"อย่าให้มีครั้งที่ 3" ความรักของคนวัยกลางคนที่ยังไม่มูฟออนจากผู้หญิงคนแรก

เกริ่นนำ... พอดีไม่นานมานี้มีโอกาสได้กลับไปเจอเพื่อนสมัยเรียน ม.ปลายครับ ต้องบอกคนนี้เป็นรักครั้งแรกแบบจริงจังของผมเลย รู้จักกันมาเกินครึ่งชีวิตแล้วครับ น่าจะเป็นผู้หญิงติด 1 ใน 3 ที่ผมคุยด้วยมากสุดในชีวิตรองจากแม่และน้องสาวเลย เคยพยายามจีบแบบจริงจังช่วงวัยมหาลัยครับ (อยู่คนละมหาลัย) ผมนี่เข้าทางแม่เขาเต็มๆ ได้รับความไว้วางใจจากแม่เขามาก จนเคยไปนอนบ้านฝ่ายหญิงมาแล้ว 2-3 รอบ (ไม่ได้นอนด้วยกันนะครับ) ตอนนั้นไปช่วยแม่เขาซ่อมแซมบ้าน ทาสี ทำไฟ ซ่อมก๊อกน้ำ ฯลฯ ผมสายช่างอยู่แล้ว งานถนัดเลยครับ แม่เขาเรียกใช้อะไรผมทำให้หมด พาไปธุระ ใช้ไปซื้อของ ใช้อะไรทำให้แบบทันที ไวยิ่งกว่าไลน์แมน เรียกได้ว่าได้ใจแม่ยายเต็มๆ

ต้องบอกก่อนว่าแม่กับเขาอยู่กันแค่ 2 คนนะครับ ฝ่ายพ่อเลิกกับแม่ไปตั้งแต่เขายังเล็กๆ (มีผู้หญิงใหม่) เขาก็อยู่กับแม่กันสองคนกันมานาน เรียกว่าต่างคนต่างผูกพันกันมาก แล้วปกติบ้านเขานี่ไม่เคยให้ผู้ชายเข้าบ้านนะครับ (ก็บ้านอยู่แค่ผู้หญิง 2 คนเนอะ) ผมนี่น่าจะเป็นผู้ชายคนแรกๆที่ได้ไปนอนค้างบ้านเธอเลย เวลาก็ผ่านไปใกล้พ้นวัยมหาลัย ก็คุยกันปกติ วาเลนไทน์ผมก็ส่งดอกไม้ไปให้ วันเกิดก็หาของขวัญไปให้ มีเวลาก็นัดกันไปกินข้าวบ้าง อาจจะไม่บ่อยมากเพราะต่างคนต่างทุ่มเวลาให้กับการเรียนทั้งคู่ ช่วงใกล้ๆเรียนจบผมรู้สึกแปลกๆว่าคุยกันน้อยลง บางทีอาจจะคุยกับแม่เขาเยอะกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะคิดว่าช่วงใกล้จบ น่าจะตั้งใจเรียน คงไม่มีเวลาว่างเหมือนแต่ก่อน

จนเรียนจบมหาลัย ผมมีภารกิจเกณฑ์ทหาร + บวชให้ที่บ้าน ซึ่งผมบนไว้ว่าถ้าจับได้ใบดำจะบวช 1 พรรษา ซึ่งก็จับได้ใบดำจริงๆ หลังจากเรียนจบรับปริญญา เคลียร์เรื่องทหาร ก็เตรียมงานบวช เหลือเวลาเดือนนิดๆ ผมก็ยังคุยติดต่อกันเหมือนเดิม เอาการ์ดงานบวชไปให้ กะให้เขามาถือหมอนให้ตอนแห่นาค ซึ่งพอถึงวันงานเขากับแม่ก็มาครับ แต่มากับผู้ชายที่ไหนไม่รู้อีกคน (ขับรถมาให้) ซึ่งโดยปกติแล้วเขาเป็นคนเฟรนด์ลี่ มีเพื่อนเยอะ การที่จะพาเพื่อนผู้ชายมาร่วมงานบวชผมก็คงไม่แปลกมั้ง ด้วยตอนนั้นต้องตั้งใจบวช ทำจิตใจให้สงบก็เลยไม่ได้คิดอะไรเยอะ ถึงเวลาเป็นพระ ก็ขาดการติดต่อไปเลย ด้วยศีลด้วยกฏระเบียบและความเหมาะสมในด้านสมณเพศ เลยไม่ได้ติดต่อกันเลยเป็นปี โดยตอนแรกก็จะบวชแค่ 1 พรรษา รวมระยะเวลาประมาณ 5 เดือน ไปๆมาๆ ทางบ้านบอกขอให้อยู่ต่อให้ครบปี สรุปสุดท้ายกว่าจะได้ฤกษ์สึกกลายเป็นบวชไป 1 ปี กับอีกเกือบ 2 เดือน 

