"ลง"
เลยต้องปลุกลูก ซึ่งเป็นธรรมดาที่ต้องมีเด็กโวยวายบ้างที่มีคนรบกวนเวลานอน และที่สำคัญ เหมือนจะถูกปลุกให้ไปทรมาน
ชุดเสื้อผ้า เต็มยศเช่นเคย และ top up ด้วย rain coat ราคาถูกจากเมืองไทย
การเข้าไปเที่ยวชมในเขตอุทยานแห่งชาติบ้านเค้า ไม่มีเจ้าหน้าที่มาเก็บค่าเข้าชมก่อนเข้าพื้นที่ จ่ายแค่ค่าที่จอดรถ ซึ่งก็เป็นตู้จ่ายอีกเช่นเคย ก็สามารถเดินเข้าชมพื้นที่ได้เลย
จึงให้ความรู้สึกเหมือนเข้าชมฟรี ทั้งที่จริง ต้องเสียเงินเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้แพงมาก
จอดรถเสร็จ เดินฝ่าฝนและลมหนาวไปที่ตึกอำนวยการซึ่งเป็นตึกกล่องสี่เหลี่ยมชั้นเดียวง่ายๆ ที่ดูดี มี style เหมือนมีสถาปนิกมาออกแบบตึกให้ ไม่ใหญ่มาก มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำนักท่องเที่ยวอยู่สองสามคน
ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่เป็นกองทัพ ไว้คอยไล่จับคนตัดต้นไม้และล่าสัตว์
จากนั้น เดินไปดูจุดชมวิว ที่อยู่ไม่ไกล ไปแค่ไม่กี่ก้าว ดูเหมือนจะเป็นวิวชมทะเลสาบบนมุมสูง แต่พอไปถึง คือไม่ได้ชมวิวเลย ต้องหันหลังให้วิว เพราะลมแรงมาก และพัดมาจากด้านที่จะชมวิวนั่นแหล่ะ ไหนจะฝน ไหนจะลม หนาวโคตรๆ เลยต้องรีบถอย
พอถอยมาได้หน่อย เห็นมีทางเดินไประหว่างภูผาหินที่ไม่สูงมาก และป้องกันลมได้ จึงพากันเดินลงไปดู
มีนักท่องเที่ยวเดินไปมาอยู่ตรงนี้เยอะพอสมควร มีนักท่องเที่ยวชาวสยามด้วย น่าจะมาหลบลมหนาวกัน
แต่พอเดินไปได้ไม่ไกล เห็นสภาพนักท่องเที่ยวที่เดินกลับมาแต่ละคน เปียกม่อล่อกม่อแล่ก จึงตัดใจว่าพอเถอะ ถอยตอนที่สภาพยังพอดูได้ดีกว่า เลยพากันเดินกลับ
ตอนเดินกลับไปที่จอดรถ จึงพากันแวะเข้าห้องน้ำของอุทยาน ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกก็ประมาณตึกอำนวยการของอุทยานนั่นแหล่ะ แค่เล็กกว่านิดหน่อย
พอเปิดประตูเข้าห้องน้ำ จะมีเหมือนห้องโถงรับแขกตรงกลาง ไปทางซ้ายก็เป็นห้องน้ำชาย ทางขวาห้องน้ำหญิง เมื่อเข้าไปในส่วนของห้องน้ำ ผนังด้านหลังเป็นกระจกทั้งหมด เห็นวิวสุดลูกหูลูกตา แม้ท้องฟ้าจะมืดครึ้มและฝนตก ถ้าฟ้าเปิด คงสวยน่าดู
ขณะยืนฉี่ พลางคิดในใจ นี่คงเป็นหนึ่งในห้องน้ำที่วิวสวยที่สุดแห่งหนึ่งในสามโลก
หลังเสร็จธุระ ผมกับลูกชายออกมายืนรอคุณภรรยากับลูกสาวที่โถงรับแขก ซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเข้าห้องน้ำและไม่เข้าห้องน้ำ เข้าใจว่าบางส่วนน่าจะมาหลบอากาศหนาวข้างใน ดีกว่าทนหนาวอยู่ข้างนอก และนี่คงเป็นครั้งแรกเลยมั๊ง ที่ผมรู้สึกอยากให้คุณภรรยาเข้าห้องน้ำนานๆ
หลังจากทุกคนเสร็จธุระแล้ว จึงจำใจต้องออกจากห้องน้ำ ทั้งๆ ที่ยังอาลัยอาวรณ์ความอุ่นสบายของห้องน้ำอยู่เลย ก่อนเดินถึงรถจะลูกชายเตือนพ่อให้จ่ายค่าที่จอดรถที่ตู้จ่ายอัตโนมัติ
คงกลัวพ่อจะเบี้ยว หรือไม่ก็กลัวพ่อจะโดนจับ
พอกลับขึ้นรถ ดูเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ได้เวลากิน แต่ยังไม่รู้จะกินที่ไหนดี ตัดสินใจไปหากินเอาดาบหน้า เผื่อมีร้านผัดกระเพราข้างทาง
ขับรถออกมาไม่นาน เห็นป้ายด้านหน้าซ้ายมือมีรูปช้อนส้อม จึงจอดแวะดู
