บันทึก วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2567
.......
เป็นวันที่มีหลายอารมณ์มากๆในวันเดียว ก็คงเริ่มจาก เหนื่อย แต่เหนื่อยในที่นี้คือเหนื่อยจากการทำงาน คงจะไม่แปลกเพราะเมื่อวานเลิกงานเที่ยงคืนกว่าๆเลย 55 เเต่ว่าน่ะ งานที่ทำก็ไม่ได้สูญเปล่าเพราะรายได้วันนี้คือ 800 บาทเลยน่ะ ในมุมมองคนอื่นอาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่ว่าสำหรับเด็กอายุ17อย่างที่ไม่เคยมีงานทำ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ไม่เลวเลยที่เดียว ทำให้ผมเกิดความรู้สึกดีใจขึ้นมา พอได้เวลาพักผ่อน ผมก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ก่อนจะพักไม่ได้รู้สึกเพลียหรือล้าขนาดนั้น พอตื่นมาก็ต้องรีบไปทำงานต่อ ทำให้ผมเจอเหตุการณ์หนึ่ง นั้นคือสิ่งที่ผมไม่ชอบมากที่สุด คือ "การเอาเปรียบ " แต่น่ะ คนที่ทำนั้นดันเป็นเพื่อนผม เป็นคนที่ผมคิดโตแล้วทางด้านความคิดและการเอาใจใส่ความรู้สึกคนอื่น แต่ก็ยัง ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่สนิทด้วยผมคงพูดตรงๆบอกไปตามนิสัยผม แต่ว่า ครั้งนี้กลับบอกเป็นความแฝงนัยๆ ตามที่ผมชอบทำ แต่มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าอะไรหรอ? 55ก็เพราะมีแต่ตัวผมที่เขาใจ มันเลยเกิดคำพูดหนึ่งขึ้นมาในหัวผมว่า" คนที่เข้าใจเราที่สุดคือตัวเราเอง" และสาเหตุที่ผมไม่พูดออกไปตรงๆก็เพราะว่า "ความกลัวของตัวผม" กลัวในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองในอดีต คือการเสียเพื่อน การเสียคนที่เราจะพูดอะไรไร้สาระได้อย่างสบายใจ การเสียคนที่เราอะไรแปลกๆออกไปก็ยังหัวเราะตอบรับอยู่เสมอ
ถ้าเป็นคนอื่นก็บอกกับผมว่า คนบนโลกนี้มีตั้งเยอะแยะ เพื่อนดีๆมีอีกมาก เพื่อนที่มีแล้วไม่สบายใจเราจะมีไปทำไม ใช่ครับ ถ้าคนทั่วไปก็คงทำได้ทั่วไป แต่การจะหาเพื่อนสักคนสำหรับผมมันเหมือนกับที่ผมอยู่ในทะเลที่แห้งแล้งและกระหายน้ำ แต่ต้องเดินหาน้ำโดยที่ตัวเองมองไม่เห็นอะไร สุดท้ายก็จบลงด้วยการ กมหน้ารับชะตากรรมโดยที่ไม่คิดจะสู้ต่อเลยสักนิด และอีกอย่างจะมีสักกี่คนบนโลก ที่จะนั่งผมพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ อีกอย่างผมเป็นคนที่โชคร้ายแบบไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เเค่นั้นยังไม่พอบวกกับที่ผมเป็นที่คนรอบตัวให้ความสำคัญน้อยอีกล่ะมั้ง เรียกว่าแทบจะไร้ตัวตน เช่น ครูที่สอนอยู่ถามคำถามนักเรียนในห้อง ผมที่ตอบอย่างชัดเจนด้วยเสียงเต็มที่ แต่เหมือนว่าทันที่คำพูดออกจากปากมันก็ค่อยๆกลายเป็นฝุ่น