงลองถามแม่ได้ไหมเล่าว่าเป็นห่วงเป็นใยเรื่องอะไร?  อย่าทำตัวยากให้มันวุ่นวาย ตายแล้วก็ให้ปล่อยวางเสีย”

      ลุงเสริฐ ลุงคนโตว่า  ผมซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างจากจุดที่มะรุมมะตุ้มกันอยู่มองแก มองตาสัปเหร่อแล้วหันไปมองย่า  ด้วยความไม่ประสาของเด็กหกขวบ  ได้ยินว่าตาย เห็นว่าย่าที่เคยคอนตะกร้าเชี่ยนหมากขึ้นลงเรือนทุกวันนอนแน่นิ่ง  หากแต่ไม่รู้ว่า ตายนั้นมันคืออะไร  ผมคิดว่าย่าเพียงแต่หลับไปเท่านั้น  แต่คงหลับลึกเสียหน่อย ทั้งเสียงเอะอะทั้งเสียงร้องห่มร้องไห้ย่าไม่ยอมตื่น คงหลับอยู่แบบนั้น ไม่แม้แต่จะกระดิกกระเดี้ยวตัวจนนิดเดียว

      โครม! อยู่ไม่อยู่ตู้ไม้ใบเก่าซึ่งของส่วนใหญ่ของคุณย่าไม่ว่าจะมีค่าหรือไม่อัดแน่นอยู่ในนั้นพลันเปิดออกเอง  พร้อมกับกล่องสแตนเลสใบเก่าบุบบู้บี้ร่วงลงพื้นเล่นเอาทุกคนเงียบกริบ  หากความมทรงจำของผมไม่เลอะจนเกินไป ผมเห็นหลายครั้งที่คุณย่านำเงินทั้งเหรียญและธนบัตรออกมาจากกล่องใบนี้ แจกจ่ายหลาน ๆ ให้ไปซื้อขนมกินบ้าง  จ่ายค่า โน่น นี่ นั่น บ้าง  แน่ล่ะครับ  ผมรู้เพราะผมเห็น เห็นบ่อยเสียด้วย แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่ากล่องใบนั้นมีสิ่งใดบรรจุอยู่ด้านใน  และคงไม่มีใครให้ความสำคัญกับกล่องใบนั้นเกินไปกว่ามันหล่นลงมาได้อย่างไรในเมื่อตู้ใบที่ว่า ประตูถูกคล้องด้วยแม่กุญแจดอกเล็ก ๆ ผู้ที่เปิดได้เห็นจะมีเพียงคุณย่าเท่านั้น

      “ตังค์  ในนั้นมีตังค์ เคยเห็นย่าเอาออกมาอยู่”  ผมเอ่ยขึ้นเพราะได้ยินเสียงกระซิบว่านั่นกล่องอะไร?   แล้วก็เป็นลุงเสริฐคนเดิมนั่นล่ะครับที่ลุกไปดู  หยิบกล่องมาเปิดออกให้หายข้องใจ แล้วแกก็ปล่อยโฮอีกเป็นครั้งที่เท่าไรไม่ทราบ เมื่อเห็นว่าในนั้นมีเงินอยู่จริง ๆ ซ้ำยังมากจนสามารถซื้อข้าวของมาจัดงานศพให้คุณย่าได้สบาย ๆ อีกด้วย 

       ณ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าเงินจำนวนที่ว่ามีค่ามากขนาดไหน  ทว่าตอนนี้เมื่อนึกย้อนไป  มันมากมายไม่น้อยทีเดียว คุณย่าของผมคงไม่อยากให้ลูก ๆ ลำบากเรื่องงานศพของท่าน  เพราะแต่ละคนก็ใช่จะเป็นพวกผู้รากมากดีมั่งมีเงินทองกองเท่าภูเขาเสียเมื่อไร  ปู่ของผมยังพูดเลยครับว่า ท่านไม่เคยเห็นกล่องใบนั้นสักครั้ง  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าย่ามีเงินเก็บ  ลูกหลานเองก็เช่นกัน  

      จะมีก็เพียงผม  และลูกพี่ลูกน้องสองสามคนเท่านั้นที่รู้เพราะมักไปนอนหนุนตักอ้อนคุณย่าอยู่บ่อยครั้ง  สำหรับเด็ก ๆ รุ่นเดียวกับผม กล่าวคือปัจจุบันอายุครึ่งของเลขสามหรือเกินไปกว่านั้น ขุมทรัพย์การเงินคงไม่พ้นตะกร้าหมากคุณยายคุณย่า  ทว่าของผมและหลานคนอื่น ๆ มีทั้งตะกร้าหมากและกล่องใบนั้นด้วย  นับว่าโชคดีไม่น้อยทีเดียวล่ะครับ

       สามคืนในการตั้งสวดพระอภิธรรม ไม่มีเหตุการณ์ตื่นเต้นใด ๆ มากไปกว่าเสียงสุนัขเห่าหอนโหยหวนชวนให้คนเฝ้าศพหลับไม่ลง  ตราบจนกระทั่งวันที่ร่างของคุณย่าตั้งเด่นบนเชิงตะกอนและถูกผลาญไฟจนเหลือแต่เถ้าก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น  นั่นคือที่ลุงป้าน้าอาบอกเล่านะครับ  ส่วนกับผม  มีเพียงการเห็นคุณย่าในเช้าวันถัดจากวันเผาเท่านั้น  

        ผมสะดุ้งตื่นเอาตอนหกโมงเศษ เกิดปวดเบาปีนลงจากเตียงเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปทางหลังบ้านและจัดการปลดทุกข์ด้วยความสบายตัว  จังหวะนั้นล่ะครับที่ผมเห็นคุณย่าท่านยืนเอามือไพล่หลังมองผม  ครั้นแล้วท่านก็เอ็ดว่า ห้องน้ำห้องท่ามีทำไมไม่ไปเข้า?  เยี่ยวตรงนี้เดี๋ยวก็เหม็นหึ่งอยู่ไม่ได้กันเท่านั้นเอง  

        ครั้นแล้วท่านก็เดินเข้ามาหาคล้ายจะเขกมะกอกใส่  ผมหลับตาปี๋ย่นคอรอแรงกระแทก  ทว่า...ว่างเปล่าครับ  ตรงหน้าไม่มีใคร  ไม่มีคุณย่า ไม่มีคนอื่น มีเพียงผมเท่านั้น  ในทุกเช้า ผมมักลุกขึ้นมาปล่อยเบาหลังบ้านเป็นประจำ  และมักพบคุณย่ายืนเก็บผักข้างรั้วบ้าง  บิดเอวไปมาคลายเมื่อยบ้าง ยืนมือไพล่หลังมองฟ้ามองฝนบ้าง  และเมื่อท่านเห็นผมทำแบบนั้น ท่านก็จะเอ็ดและเดินเข้ามาเขกมะกอกก่อนทรุดตัวลงนั่งกอดผม  ถามว่าเช้านี้อยากกินอะไรย่าจะทำให้กิน  แต่วันนั้น...คุณย่ากลับหายไปโดยไม่ทำอย่างทุกครั้งที่เคยทำมา

         มีต่อครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่