ปรากฏว่าเป็น Tourism center อีกที่หนึ่งของอุทยานแห่งชาติ ไม่ใหญ่มากและมี cafe' ขายของกินด้วย จึงได้ Sandwich เย็นชืด ช่วยประทังชีวิตให้ผ่านไปได้อีกมื้อ
เป้าหมายถัดไป คือบ่อน้ำพุร้อนขึ้นชื่อของ Iceland
มีชื่อว่า Geysir ขับรถไม่ถึงชั่วโมง ก็ถึงที่หมาย
แม้สภาพอากาศจะไม่ค่อยดี เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวฝนหยุด แต่สถานที่ขึ้นชื่อแห่งนี้ ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ซึ่งตรงนี้ดี ไม่เก็บทั้งค่าเข้าชมและไม่ต้องจ่ายค่าที่จอดรถ
พวกเราทั้งสี่ เดินตามคนอื่นไป แม้ว่านักท่องเที่ยวจะเยอะ แต่ก็ไม่ถึงขั้นหนาแน่น ประเมินคร่าวๆน่าจะไม่ถึง 100 คน ซึ่งก็เดินกระจายกันไป ตามพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ มีเพียงบริเวณรอบน้ำพุพุ่งเท่านั้น ที่มีชาวต่างชาติยืนมุงกันอยู่หลายสิบคน โดยแต่ละคน มีอาวุธประจำกายคือมือถือและกล้องถ่ายรูป และเฝ้ารอให้น้ำพุร้อนมันพุ่งขึ้นมาจากพื้น
พอพวกเราไปถึง จึงยืนดูอยู่ห่างๆ รอสักพักจึงมีน้ำพุร้อนพุ่งขึ้นสู่อากาศ แต่ไม่เห็นสูงเหมือนที่คิดไว้ ทำไมดูในรูป ดูในคลิปคนอื่น เหมือนมันสูงกว่านี้
ไม่ตรงปกนี่หว่า
จากนั้น จึงพากันเดินต่อไปอีกหน่อย ถึงจุดที่มีควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากพื้นดิน พร้อมกลิ่นก๊าซไข่เน่าค่อนข้างแรง ตรงนี้คือ บ่อน้ำพุร้อน Geysir ของจริง แต่มันจะพุ่งขึ้นสู่ฟ้าแบบนานๆ ที
คำว่านานคือ หลายเดือนนะครับ ไม่ใช่หลายนาที ดังนั้น วันนี้ พวกเราไม่ได้เห็นมันพุ่งแน่ๆ
จึงพากันเดินย้อนกลับไปยังบ่อน้ำพุที่มันพุ่งก่อนหน้านี้ ซึ่งมีชื่อว่า Strokkur โดยจะมีน้ำร้อนพุ่งออกมาจากพื้นทุกๆ 6-10 นาที เจ้าลูกชายเข้าไปยืนประชิดในจุดที่ใกล้ที่สุดหลังเชือกที่กั้นไว้ ซึ่งเราก็ประเมินทิศทางแล้ว ลมไม่ได้พัดมาทางที่เรายืนอยู่ น่าจะปลอดภัย ยืนได้นาน
พอกะเวลา น่าจะใกล้มาแล้ว จึงเริ่มบันทึกวิดีโอเหมือนคนอื่นเขา แต่ลมเจ้ากรรมดันเปลี่ยนทิศ พัดควันสีขาวพร้อมกลิ่นก๊าซไข่เน่า มาทางที่เรายืนอยู่พอดี ต้องฝืนยืนต่อ เพราะคิดว่าน่าจะใกล้มาแล้ว จากนั้น
"ตู้ม"
น้ำพุร้อนพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ สูงน่าจะเกิน 10 เมตร สูงกว่าครั้งแรกที่เราเห็น ด้วยความที่พวกเรายืนชิดติดขอบเวทีและลมดันพัดมาทางนี้ น้ำร้อนที่พุ่งขึ้นในอากาศ จึงตกใส่กบาลพวกเราเต็ม ๆ
โชคดีที่เด็กๆ ใส่เสื้อกันฝนจึงช่วยป้องกันได้ แต่ตากล้องไม่ได้ใส่ครับ
จึงเปียกไปด้วยประการฉะนี้
เด็กๆ ยังไม่หนำใจ ขอดูอีกรอบ ไม่สงสารตากล้องบ้างเลย
สรุปก็ต้องเปียกอีกรอบ แต่ยังดีที่แค่เปียก ไม่โดนลวก คือน้ำร้อนที่พุ่งสูงขึ้นไป เจอความเย็นในอากาศจึงลดความร้อนของน้ำลงได้มากโขอยู่
เสร็จแล้วจึงพากันเดินออกมา โดยมีเด็กบางคนที่ยังไม่อยากกลับ
ช่วงเดินกลับออกมา ด้านข้างทางเดินมีลำธารน้ำร้อน ที่ไหลออกมาจากบ่อน้ำพุ อุณหภูมิน้ำประมาณ 80-100 องศาเซลเซียส และยังมีบ่อน้ำพุร้อนเล็กๆที่เดือดปุดปุดอยู่ตลอดเวลา
สารภาพเลยว่า คิดถึงไข่ไก่ ไข่นกกระทามาก ทำไมเค้าไม่เอามาวางขายนะ อยากต้มไข่ด้วยน้ำพุร้อน Geysir จิ้มซอสแม็กกี้ อยากรู้ว่าจะอร่อยเหมือนบ้านเราไหม