หลังจากวันที่ลาสิกขา แม่ผมถึงมาบอก ว่าตอนที่เขากำลังทำบ้านใหม่ ได้เรียกทีมช่างจากบ้านผมไปทำงานให้ พวกคนงานของผมบอกมาว่า เห็นเขากับผู้ชายคนที่ขับรถมาตอนวันงานบวช ดูสนิทกันมากน่าจะเป็นแฟนกันแน่ๆ เอ้า!! อย่างเฮิร์ทเลยครับ รู้สึกเหมือนอกหักโดยทั้งๆที่ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน ทั้งเศร้า ทั้งเสียใจ สับสนไปหมด เป็นผู้หญิงคนที่สองที่ทำผมน้ำตาแตกได้ต่อจากแม่ หลังจากได้สติผมเลยพยามทักเฟสไปคุยเธอ เธอก็ตอบบ่ายเบี่ยงๆ แต่ด้วยองค์ประกอบและข้อมูลที่ผมจับใจความได้ ไอ้เจ้าผู้ชายนั้นก็คงเป็นแฟนเธอละครับ ถึงอาจจะไม่ใช่แฟนแต่ลำดับความสำคัญคงมากกว่าผมแน่ๆ อย่างว่าครับรักมากเจ็บมาก ผมเลยตัดสินใจลบช่องทางติดต่อกับเธอทุกอย่าง เปลี่ยนเบอร์ ลบเพื่อน บล็อคเฟส ได้แต่คิดภาวนาในใจขอให้เธอโชคดีกับผู้ชายคนนั้นและอย่าได้เจอกันอีกเลย ผมไม่อยากร้องไห้เหมียนหมาอีกแล้ว... 

ผ่านไปเกือบ 4 ปีอยู่ๆก็มีคนแอดเพื่อนในเฟสเด้งขึ้นมา ตอนแรกนึกว่าเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียน ม.ปลาย เพราะโปรไฟล์ขึ้นโชว์ว่ามาจากโรงเรียนเดียวกัน รูปโปรไฟล์เป็นรูปวิว ชื่อจริงไม่ใช่เธอคนที่ผมรู้จัก ผมจึงรับแอดไปตามปกติ อ่าว...ปรากฏว่าเป็นเธอคนเดิมซะงั้น (ไปเปลี่ยนชื่อมา) เชื่อไหมว่าผมนี่มือไม้สั่น หัวใจเต้นแรง น้ำตาคลอเลย รู้สึกดีใจจนอธิบายไม่ถูก (อะไรวะตัวผม!) เธอพิมพ์ประโยคแรกขึ้นมา ทำเอาผมใจหายเหมือนกัน " (ชื่อผม) ทำไมต้องบล็อคเฟสกันด้วย!" ตอนนั้นรู้สึกตัวเองผิดเหมือนทำบาปมาทั้งชีวิต ต่อให้เธอมีแฟนแล้ว เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นิ นั่นคือสิ่งที่ผมเพิ่งนึกได้ ณ วินาทีนั้นผมลืมความรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไปสิ้น และพร้อมให้อภัย+ขอโทษเธอทุกอย่างจริงๆ ที่ทำตัวงี่เง่าแบบนั้น

หลังจากปรับความเข้าใจแล้ว ผมก็พร้อมทำใจที่จะปรับความสัมพันธ์ของเราไปเป็นเพื่อนเหมือนเดิม (แต่ก่อนก็เป็นแค่เพื่อนนั้นแหละ) แต่ก็พยายามข่มใจว่าจะไม่ๆๆๆๆหลงรักเธออีกแล้ว สิ่งที่น่าแปลกใจในการกลับมาเจอกันรอบนี้ รู้สึกว่าการพูดของเรามันลื่นไหลแบบที่ไม่เคยเป็น คุยได้อย่างไม่ต้องเขอะเขิน สามารถคุยอะไรหลายๆอย่างให้อีกฝ่ายฟังได้ บางทีก็มีการปรึกษาปัญหาชีวิตต่างๆ หรือบางทีความสัมพันธ์แบบฉันเพื่อน จะเหมาะสมกับเราทั้งคู่ ?
เวลาผ่านไปเกือบปี จนถึงวันที่เธอรับปริญญาตรีใบที่ 2 ผมได้ถูกเชิญไปร่วมงานด้วย ก็รีบตื่นแต่เช้ามืดพาแม่พาเธอไปทำผมแต่งหน้า นั่งรอ ยืนรออยู่กับแม่เธอตอนที่เธอเข้าพิธีทั้งวันจนมืด จนได้ออกมาถ่ายรูป ทั้งวันงานซ้อมงานวันรับจริงผมไปหมดทุกวัน หาของขวัญไปแสดงความยินดีกับเธอ ไปกินเลี้ยงฉลองกับเธอ บางทีก็รู้สึกสงสัยว่าเพื่อนกันเขาทำแบบนี้กันไหมนะ แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็นได้ชัดคือ เจ้าผู้ชายคนที่เธอพามางานบวชผมกับไม่อยู่ในโอกาสสำคัญแบบนี่ได้ไงกันนะ ??

หลังจากเสร็จสิ้นงานรับปริญญา เลยมีโอกาสได้นัดกินข้าวกันเลยพูดคุยสารทุกข์สุขดิบ ด้วยความที่เป็นเพื่อนกันละมั้ง เธอเลยเล่าวีรกรรมเจ้าผู้ชายคนนั้นให้ฟัง ที่พอฟังแล้วรู้สึกกำหมัด อยากจะซัดหน้ามันจริงๆ โดยหลังจากนั้นก็ได้พบเจอแม่เธออีกตามโอกาสสำคัญ พอแม่เธอเล่าวีรกรรมเจ้าผู้ชายคนนั้นให้ฟังเสริม จึงมั่นใจแน่นอนว่าเธอคงลบไอ้เจ้านั้นออกไปจากชีวิตเธอแล้วแน่ๆ ในใจตอนนั้นรู้สึกสับสนไปหมด ทั้งโมโหไอเวรนั้น และก็ดีใจที่โอกาสในการขอเธอเป็นแฟนจะมาหาอีกครั้ง แต่ก็มีความกลัวที่จะสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีมากๆตอนนี้อยู่เช่นกัน

ผมนั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวันว่าจะทำยังไงดี จะไปสารภาพรักตรงๆเลยดีไหม ถ้าเธอปฏิเสธมารอบนี้จะได้ตัดใจจริงๆ เพราะดูๆไปเวลาเราเจอกัน เธอก็หยอกล้อผมจนมีโดนเนื้อโดนตัวกัน ซึ่งปกติผมก็ไม่รู้หรอกว่าเพื่อนผู้หญิงเล่นกับเพื่อนผู้ชายเขาเล่นกันแบบนี้หรือเปล่า ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษที่บ้านผมสั่งสอนมาโดยตลอด ผมแทบไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเธอเลย และความที่ผมเคารพนับถือคุณแม่ของเธอมาก และก็ให้เกียรติเธอมากๆ แม้แต่มือของเธอผมยังไม่เคยได้แตะเลย (ยกเว้นตอนโดนแบบไม่ตั้งใจนะ) ทั้งทีมีโอกาสตีเนียนแกล้งหยอกล้อเพื่อโดนตัวเธอก็ได้ ซึ่งนั้นทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอก็คงมีใจให้กับเรานั้นแหละ... หลังจากคุยกันไปซักพัก ทิศทางก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เริ่มมีการหยอดมุขจีบ หยอดคำพูดหวานๆใส่ สถานการตอนนี้นับว่าเป็นบวกเอามากๆ ผมว่าถ้าตอนนี้ผมขอเธอเป็นแฟนคงได้แน่ๆ แต่ติดอยู่อย่างเดียว คือผมมีแฟนแล้ว...