ย่อยเป็นธุลี สลายไปในอากาศ หลายต่อหลายครั้งที่ผมรู้ตัวเองในเรื่องนี้ แต่ก็เป็นทุกครั้งที่ผมยังพูดออกไปโดยที่ไม่มีใครสนใจเหมือนเดิม หลายต่อหลายที่ผมเคยบอกคนรอบคอบเรื่องนี้กับคนรอบตัว แต่พวกเขากลับบอกว่า เขาคงโฟกัสอย่างอื่นอยู่แหละ เลยไม่ได้สนใจ แต่ในความเป็นจริงต่อให้ผมเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องก็คงไม่มีใครได้ยินเสียงผม สิ่งหนึ่งในชีวิตนี้ที่ผมอยากจะเจอสักครั้ง คือ "คนที่ได้ยินเสียงผม"ไม่ต้องได้ยินผมพูดทุกครั้ง ไม่ต้องคอยโฟกัสผมคนเดียว ขอเเค่ตอนที่ผมพูด คุณได้ยินเสียงผมก็พอ คนที่ฟังผมจากความรู้สึก ไม่ใช่หู ไม่รู้ว่าทำไมขณะที่ผมกำลังบันทึกข้อความนี้น้ำตาถึงไหล 555 คงเพราะผมบอบบางกับความเป็นจริง เลยมีคนรู้จักเพียงหยิบมือ สิ่งหนึ่งที่ผมเก่งคือ ผมสามารถทำให้คนอื่นยิ้มหรือหัวเราะได้ ด้วยการคิดมุกคิดคำพูดตลกๆออกมา แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามคือผมดันไร้ความสามารถในการหาเสียงหัวเราะให้ตัวเอง 555 เวลาที่ตัวเองรู้สึกเศร้า ก็มักจะหัวเราะออกมาโดยหวังว่าจะสามารถอุดรอยรั่วเล็กๆในจิตใจของตัวเองได้ สาเหตุของความบอบบางนี้ อาจจะมาอย่างสถาพแวดล้อมทางครอบครัวในตอนเด็กก็ได้ แม่ผมทิ้งไปในตอนผม 4 ขวบ ส่วนพ่อผมไม่เคยเห็นหน้าหรือทราบชื่ออะไรทั้งนั้น แม้แต่ในใบเกิดก็ไม่มีชื่อพ่อระบุ ผมโตมากับทวด แต่ก็น่ะ แกค่อนข้างที่จะเข้มงวดกับผมมาก ผมโตมาโดยมีความกลัวคอยควบคุม ผมไม่เคยรู้จักคำว่า" อบอุ่น "ในครอบครัวด้วยซ้ำ 555 จนกระทั่งเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ตอนที่ทวดผมป่วยหนัก คือ ท่านใกล้จะเสีย แต่ตอนนี้ก็ยังน่ะครับ ผมกลับบ้านไปตอนนั้น บอกตรงๆคือตอนนั้น ผมไม่มีความรู้สึกเลยว่าที่นั้นคือบ้าน จนกระทั่งผมไปถึง ผมเจอ ยาย และ อีกหลายๆคนในครอบครัว ภาพในหัวก่อนที่จะถึงบ้านคือ ผมคงโดนคนที่บ้านสาปแช่ง ว่า เป็นหลานอกตัญยู แต่ที่ผมเจอคือทุกคน ไม่ได้สนใจผมขนาดนั้น เขาถามเพียงว่า เรียนเป็นอย่างไรบ้าง เกรดเท่าไร จะต่อมหาลัยไหน เขาพยายามวางอนาคตให้เป็นในแบบที่ผมอยากเป็น แต่ผมก็ตอบไปอย่างปกติตอนนั้น ที่น่าแปลกมีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1 คนในบ้านผมทำดีกับผมอย่งที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่า คำว่า อยอุ่นในครอบครัวเป็นยังไงตอนนั้นผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ตกตะลึกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนอีกเรื่องคือ ทุกคนไม่เคยที่จะอยากรู้เลยว่าตัวผมในตอนนั้นสบายดีไหม มีเรื่องทุกใจรึป่าว แต่ว่าเรื่องนี้ผมก็ไม่ค่อยคิดมานานมากแล้ว เพราะปัจจุบันผมก็เริ่มที่จะสนิทกับคนในครอบครัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน นี้ก็คงเป็นสาเหตุของความบอบบางนี้ล่ะมั้ง55 เรียกได้ความรู้สึกของผมที่มีกับครอบครัวก็ค่อยๆดีขึ้น ปัญหาเดียวในตอนนี้คือความรู้สึกที่ว่างปเปล่าของผมในตอนนี้คือ ถ้าจะให้บอกความรู้สึกของผมในตอนนี้ก็คือ ว่างเปล่า ไม่ได้ยินดีร้ายกับเรื่องต่างๆที่เข้ามามากนัก ไม่ได้วางแผนอนาคตไว้ไกลขนาดนั้น คิดแค่ว่า วันพรุ่งนี้เราจะต้องทำอะไร เพราะผมคิดว่า ผมไม่น่าจะอยู่ได้นานขนาดนั้น ไม่ได้มีเป้าหมายที่ชัดเจนเหมือนคนอื่นๆ และผมคิดว่าผมก็ไม่ได้ซึ้มเศร้าขนาดนั้น เพราะทุกวันนี้ผมก็ยังยิ้มได้อยู่ ผมเลยคิดว่าจะตายตอนไหนก็ได้ชีวิตนี้เพราะผมไม่มีอะไรที่ต้องห่วงอีกแล้ว บางครั้งก็แอบคิดว่า ถ้าผมฆ่าตัวตายไปก็คงจะสบายจะได้ไม่ต้องคิดเยอะและจมกับความรู้สึกดิ่งแบบนี้ แต่ว่าการทำแบบนี้มันอาจจะดีกับตัวเองก็จริง แต่มันจะไม่ได้ดีคนรอบตัวผม มันจะเป็นเหมือนกับผมเป็นคนฝังตราบาปให้พวกเขา ที่ต้องคิดว่าตัวเองไม่ได้สนใจความรู้สึกผม แต่เอาเข้าจริงๆ ก็อาจจะไม่ได้มีคนคิดแบบนี้จริงก็ได้ อีกอย่างถ้าผมทำแบบนี้มันดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย555 แต่ก็อยากให้รู้ว่าถ้าวันใดวันหนึ่งที่ผมทำแบบนี้จริงๆก็อยากให้รู้ว่า ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ทำเพราะรู้สึกแย่แค่ผมไม่มีเป้าหมายที่จะต้องใช้ชีวิตต่อ จะบอกผมขี้แพ้ก็ได้ ผมคงเป็นแบบนั้นจริงๆแหละ และอีกที่ผมอยากบอกคือ คนที่เขาคิดที่จะฆ่าตัวตายนั้นน่ะ เขาไม่ใช้คนที่คิดสั้น แต่คิดมาเป็นอย่างดีและถี่ถ้วนแล้ว นิสัยเสียของผมคือ การคิดแต่ด้านลบๆ คือคิดถึงข้อเสียก่อนข้อดี เคยแก้ด้วยการคิดบวกสู้ แต่ว่า ทุกครั้งที่คิดข้อดีออกมาได้ สมองของผมมันก็จะบังคับให้คิดข้อเสียออกมาปิดทับข้อดีคิดออกมาก่อนหน้าอีก มันเลยกลายวงจรอนันต์ของผมไป ส่วนข้อเสียอีกข้อคือ ผมชอบพูดอะไรที่งงๆ เช่นพูดเรื่องนี้เชื่อมเรื่องโน้น หรือแม้แต่บันทึกนี้ก็อาจจะเป็นแบบนั้น สุดท้ายนี้
ผมอยากบอกว่า ขอบคุณมากๆ ผมขอบคุณที่คุณหลงเข้ามาเจอข้อความนี้ เข้ามาเจอความรู้สึกผม ผมไม่ได้หวังข้อความจะทำให้ผมดูน่าสนใจ เพราะบนโลกนี้คนที่มีปัญหาชีวิตมากกว่าผมอีกมากมาย ผมบันทึกข้อความนี้ก็เพียงหวังว่า ตัวผมเองจะได้ระบายความรู้สึกที่ขมขืนนี้จากทางไหนสักทาง ขอบคุณตัวผมเองที่ยังทนอยู่
ข้าพเจ้าขอจบบันทึกนี้ไว้ตรงนี้...