ก่อนขึ้นรถ แวะร้านขายของที่ระลึกและเข้าห้องน้ำเด็กๆ ได้ไอศครีมมากินตามคำแนะนำของคุณแม่
ครับ กินไอศครีมที่อุณหภูมิประมาณ 2 องศา
ลองชิมไอศครีมลูกดู ไม่รู้สึกว่ามันเย็นเลย แปลกใหม่ดีแฮะ
จากนั้นมุ่งหน้าสู่เป้าหมายที่สามของวันนี้คือ น้ำตก Gullfoss ซึ่งอยู่เลยบ่อน้ำพุร้อนไปไม่ไกลมาก
มีรถนักท่องเที่ยวจอดเยอะเลยทีเดียว เพราะมีรถจอดชิดข้างทาง ก่อนถึงที่จอดรถของน้ำตก เราก็อาศัยขับตามหลังคันข้างหน้า เลาะไปเรื่อยๆ จนถึงที่จอดรถของน้ำตก สังเกตเห็นว่าที่จอดรถด้านขวาว่างโล่งเลย แต่ไม่มีใครจอด พอขับเข้าไปใกล้ อ๋อ ที่จอดรถบัส
ถ้าเป็นบ้านเราก็เรียบร้อย อย่าหวังว่าจะได้จอดนะรถบัส
โชคดีมีรถเก๋งคันหนึ่งกำลังออกพอดี จึงเสียบแทน
เรามีสองทางเลือก คือเดินเลาะไปใกล้ๆ น้ำตก หรือเดินขึ้นบันไดไป เพื่อชมน้ำตกในวิวมุมสูง เราเลือกอย่างหลัง เพราะอยากหลีกเลี่ยงละอองน้ำตกที่ Iceland ได้ข่าวว่ามันหนาวจับขั้วหัวใจ
เดินขึ้นบันได grating ซึ่งน่าจะเป็น Industrial grade มั่นคงแข็งแรงดี ช่วยให้ไม่ลื่นด้วย และมีราวจับบันไดที่เป็นไม้กลม ทำให้ balance กันดี สงสัยว่า ขนาดแค่บันไดสถานที่ท่องเที่ยว น่าจะถึงกับต้องใช้สถาปนิกออกแบบกันเลยทีเดียว
ขึ้นไปถึงด้านบน ต้องเดินต่อไปอีกหน่อย ก็จะเห็นวิวจากมุมสูง เป็นน้ำตกแบบสองขยัก เป็นน้ำสีขาวข้น เหมือนนมไม่สะอาด ปริมาณมหาศาล ไหลทะลักลงหุบเหวด้านล่าง ส่งละอองไอน้ำฟุ้งกระจายไปทั่ว
โคตรสงสารไอ้พวกพวกที่อยู่ข้างล่างเลย
แต่ขึ้นมาด้านบน ต้องทำใจอย่าง คือ
ลมแรงกว่าด้านล่าง
เลือกเอา จะหนาวเพราะลมหรือจะหนาวเพราะละอองน้ำ
ชักภาพพอหอมปากหอมคอ จึงพากันเดินกลับเพราะมีเด็กบ่นอยากเข้าที่พักแล้ว
ก่อนเดินลงบันได สังเกตเห็นว่ามีทางเดินมาจากด้านขวามือ และมีตึกชั้นเดียวเป็นกล่องลักษณะคล้ายตึกอำนวยการของอุทยานแห่งชาติ ที่แวะไปเมื่อตอนก่อนเที่ยง จึงคิดว่าน่าจะเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งมีที่จอดรถแต่เห็นมีรถจอดอยู่ไม่เยอะ แสดงว่า ถ้าขับเลยป้ายชี้ทางลงน้ำตกมาหน่อย ก็จะมาเจอจุดนี้ ที่สำคัญคือไม่ต้องเดินขึ้นบันไดด้วย
ชาติหน้าถ้าได้มาอีก ผมจะขับรถมาจอดตรงนี้
เดินกลับถึงรถ ก็เลยสี่โมงครึ่งแล้ว จึงรีบบึ่งรถไปยังที่พักสำหรับคืนนี้ ซึ่งมีชื่อว่า Beautiful apartment with a view ในเมือง Selfoss
แค่ชื่อ ก็น่าอยู่น่านอนแล้ว
ระหว่างทางขับรถเข้าเมือง เห็นป้ายสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งในเส้นทาง Golden Ring คือ Kerid Crater ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ก้นแอ่งกระทะของภูเขาไฟที่เคยเกิดระเบิดเมื่อนานมาแล้ว จึงขอแวะสักหน่อย
เป็นอีกครั้งที่ลูกชายโวยวายหลังถูกปลุก ต้องบอกว่าพามาดูภูเขาไฟ ถึงยอมลงจากรถ
ที่นี่ ต้องซื้อตั๋วเพื่อเข้าชม โดยมีคนนั่งในตู้ขายตั๋วแบบเป็นเรื่องเป็นราว นึกว่าจะไม่ได้เห็นในประเทศนี้ซะแล้ว
พวกเราพากันเดินบนขอบด้านบนรอบปากปล่องภูเขาไป ซึ่งไม่มีอะไรกั้นเลย กลัวเด็กแถวนี้ กลิ้งลงปล่องภูเขาไฟมาก