ย้อนความ ตอนหลังจากลาสิกขามาด้วยความเฮิร์ทสุดขีด จากเรื่องที่เธอไปคบกับไอ้เจ้านั้น ผมไม่รีรอที่จะหาคนมาปลอบใจ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครไกลตัว รุ่นน้องที่รู้จักกันนั้นแหละ โดยรุ่นน้องที่ว่าคนนี้เป็นขั่วตรงข้ามกับเธอสิ้นเชิง เธอชอบเที่ยว รุ่นน้องชอบอยู่บ้าน เธอชอบคุย รุ่นน้องพูดน้อย เธอทำงานบ้านเก่ง รุ่นทำงานบ้านไม่เก่ง ฯลฯ นั้นแหละครับ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ผมเลยลองปฏิบัติกับรุ่นน้องเหมือนที่ผมทำกับเธอทุกอย่าง ทั้งการวางตัว การเข้าหา และความเป็นสุภาพบุรษ พร้อมกับคำถามในใจตลอดว่า หรือเดี่ยวนี้ผู้หญิงเขาชอบคนแบบแบดๆกันนะ

ผลจากการทดลอง 3 เดือนกลายเป็นว่ารุ่นน้องมาสารภาพรักผมเฉย... เอ้า!! แสดงว่าไอวิธีที่ผมปฏิบัตต่อผู้หญิงมันก็ทำให้ผู้หญิงหวั่นไหวได้นิหว่า แล้วทำไมกับเธอมันถึงไม่ได้ผลกันนะ หรือเพราะว่ามันไม่ถูกจริตเธอ หรือเพราะเราดีเกินไป ? ช่างมันละกัน ปัญหาอยู่ตรงหน้า รุ่นน้องคนๆนั้นมาหลงผมหัวปรักหัวปรำแทน ทั้งๆที่เวลาผ่านมา 3 เดือน ผมลืมไปแล้วว่า เหตุผลที่คุยกับรุ่นน้อง เพราะผมแค่อยากรู้ว่าตัวผมดีพอที่จะทำให้ผู้หญิงมาชอบซักคนได้หรือเปล่า ต้องยอมรับว่าผมไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษอะไรแบบที่รุ่นน้องคาดหวังนั้นหรอก ผมก็แค่ผู้ชายเห็นแก่ตัวทั่วไปนั้นแหละ ผมเลยปฏิเสธรุ่นน้องไป ถึงแม้เธอจะหน้าตาน่ารักพอตัว แต่เธอก็ไม่ใช่สเป็คผมเลย สิ่งเดียวที่ทำให้ผมพอจะชอบรุ่นน้องคนนี้ขึ้นมาบ้างก็ตรงนิสัยแม่พระของเธอนี่แหละ แต่สุดท้ายต้องยอมรับว่าผมยังมูฟออนจากเรื่องของเธอคนนั้นไม่ได้จริงๆ และไม่พร้อมที่จะมีใคร ผมไม่รู้หรอกนะว่าผู้หญิงมีมารยากี่เล่มเกวียนแต่รุ่นน้องคนนี้งัดมาใช้กับผมเพียบ โดยเล่มสุดท้ายที่ทำให้ผมยอมคือ เขายอมทิ้งแฟนเก่าเพื่อมาคบผม เวรกรรม...

ด้วยความที่ถูกปลูกฝั่งมาตั้งแต่เด็ก ว่าสุภาพบุรุษไม่ควรทำให้ผู้หญิงร้องไห้ ผมมั่นใจแน่ๆว่าถ้าปฏิเสธรุ่นน้องไปแบบไม่ใยดี เธอน้ำตาแตกแน่นอน โดยเวลาก็ผ่านไปหลายเดือน น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน ซึ่งตลอดเวลาเกือบปีที่รู้จักกับรุ่นน้อง ผมก็ทำตัวเหมือนเดิมกับวันแรก ไอนิสัยสุภาพบุรุษที่ถูกสอนมาแต่เด็กกลายเป็นสันดารที่แก้ไม่หายซักที จนกระทั่งวันที่รุ่นน้องมาขอผมเป็นแฟนในวันครบรอบ 1 ปีที่รู้จักกันแบบจริงจัง โดยประโยคที่เธอพูดออกแล้วทำให้ผมไม่กล้าปฏิเสธเลยคือ "เธอเป็นคนดี จนต้องเก็บเข้าตระกูลฉันเลยนะ รู้ตัวไหม" จากความสัมพันธ์รุ่นพี่รุ่นน้อง ก็เลยกลายเป็นแฟนคนแรก...