ใครสักคนที่ได้ยินผม
.......
เป็นวันที่มีหลายอารมณ์มากๆในวันเดียว ก็คงเริ่มจาก เหนื่อย แต่เหนื่อยในที่นี้คือเหนื่อยจากการทำงาน คงจะไม่แปลกเพราะเมื่อวานเลิกงานเที่ยงคืนกว่าๆเลย 55 เเต่ว่าน่ะ งานที่ทำก็ไม่ได้สูญเปล่าเพราะรายได้วันนี้คือ 800 บาทเลยน่ะ ในมุมมองคนอื่นอาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่ว่าสำหรับเด็กอายุ17อย่างที่ไม่เคยมีงานทำ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ไม่เลวเลยที่เดียว ทำให้ผมเกิดความรู้สึกดีใจขึ้นมา พอได้เวลาพักผ่อน ผมก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ก่อนจะพักไม่ได้รู้สึกเพลียหรือล้าขนาดนั้น พอตื่นมาก็ต้องรีบไปทำงานต่อ ทำให้ผมเจอเหตุการณ์หนึ่ง นั้นคือสิ่งที่ผมไม่ชอบมากที่สุด คือ "การเอาเปรียบ " แต่น่ะ คนที่ทำนั้นดันเป็นเพื่อนผม เป็นคนที่ผมคิดโตแล้วทางด้านความคิดและการเอาใจใส่ความรู้สึกคนอื่น แต่ก็ยัง ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่สนิทด้วยผมคงพูดตรงๆบอกไปตามนิสัยผม แต่ว่า ครั้งนี้กลับบอกเป็นความแฝงนัยๆ ตามที่ผมชอบทำ แต่มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าอะไรหรอ? 55ก็เพราะมีแต่ตัวผมที่เขาใจ มันเลยเกิดคำพูดหนึ่งขึ้นมาในหัวผมว่า" คนที่เข้าใจเราที่สุดคือตัวเราเอง" และสาเหตุที่ผมไม่พูดออกไปตรงๆก็เพราะว่า "ความกลัวของตัวผม" กลัวในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองในอดีต คือการเสียเพื่อน การเสียคนที่เราจะพูดอะไรไร้สาระได้อย่างสบายใจ การเสียคนที่เราอะไรแปลกๆออกไปก็ยังหัวเราะตอบรับอยู่เสมอ
ถ้าเป็นคนอื่นก็บอกกับผมว่า คนบนโลกนี้มีตั้งเยอะแยะ เพื่อนดีๆมีอีกมาก เพื่อนที่มีแล้วไม่สบายใจเราจะมีไปทำไม ใช่ครับ ถ้าคนทั่วไปก็คงทำได้ทั่วไป แต่การจะหาเพื่อนสักคนสำหรับผมมันเหมือนกับที่ผมอยู่ในทะเลที่แห้งแล้งและกระหายน้ำ แต่ต้องเดินหาน้ำโดยที่ตัวเองมองไม่เห็นอะไร สุดท้ายก็จบลงด้วยการ กมหน้ารับชะตากรรมโดยที่ไม่คิดจะสู้ต่อเลยสักนิด และอีกอย่างจะมีสักกี่คนบนโลก ที่จะนั่งผมพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ อีกอย่างผมเป็นคนที่โชคร้ายแบบไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เเค่นั้นยังไม่พอบวกกับที่ผมเป็นที่คนรอบตัวให้ความสำคัญน้อยอีกล่ะมั้ง เรียกว่าแทบจะไร้ตัวตน เช่น ครูที่สอนอยู่ถามคำถามนักเรียนในห้อง ผมที่ตอบอย่างชัดเจนด้วยเสียงเต็มที่ แต่เหมือนว่าทันที่คำพูดออกจากปากมันก็ค่อยๆกลายเป็นฝุ่น ย่อยเป็นธุลี