พอเดินวนด้านบนครบหนึ่งรอบ ก็พากันเดินลงไปที่ก้นแอ่งกระทะ ซึ่งสามารถเดินได้รอบเช่นกัน โดยมีน้ำใสสีฟ้าครามขังอยู่ที่ก้นแอ่งกระทะ และมีบางส่วนที่เป็นแผ่นน้ำแข็ง
คนเดินนำไม่ใช่ใคร ก็คนที่ไม่อยากลงจากรถในตอนแรกนั่นแหล่ะครับ
เจ้าลูกชายเดินนำลิ่วๆ ตั้งแต่รอบบนยันรอบล่าง แรกๆ เดินไปบ่นไป แต่พอลงข้างล่าง เห็นแผ่นน้ำแข็งเท่านั้นแหล่ะ เหมือนได้ Lego ชุดใหม่ เล่นน้ำแข็งแบบเด็กไม่เคยเจอ
วิธีการเล่นของเค้าคือ เลือกก้อนหินมาแบบพิถีพิถัน แล้วเอามาทุบก้อนน้ำแข็งที่เกยอยู่บนพื้น ซึ่งน้ำแข็งที่ทะเลสาบตรงนี้มันแตกแบบแปลกๆ มันแตกออกเป็นแท่งเล็ก มันไม่แตกออกเป็นก้อนๆ เหมือนบ้านเรา ลูกชายบอก
"มัน satisfied มาก"
ไอ้เราก็กลัวนักท่องเที่ยวคนอื่นจะด่าเอา หาว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังดีที่ด้านล่าง มีนักท่องเที่ยวลงมาไม่เยอะ ฝรั่งผู้ใหญ่บางคน ก็ทุบน้ำแข็งเล่นตามลูกเรานะ และเค้าคงงง มันสนุกตรงไหนฟะ
ลูกสาวกับคุณภรรยาเดินตามถึงอย่างช้า ลูกสาวก็เล่นสมทบกับลูกชาย สนุกสนานกันไปอีก ไอ้เราเรียกแล้วเรียกอีก ก็ยังไม่ยอมขยับ
สุดท้าย ใช้ไม้เด็ด "ปล่อยไว้นี่นะ" แล้วพ่อกับแม่ก็เดินหนีมา
สักพัก มีเด็กยักษ์สองคนเดินตามหลังมา
ได้เวลาไป check-in จริงๆ เสียที
ขับรถตาม google map ที่ link แผนที่ของที่พักคืนนี้จาก Airbnb ซึ่งหาไม่ยาก ขับมาแป๊บเดียว ก็จอดรถที่หน้าบ้านแล้ว
ลงไปดูที่ประตูทางเข้าบ้าน มีป้ายติดไว้ว่าห้องพักแขกอยู่ด้านล่าง จึงเดินลงบันไดด้านข้างตัวบ้านไปสี่ห้าขั้น เห็นมีห้องพักวิวแม่น้ำอยู่สองห้อง
ห้องแรก ส่องข้างในไม่ค่อยเห็นอะไร คล้ายๆ ห้องร้าง เดินไปห้องที่สอง มีกระดาษ A4 แป๊ะอยู่ด้านในกระจก เขียนด้วยลายมือว่า
"Dear Paitoon, welcome to my home..."
น่ารักจริงๆ
ที่ข้างประตู มีกล่องเล็กๆ สำหรับเก็บกุญแจห้อง ต้องใช้ตัวเลข pass code 4 ตัว เพื่อเปิดกล่องเอากุญแจ ซึ่งเค้าส่งให้นานแล้ว
ห้องไม่ใหญ่มาก มีเตียงนอนสำหรับ 2 คน มีโซฟาตัวแอลขนาดใหญ่หนึ่งชุด มีห้องน้ำที่มีเครื่องซักผ้าและเครื่องปั่นผ้า ซึ่งคุณภรรยากรี๊ดมาก มีห้องครัวที่มีโต๊ะกินข้าวสำหรับ 4 ที่ โดยมีอุปกรณ์ทำครัวและเครื่องปรุงครบเกือบทุกอย่าง
ยกเว้น พริกป่นกับข้าวคั่ว
หลังจากยกกระเป๋าเข้าห้องเสร็จ คุณภรรยาก็จัดการซักเสื้อผ้า ส่วนเด็กๆ ก็ดู Youtube บน smart TV ในห้องพัก ไม่กวนพ่อแม่แล้ว
ขณะผมกำลังเก็บของอยู่ คุณภรรยาบอกว่า เห็นมีผู้ชายมาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้องเรา แล้วก็ไป เจ้าของห้องหรือเปล่า
ผมบอกไม่น่าใช่ เพราะเจ้าของห้องเป็นผู้หญิง
จากนั้น ก็ได้เวลาทำอาหารเย็น เมนูวันนี้คือ Hot Dog บวกไข่ดาวสำหรับเด็กๆ หอยลายกระป๋อง พะแนงหมูซอง และต้มมาม่าสำหรับพ่อแม่
อาหารอร่อยเสมอ เวลาทานข้าวกับคนที่เรารัก
เด็กๆ กลั้วคอด้วยน้ำผลไม้และนม ส่วนพ่อแม่ได้ Rose wine จาก Argentina ที่ซื้อมาตอนรอกระเป๋าที่สนามบิน รสชาติใช้ได้ สมราคาที่ไม่แพงมาก
ขณะกำลังเคลียร์โต๊ะกินข้าว เห็นมีผู้ชายใส่เสื้อเขียวมายืนอยู่หน้าห้อง ภรรยาบอก คนนี้แหล่ะ ผมจึงออกไปจัดการ