หลังจากเป็นแฟนกันกับรุ่นน้อง เวลาก็ร่วงเลยมาเกือบ 3 ปี ระหว่างที่เป็นแฟนกับรุ่นน้องก็ไม่มีอะไรเกินเลย ผมถูกสอนมาว่าถ้ายังไม่แต่งงานกันก็ไม่ควรไปมีอะไรกับผู้หญิงก่อน ต่อให้เป็นแฟนก็เถอะ เพราะแฟนไม่ได้แปลว่าจะต้องแต่งงานด้วยเสมอไป ความใกล้ชิดกับรุ่นน้องที่มากที่สุดคงเป็นแค่การหอมแก้มในโอกาสวาเลนไทน์นั้นแหละ ไม่น่าเชื่อว่าคนอายุยี่สิบปลายๆแบบผม ยังไม่มีประสบการณ์เรื่องอย่างว่า จนกระทั่งถึงงานรับปริญญาใบที่สองของเธอคนนั้น ผมก็ขอรุ่นน้องอย่างตรงไปตรงมาว่าจะไปร่วมงาน พอเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้รุ่นน้องรับรู้ทั้งหมด รวมถึงเรื่องที่ผมรักเธอคนนั้นมากแค่ไหน ซึ่งรุ่นน้องก็ฟังและให้ผมไปร่วมงานแต่โดยดี

ช่วงเวลาที่ผมติดต่อกับเธอคนนั้น หลังงานรับปริญญาใบที่ 2 ผมก็เล่าให้รุ่นน้องฟังทุกอย่าง เวลาไปเที่ยว ไปกินข้าว หรือไปบ้านแม่เขา ผมบอกรุ่นน้องหมด มือถือ เฟสบุ๊ค ไลน์ ผมไม่ได้ใส่รหัสไว้ พร้อมให้รุ่นน้องเช็คได้ตลอด และสิ่งที่ผมยังบอกกับรุ่นน้องเสมอนั้นคือ ผมยังรักเธอคนนั้นอยู่ ด้วยนิสัยแม่พระของเธอ เธอเลยบอกผมว่าถ้าจะคบ 2 คนพร้อมๆกันก็ได้นะ ยังไงคนเราก็อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตใช่ไหม เหมือนตอนที่เธอคบกับแฟนเก่าและผมไปพร้อมๆกัน ก่อนที่จะตัดสินใจทิ้งแฟนเก่ามาคบผมแทน ผมฟังแล้วก็ได้แต่อึ้ง ผู้หญิงหน้าตาน่ารักแบบเธอ ไม่คิดว่าลึกๆจะเอาเรื่องขนาดนี้ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่บอกผม "ถ้าเธอคนนั้นคิดจะแย่งผมไปจากรุ่นน้องได้ก็ลองดูสิ"

พอได้ไฟเขียวจากรุ่นน้องแบบนี้ ผมก็ไม่รีรอที่จะทำตามความรู้สึกของตัวเอง เดินหน้าพยายามจีบเธอคนนั้นอีกครั้ง ช่วงนั้นผมมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศบ่อย เวลาผ่านดิวตี้ฟรีก็วีดีโอคอลหาเธอ ให้เธอเลือกของฝากได้ตามใจ ถึงส่วนมากจะจบที่ขนมก็เถอะ มีเวลาว่างก็พิมพ์คุยหากัน วันไหนว่างก็หาโอกาสไปบ้านเธอ เจอแม่เธอ กินข้าวด้วยกัน จนมีโอกาสถึงช่วงเวลาหยุดพักร้อนของผมและหยุดเรียนของเธอ ผมเลยลองชวนเธอเล่นๆว่าเธออยากไปเที่ยวต่างประเทศไหม เธอตอบอย่างไม่ต้องคิดเลยว่าอยากไปมากกกกก โดยอยากไปประเทศญี่ปุ่นมากที่สุด เพราะชอบขนมที่ผมซื้อมาฝากจากญี่ปุ่นมาก

ผมไม่รีรอรีบขอวันลาพักร้อนให้ตรงกับช่วงหยุดเรียนของเธอ ซึ่งโชคดีมากที่เธอหยุดเรียนชวงฤดูใบไม้ผลิของญี่ปุ่นพอดี ผมเลยจัดทริปชมซากุระกันแบบคู่รักกะให้หวานจนหมดขึ้นเลย และก็จะสารภาพขอเธอเป็นแฟนที่ญี่ปุ่นนี่แหละ หลังจากผมจัดแจ้งค่าใช้จ่ายๆต่างๆแล้ว ซึ่งผมขอให้เธอออกค่าตั๋วเครื่องบินของตัวเองพอ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ผมเป็นคนจ่ายให้เอง ยกเว้นค่ากินที่เราจะหารกัน พอตกลงได้ตามนี้ก็เตรียมตัวเดินทางในอีกไม่ถึงเดือน ทริปซากุระญี่ปุ่นของเราสองคนก็เริ่มขึ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่