สลายไปในอากาศ หลายต่อหลายครั้งที่ผมรู้ตัวเองในเรื่องนี้ แต่ก็เป็นทุกครั้งที่ผมยังพูดออกไปโดยที่ไม่มีใครสนใจเหมือนเดิม หลายต่อหลายที่ผมเคยบอกคนรอบคอบเรื่องนี้กับคนรอบตัว แต่พวกเขากลับบอกว่า เขาคงโฟกัสอย่างอื่นอยู่แหละ เลยไม่ได้สนใจ แต่ในความเป็นจริงต่อให้ผมเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องก็คงไม่มีใครได้ยินเสียงผม สิ่งหนึ่งในชีวิตนี้ที่ผมอยากจะเจอสักครั้ง คือ "คนที่ได้ยินเสียงผม"ไม่ต้องได้ยินผมพูดทุกครั้ง ไม่ต้องคอยโฟกัสผมคนเดียว ขอเเค่ตอนที่ผมพูด คุณได้ยินเสียงผมก็พอ คนที่ฟังผมจากความรู้สึก ไม่ใช่หู ไม่รู้ว่าทำไมขณะที่ผมกำลังบันทึกข้อความนี้น้ำตาถึงไหล 555 คงเพราะผมบอบบางกับความเป็นจริง เลยมีคนรู้จักเพียงหยิบมือ สิ่งหนึ่งที่ผมเก่งคือ ผมสามารถทำให้คนอื่นยิ้มหรือหัวเราะได้ ด้วยการคิดมุกคิดคำพูดตลกๆออกมา แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามคือผมดันไร้ความสามารถในการหาเสียงหัวเราะให้ตัวเอง 555 เวลาที่ตัวเองรู้สึกเศร้า ก็มักจะหัวเราะออกมาโดยหวังว่าจะสามารถอุดรอยรั่วเล็กๆในจิตใจของตัวเองได้ สาเหตุของความบอบบางนี้ อาจจะมาอย่างสถาพแวดล้อมทางครอบครัวในตอนเด็กก็ได้ แม่ผมทิ้งไปในตอนผม 4 ขวบ ส่วนพ่อผมไม่เคยเห็นหน้าหรือทราบชื่ออะไรทั้งนั้น แม้แต่ในใบเกิดก็ไม่มีชื่อพ่อระบุ ผมโตมากับทวด แต่ก็น่ะ แกค่อนข้างที่จะเข้มงวดกับผมมาก ผมโตมาโดยมีความกลัวคอยควบคุม ผมไม่เคยรู้จักคำว่า" อบอุ่น "ในครอบครัวด้วยซ้ำ 555 จนกระทั่งเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ตอนที่ทวดผมป่วยหนัก คือ ท่านใกล้จะเสีย แต่ตอนนี้ก็ยังน่ะครับ ผมกลับบ้านไปตอนนั้น บอกตรงๆคือตอนนั้น ผมไม่มีความรู้สึกเลยว่าที่นั้นคือบ้าน จนกระทั่งผมไปถึง ผมเจอ ยาย และ อีกหลายๆคนในครอบครัว ภาพในหัวก่อนที่จะถึงบ้านคือ ผมคงโดนคนที่บ้านสาปแช่ง ว่า เป็นหลานอกตัญยู แต่ที่ผมเจอคือทุกคน ไม่ได้สนใจผมขนาดนั้น เขาถามเพียงว่า เรียนเป็นอย่างไรบ้าง เกรดเท่าไร จะต่อมหาลัยไหน เขาพยายามวางอนาคตให้เป็นในแบบที่ผมอยากเป็น แต่ผมก็ตอบไปอย่างปกติตอนนั้น ที่น่าแปลกมีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1 คนในบ้านผมทำดีกับผมอย่งที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่า คำว่า อยอุ่นในครอบครัวเป็นยังไงตอนนั้นผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ตกตะลึกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนอีกเรื่องคือ ทุกคนไม่เคยที่จะอยากรู้เลยว่าตัวผมในตอนนั้นสบายดีไหม