ผจญภัยดินแดนแห่งน้ำแข็ง (3.1)
เลยต้องปลุกลูก ซึ่งเป็นธรรมดาที่ต้องมีเด็กโวยวายบ้างที่มีคนรบกวนเวลานอน และที่สำคัญ เหมือนจะถูกปลุกให้ไปทรมาน
ชุดเสื้อผ้า เต็มยศเช่นเคย และ top up ด้วย rain coat ราคาถูกจากเมืองไทย
การเข้าไปเที่ยวชมในเขตอุทยานแห่งชาติบ้านเค้า ไม่มีเจ้าหน้าที่มาเก็บค่าเข้าชมก่อนเข้าพื้นที่ จ่ายแค่ค่าที่จอดรถ ซึ่งก็เป็นตู้จ่ายอีกเช่นเคย ก็สามารถเดินเข้าชมพื้นที่ได้เลย
จึงให้ความรู้สึกเหมือนเข้าชมฟรี ทั้งที่จริง ต้องเสียเงินเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้แพงมาก
จอดรถเสร็จ เดินฝ่าฝนและลมหนาวไปที่ตึกอำนวยการซึ่งเป็นตึกกล่องสี่เหลี่ยมชั้นเดียวง่ายๆ ที่ดูดี มี style เหมือนมีสถาปนิกมาออกแบบตึกให้ ไม่ใหญ่มาก มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำนักท่องเที่ยวอยู่สองสามคน
ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่เป็นกองทัพ ไว้คอยไล่จับคนตัดต้นไม้และล่าสัตว์
จากนั้น เดินไปดูจุดชมวิว ที่อยู่ไม่ไกล ไปแค่ไม่กี่ก้าว ดูเหมือนจะเป็นวิวชมทะเลสาบบนมุมสูง แต่พอไปถึง คือไม่ได้ชมวิวเลย ต้องหันหลังให้วิว เพราะลมแรงมาก และพัดมาจากด้านที่จะชมวิวนั่นแหล่ะ ไหนจะฝน ไหนจะลม หนาวโคตรๆ เลยต้องรีบถอย
พอถอยมาได้หน่อย เห็นมีทางเดินไประหว่างภูผาหินที่ไม่สูงมาก และป้องกันลมได้ จึงพากันเดินลงไปดู
มีนักท่องเที่ยวเดินไปมาอยู่ตรงนี้เยอะพอสมควร มีนักท่องเที่ยวชาวสยามด้วย น่าจะมาหลบลมหนาวกัน
แต่พอเดินไปได้ไม่ไกล เห็นสภาพนักท่องเที่ยวที่เดินกลับมาแต่ละคน เปียกม่อล่อกม่อแล่ก จึงตัดใจว่าพอเถอะ ถอยตอนที่สภาพยังพอดูได้ดีกว่า เลยพากันเดินกลับ
ตอนเดินกลับไปที่จอดรถ จึงพากันแวะเข้าห้องน้ำของอุทยาน ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกก็ประมาณตึกอำนวยการของอุทยานนั่นแหล่ะ แค่เล็กกว่านิดหน่อย
พอเปิดประตูเข้าห้องน้ำ จะมีเหมือนห้องโถงรับแขกตรงกลาง ไปทางซ้ายก็เป็นห้องน้ำชาย ทางขวาห้องน้ำหญิง เมื่อเข้าไปในส่วนของห้องน้ำ ผนังด้านหลังเป็นกระจกทั้งหมด เห็นวิวสุดลูกหูลูกตา แม้ท้องฟ้าจะมืดครึ้มและฝนตก ถ้าฟ้าเปิด คงสวยน่าดู
ขณะยืนฉี่ พลางคิดในใจ นี่คงเป็นหนึ่งในห้องน้ำที่วิวสวยที่สุดแห่งหนึ่งในสามโลก
หลังเสร็จธุระ ผมกับลูกชายออกมายืนรอคุณภรรยากับลูกสาวที่โถงรับแขก ซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเข้าห้องน้ำและไม่เข้าห้องน้ำ เข้าใจว่าบางส่วนน่าจะมาหลบอากาศหนาวข้างใน ดีกว่าทนหนาวอยู่ข้างนอก และนี่คงเป็นครั้งแรกเลยมั๊ง ที่ผมรู้สึกอยากให้คุณภรรยาเข้าห้องน้ำนานๆ
หลังจากทุกคนเสร็จธุระแล้ว จึงจำใจต้องออกจากห้องน้ำ ทั้งๆ ที่ยังอาลัยอาวรณ์ความอุ่นสบายของห้องน้ำอยู่เลย ก่อนเดินถึงรถจะลูกชายเตือนพ่อให้จ่ายค่าที่จอดรถที่ตู้จ่ายอัตโนมัติ
คงกลัวพ่อจะเบี้ยว หรือไม่ก็กลัวพ่อจะโดนจับ
พอกลับขึ้นรถ ดูเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ได้เวลากิน แต่ยังไม่รู้จะกินที่ไหนดี ตัดสินใจไปหากินเอาดาบหน้า เผื่อมีร้านผัดกระเพราข้างทาง
ขับรถออกมาไม่นาน เห็นป้ายด้านหน้าซ้ายมือมีรูปช้อนส้อม จึงจอดแวะดู
ปรากฏว่าเป็น Tourism center อีกที่หนึ่งของอุทยานแห่งชาติ ไม่ใหญ่มากและมี cafe' ขายของกินด้วย จึงได้ Sandwich เย็นชืด ช่วยประทังชีวิตให้ผ่านไปได้อีกมื้อ
เป้าหมายถัดไป คือบ่อน้ำพุร้อนขึ้นชื่อของ Iceland
มีชื่อว่า Geysir ขับรถไม่ถึงชั่วโมง ก็ถึงที่หมาย
แม้สภาพอากาศจะไม่ค่อยดี เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวฝนหยุด แต่สถานที่ขึ้นชื่อแห่งนี้ ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ซึ่งตรงนี้ดี ไม่เก็บทั้งค่าเข้าชมและไม่ต้องจ่ายค่าที่จอดรถ
พวกเราทั้งสี่ เดินตามคนอื่นไป แม้ว่านักท่องเที่ยวจะเยอะ แต่ก็ไม่ถึงขั้นหนาแน่น ประเมินคร่าวๆน่าจะไม่ถึง 100 คน ซึ่งก็เดินกระจายกันไป ตามพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ มีเพียงบริเวณรอบน้ำพุพุ่งเท่านั้น ที่มีชาวต่างชาติยืนมุงกันอยู่หลายสิบคน โดยแต่ละคน มีอาวุธประจำกายคือมือถือและกล้องถ่ายรูป และเฝ้ารอให้น้ำพุร้อนมันพุ่งขึ้นมาจากพื้น
พอพวกเราไปถึง จึงยืนดูอยู่ห่างๆ รอสักพักจึงมีน้ำพุร้อนพุ่งขึ้นสู่อากาศ แต่ไม่เห็นสูงเหมือนที่คิดไว้ ทำไมดูในรูป ดูในคลิปคนอื่น เหมือนมันสูงกว่านี้
ไม่ตรงปกนี่หว่า
จากนั้น จึงพากันเดินต่อไปอีกหน่อย ถึงจุดที่มีควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากพื้นดิน พร้อมกลิ่นก๊าซไข่เน่าค่อนข้างแรง ตรงนี้คือ บ่อน้ำพุร้อน Geysir ของจริง แต่มันจะพุ่งขึ้นสู่ฟ้าแบบนานๆ ที
คำว่านานคือ หลายเดือนนะครับ ไม่ใช่หลายนาที ดังนั้น วันนี้ พวกเราไม่ได้เห็นมันพุ่งแน่ๆ
จึงพากันเดินย้อนกลับไปยังบ่อน้ำพุที่มันพุ่งก่อนหน้านี้ ซึ่งมีชื่อว่า Strokkur โดยจะมีน้ำร้อนพุ่งออกมาจากพื้นทุกๆ 6-10 นาที เจ้าลูกชายเข้าไปยืนประชิดในจุดที่ใกล้ที่สุดหลังเชือกที่กั้นไว้ ซึ่งเราก็ประเมินทิศทางแล้ว ลมไม่ได้พัดมาทางที่เรายืนอยู่ น่าจะปลอดภัย ยืนได้นาน
พอกะเวลา น่าจะใกล้มาแล้ว จึงเริ่มบันทึกวิดีโอเหมือนคนอื่นเขา แต่ลมเจ้ากรรมดันเปลี่ยนทิศ พัดควันสีขาวพร้อมกลิ่นก๊าซไข่เน่า มาทางที่เรายืนอยู่พอดี ต้องฝืนยืนต่อ เพราะคิดว่าน่าจะใกล้มาแล้ว จากนั้น
"ตู้ม"
น้ำพุร้อนพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ สูงน่าจะเกิน 10 เมตร สูงกว่าครั้งแรกที่เราเห็น ด้วยความที่พวกเรายืนชิดติดขอบเวทีและลมดันพัดมาทางนี้ น้ำร้อนที่พุ่งขึ้นในอากาศ จึงตกใส่กบาลพวกเราเต็ม ๆ
โชคดีที่เด็กๆ ใส่เสื้อกันฝนจึงช่วยป้องกันได้ แต่ตากล้องไม่ได้ใส่ครับ
จึงเปียกไปด้วยประการฉะนี้
เด็กๆ ยังไม่หนำใจ ขอดูอีกรอบ ไม่สงสารตากล้องบ้างเลย
สรุปก็ต้องเปียกอีกรอบ แต่ยังดีที่แค่เปียก ไม่โดนลวก คือน้ำร้อนที่พุ่งสูงขึ้นไป เจอความเย็นในอากาศจึงลดความร้อนของน้ำลงได้มากโขอยู่
เสร็จแล้วจึงพากันเดินออกมา โดยมีเด็กบางคนที่ยังไม่อยากกลับ
ช่วงเดินกลับออกมา ด้านข้างทางเดินมีลำธารน้ำร้อน ที่ไหลออกมาจากบ่อน้ำพุ อุณหภูมิน้ำประมาณ 80-100 องศาเซลเซียส และยังมีบ่อน้ำพุร้อนเล็กๆที่เดือดปุดปุดอยู่ตลอดเวลา