มีเรื่องทุกใจรึป่าว แต่ว่าเรื่องนี้ผมก็ไม่ค่อยคิดมานานมากแล้ว เพราะปัจจุบันผมก็เริ่มที่จะสนิทกับคนในครอบครัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน นี้ก็คงเป็นสาเหตุของความบอบบางนี้ล่ะมั้ง55 เรียกได้ความรู้สึกของผมที่มีกับครอบครัวก็ค่อยๆดีขึ้น ปัญหาเดียวในตอนนี้คือความรู้สึกที่ว่างปเปล่าของผมในตอนนี้คือ ถ้าจะให้บอกความรู้สึกของผมในตอนนี้ก็คือ ว่างเปล่า ไม่ได้ยินดีร้ายกับเรื่องต่างๆที่เข้ามามากนัก ไม่ได้วางแผนอนาคตไว้ไกลขนาดนั้น คิดแค่ว่า วันพรุ่งนี้เราจะต้องทำอะไร เพราะผมคิดว่า ผมไม่น่าจะอยู่ได้นานขนาดนั้น ไม่ได้มีเป้าหมายที่ชัดเจนเหมือนคนอื่นๆ และผมคิดว่าผมก็ไม่ได้ซึ้มเศร้าขนาดนั้น เพราะทุกวันนี้ผมก็ยังยิ้มได้อยู่ ผมเลยคิดว่าจะตายตอนไหนก็ได้ชีวิตนี้เพราะผมไม่มีอะไรที่ต้องห่วงอีกแล้ว บางครั้งก็แอบคิดว่า ถ้าผมฆ่าตัวตายไปก็คงจะสบายจะได้ไม่ต้องคิดเยอะและจมกับความรู้สึกดิ่งแบบนี้ แต่ว่าการทำแบบนี้มันอาจจะดีกับตัวเองก็จริง แต่มันจะไม่ได้ดีคนรอบตัวผม มันจะเป็นเหมือนกับผมเป็นคนฝังตราบาปให้พวกเขา ที่ต้องคิดว่าตัวเองไม่ได้สนใจความรู้สึกผม แต่เอาเข้าจริงๆ ก็อาจจะไม่ได้มีคนคิดแบบนี้จริงก็ได้ อีกอย่างถ้าผมทำแบบนี้มันดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย555 แต่ก็อยากให้รู้ว่าถ้าวันใดวันหนึ่งที่ผมทำแบบนี้จริงๆก็อยากให้รู้ว่า ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ทำเพราะรู้สึกแย่แค่ผมไม่มีเป้าหมายที่จะต้องใช้ชีวิตต่อ จะบอกผมขี้แพ้ก็ได้ ผมคงเป็นแบบนั้นจริงๆแหละ และอีกที่ผมอยากบอกคือ คนที่เขาคิดที่จะฆ่าตัวตายนั้นน่ะ เขาไม่ใช้คนที่คิดสั้น แต่คิดมาเป็นอย่างดีและถี่ถ้วนแล้ว นิสัยเสียของผมคือ การคิดแต่ด้านลบๆ คือคิดถึงข้อเสียก่อนข้อดี เคยแก้ด้วยการคิดบวกสู้ แต่ว่า ทุกครั้งที่คิดข้อดีออกมาได้ สมองของผมมันก็จะบังคับให้คิดข้อเสียออกมาปิดทับข้อดีคิดออกมาก่อนหน้าอีก มันเลยกลายวงจรอนันต์ของผมไป ส่วนข้อเสียอีกข้อคือ ผมชอบพูดอะไรที่งงๆ เช่นพูดเรื่องนี้เชื่อมเรื่องโน้น หรือแม้แต่บันทึกนี้ก็อาจจะเป็นแบบนั้น สุดท้ายนี้
ผมอยากบอกว่า ขอบคุณมากๆ ผมขอบคุณที่คุณหลงเข้ามาเจอข้อความนี้ เข้ามาเจอความรู้สึกผม ผมไม่ได้หวังข้อความจะทำให้ผมดูน่าสนใจ เพราะบนโลกนี้คนที่มีปัญหาชีวิตมากกว่าผมอีกมากมาย ผมบันทึกข้อความนี้ก็เพียงหวังว่า ตัวผมเองจะได้ระบายความรู้สึกที่ขมขืนนี้จากทางไหนสักทาง ขอบคุณตัวผมเองที่ยังทนอยู่
ข้าพเจ้าขอจบบันทึกนี้ไว้ตรงนี้...