สารภาพเลยว่า คิดถึงไข่ไก่ ไข่นกกระทามาก ทำไมเค้าไม่เอามาวางขายนะ อยากต้มไข่ด้วยน้ำพุร้อน Geysir จิ้มซอสแม็กกี้ อยากรู้ว่าจะอร่อยเหมือนบ้านเราไหม
ก่อนขึ้นรถ แวะร้านขายของที่ระลึกและเข้าห้องน้ำเด็กๆ ได้ไอศครีมมากินตามคำแนะนำของคุณแม่
ครับ กินไอศครีมที่อุณหภูมิประมาณ 2 องศา
ลองชิมไอศครีมลูกดู ไม่รู้สึกว่ามันเย็นเลย แปลกใหม่ดีแฮะ
จากนั้นมุ่งหน้าสู่เป้าหมายที่สามของวันนี้คือ น้ำตก Gullfoss ซึ่งอยู่เลยบ่อน้ำพุร้อนไปไม่ไกลมาก
มีรถนักท่องเที่ยวจอดเยอะเลยทีเดียว เพราะมีรถจอดชิดข้างทาง ก่อนถึงที่จอดรถของน้ำตก เราก็อาศัยขับตามหลังคันข้างหน้า เลาะไปเรื่อยๆ จนถึงที่จอดรถของน้ำตก สังเกตเห็นว่าที่จอดรถด้านขวาว่างโล่งเลย แต่ไม่มีใครจอด พอขับเข้าไปใกล้ อ๋อ ที่จอดรถบัส
ถ้าเป็นบ้านเราก็เรียบร้อย อย่าหวังว่าจะได้จอดนะรถบัส
โชคดีมีรถเก๋งคันหนึ่งกำลังออกพอดี จึงเสียบแทน
เรามีสองทางเลือก คือเดินเลาะไปใกล้ๆ น้ำตก หรือเดินขึ้นบันไดไป เพื่อชมน้ำตกในวิวมุมสูง เราเลือกอย่างหลัง เพราะอยากหลีกเลี่ยงละอองน้ำตกที่ Iceland ได้ข่าวว่ามันหนาวจับขั้วหัวใจ
เดินขึ้นบันได grating ซึ่งน่าจะเป็น Industrial grade มั่นคงแข็งแรงดี ช่วยให้ไม่ลื่นด้วย และมีราวจับบันไดที่เป็นไม้กลม ทำให้ balance กันดี สงสัยว่า ขนาดแค่บันไดสถานที่ท่องเที่ยว น่าจะถึงกับต้องใช้สถาปนิกออกแบบกันเลยทีเดียว
ขึ้นไปถึงด้านบน ต้องเดินต่อไปอีกหน่อย ก็จะเห็นวิวจากมุมสูง เป็นน้ำตกแบบสองขยัก เป็นน้ำสีขาวข้น เหมือนนมไม่สะอาด ปริมาณมหาศาล ไหลทะลักลงหุบเหวด้านล่าง ส่งละอองไอน้ำฟุ้งกระจายไปทั่ว
โคตรสงสารไอ้พวกพวกที่อยู่ข้างล่างเลย
แต่ขึ้นมาด้านบน ต้องทำใจอย่าง คือ
ลมแรงกว่าด้านล่าง
เลือกเอา จะหนาวเพราะลมหรือจะหนาวเพราะละอองน้ำ
ชักภาพพอหอมปากหอมคอ จึงพากันเดินกลับเพราะมีเด็กบ่นอยากเข้าที่พักแล้ว
ก่อนเดินลงบันได สังเกตเห็นว่ามีทางเดินมาจากด้านขวามือ และมีตึกชั้นเดียวเป็นกล่องลักษณะคล้ายตึกอำนวยการของอุทยานแห่งชาติ ที่แวะไปเมื่อตอนก่อนเที่ยง จึงคิดว่าน่าจะเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งมีที่จอดรถแต่เห็นมีรถจอดอยู่ไม่เยอะ แสดงว่า ถ้าขับเลยป้ายชี้ทางลงน้ำตกมาหน่อย ก็จะมาเจอจุดนี้ ที่สำคัญคือไม่ต้องเดินขึ้นบันไดด้วย
ชาติหน้าถ้าได้มาอีก ผมจะขับรถมาจอดตรงนี้
เดินกลับถึงรถ ก็เลยสี่โมงครึ่งแล้ว จึงรีบบึ่งรถไปยังที่พักสำหรับคืนนี้ ซึ่งมีชื่อว่า Beautiful apartment with a view ในเมือง Selfoss
แค่ชื่อ ก็น่าอยู่น่านอนแล้ว
ระหว่างทางขับรถเข้าเมือง เห็นป้ายสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งในเส้นทาง Golden Ring คือ Kerid Crater ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ก้นแอ่งกระทะของภูเขาไฟที่เคยเกิดระเบิดเมื่อนานมาแล้ว จึงขอแวะสักหน่อย
เป็นอีกครั้งที่ลูกชายโวยวายหลังถูกปลุก ต้องบอกว่าพามาดูภูเขาไฟ ถึงยอมลงจากรถ
ที่นี่ ต้องซื้อตั๋วเพื่อเข้าชม โดยมีคนนั่งในตู้ขายตั๋วแบบเป็นเรื่องเป็นราว นึกว่าจะไม่ได้เห็นในประเทศนี้ซะแล้ว
พวกเราพากันเดินบนขอบด้านบนรอบปากปล่องภูเขาไป ซึ่งไม่มีอะไรกั้นเลย กลัวเด็กแถวนี้ กลิ้งลงปล่องภูเขาไฟมาก
พอเดินวนด้านบนครบหนึ่งรอบ ก็พากันเดินลงไปที่ก้นแอ่งกระทะ ซึ่งสามารถเดินได้รอบเช่นกัน โดยมีน้ำใสสีฟ้าครามขังอยู่ที่ก้นแอ่งกระทะ และมีบางส่วนที่เป็นแผ่นน้ำแข็ง
คนเดินนำไม่ใช่ใคร ก็คนที่ไม่อยากลงจากรถในตอนแรกนั่นแหล่ะครับ
เจ้าลูกชายเดินนำลิ่วๆ ตั้งแต่รอบบนยันรอบล่าง แรกๆ เดินไปบ่นไป แต่พอลงข้างล่าง เห็นแผ่นน้ำแข็งเท่านั้นแหล่ะ เหมือนได้ Lego ชุดใหม่ เล่นน้ำแข็งแบบเด็กไม่เคยเจอ
วิธีการเล่นของเค้าคือ เลือกก้อนหินมาแบบพิถีพิถัน แล้วเอามาทุบก้อนน้ำแข็งที่เกยอยู่บนพื้น ซึ่งน้ำแข็งที่ทะเลสาบตรงนี้มันแตกแบบแปลกๆ มันแตกออกเป็นแท่งเล็ก มันไม่แตกออกเป็นก้อนๆ เหมือนบ้านเรา ลูกชายบอก
"มัน satisfied มาก"
ไอ้เราก็กลัวนักท่องเที่ยวคนอื่นจะด่าเอา หาว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังดีที่ด้านล่าง มีนักท่องเที่ยวลงมาไม่เยอะ ฝรั่งผู้ใหญ่บางคน ก็ทุบน้ำแข็งเล่นตามลูกเรานะ และเค้าคงงง มันสนุกตรงไหนฟะ
ลูกสาวกับคุณภรรยาเดินตามถึงอย่างช้า ลูกสาวก็เล่นสมทบกับลูกชาย สนุกสนานกันไปอีก ไอ้เราเรียกแล้วเรียกอีก ก็ยังไม่ยอมขยับ
สุดท้าย ใช้ไม้เด็ด "ปล่อยไว้นี่นะ" แล้วพ่อกับแม่ก็เดินหนีมา
สักพัก มีเด็กยักษ์สองคนเดินตามหลังมา
ได้เวลาไป check-in จริงๆ เสียที
ขับรถตาม google map ที่ link แผนที่ของที่พักคืนนี้จาก Airbnb ซึ่งหาไม่ยาก ขับมาแป๊บเดียว ก็จอดรถที่หน้าบ้านแล้ว
ลงไปดูที่ประตูทางเข้าบ้าน มีป้ายติดไว้ว่าห้องพักแขกอยู่ด้านล่าง จึงเดินลงบันไดด้านข้างตัวบ้านไปสี่ห้าขั้น เห็นมีห้องพักวิวแม่น้ำอยู่สองห้อง
ห้องแรก ส่องข้างในไม่ค่อยเห็นอะไร คล้ายๆ ห้องร้าง เดินไปห้องที่สอง มีกระดาษ A4 แป๊ะอยู่ด้านในกระจก เขียนด้วยลายมือว่า
"Dear Paitoon, welcome to my home..."
น่ารักจริงๆ
ที่ข้างประตู มีกล่องเล็กๆ สำหรับเก็บกุญแจห้อง ต้องใช้ตัวเลข pass code 4 ตัว เพื่อเปิดกล่องเอากุญแจ ซึ่งเค้าส่งให้นานแล้ว
ห้องไม่ใหญ่มาก มีเตียงนอนสำหรับ 2 คน มีโซฟาตัวแอลขนาดใหญ่หนึ่งชุด มีห้องน้ำที่มีเครื่องซักผ้าและเครื่องปั่นผ้า ซึ่งคุณภรรยากรี๊ดมาก มีห้องครัวที่มีโต๊ะกินข้าวสำหรับ 4 ที่ โดยมีอุปกรณ์ทำครัวและเครื่องปรุงครบเกือบทุกอย่าง
ยกเว้น พริกป่นกับข้าวคั่ว
หลังจากยกกระเป๋าเข้าห้องเสร็จ คุณภรรยาก็จัดการซักเสื้อผ้า ส่วนเด็กๆ ก็ดู Youtube บน smart TV ในห้องพัก ไม่กวนพ่อแม่แล้ว
ขณะผมกำลังเก็บของอยู่ คุณภรรยาบอกว่า เห็นมีผู้ชายมาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้องเรา แล้วก็ไป เจ้าของห้องหรือเปล่า
ผมบอกไม่น่าใช่ เพราะเจ้าของห้องเป็นผู้หญิง
จากนั้น ก็ได้เวลาทำอาหารเย็น เมนูวันนี้คือ Hot Dog บวกไข่ดาวสำหรับเด็กๆ หอยลายกระป๋อง พะแนงหมูซอง และต้มมาม่าสำหรับพ่อแม่
อาหารอร่อยเสมอ เวลาทานข้าวกับคนที่เรารัก
เด็กๆ กลั้วคอด้วยน้ำผลไม้และนม ส่วนพ่อแม่ได้ Rose wine จาก Argentina ที่ซื้อมาตอนรอกระเป๋าที่สนามบิน รสชาติใช้ได้ สมราคาที่ไม่แพงมาก
ขณะกำลังเคลียร์โต๊ะกินข้าว เห็นมีผู้ชายใส่เสื้อเขียวมายืนอยู่หน้าห้อง ภรรยาบอก คนนี้แหล่ะ ผมจึงออกไปจัดการ