มิตรภาพงดงามที่เหลือเชื่อ-02 เพื่อนที่ได้จากกิจกรรมจิตอาสา

กระทู้ก่อนเขียนเรื่อง มิตรภาพงดงามที่เหลือเชื่อตอนที่ 1 ไปแล้ว และมีการเอ่ยถึงชื่อของท่านผู้ใหญ่ที่เคารพออกไป เนื่องเพราะ เคยเอาข้อเขียนและรูปของท่านมาลง เลยต้องขออนุญาตอธิบายถึงที่มาที่ไป และบอกเล่าถึงความเคารพ ชื่นชม และประทับใจอื่น ๆ ที่มี
 

แต่ยัง ... ยังไม่หมดค่ะ มิตรภาพดี ๆ ภายใต้ธีม “เหลือเชื่อ” ยังไม่หมด

ธาราสินธุ์ยังอยากบอกเล่าเพิ่มเติมถึงมิตรภาพดีงามที่ไม่คิดว่าจะได้เจอในชีวิต หรือเจอแบบ “งง ๆ” คือไม่ได้เจอในระบบปกติ เพราะเรารันกันคนละวงการ คนละอาชีพ คนละสังคม คนละสิ่งแวดล้อม แล้วบางคนก็ยังคนละวัยด้วย ตอนเรารู้จักกันเจอกันสามสี่ครั้งแรก  บางคนนี่ไม่ได้รู้จักชื่อจริง แทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำว่าแต่ละคนทำอาชีพอะไร    แต่คบไป คบไป  น้ำใจที่ได้มันท่วมท้นอย่างน่าแปลกใจ พอรู้โพรไฟล์แล้วยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ว่าเราไปรู้จักกับเค้าได้อย่างไร

แต่ครั้งนี้ ขอไม่เอ่ยชื่อนะคะ เกรงจะเป็นการรบกวนความเป็นส่วนตัวของเพื่อน ๆ เหล่านั้นจนเกินไป

กระทู้นี้ขอเล่าเรื่องมิตรภาพที่ได้จากกิจกรรมจิตอาสาค่ะ

ดิฉันมักปลีกเวลาไปทำกิจกรรมจิตอาสาค่ะ ไม่ได้ทำเพราะเป็นคนดีอะไร แต่ทำใช้หนี้

เพี้ยนขำหนักมาก

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

หลายปีก่อน ตอนที่คนในพันทิปยังคึกคักกับกิจกรรมสมาชิกมากกว่านี้ ดิฉันกับเพื่อน ๆ ในพันทิป ร่วมกันทำกิจกรรมประมูลเพื่อการกุศลหลายครั้ง ทั้งช่วยมูลนิธิพุดหุงที่ช่วยคนโรคเรื้อน  ช่วยโรงเรียนบ้านสายรุ้งที่อยู่ชายขอบกาญจน์ ช่วยวัดพระบาทน้ำพุ ช่วยสร้างวัด และอีกหลาย ๆ อย่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เพื่อนสมาชิกรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ก็เข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วย และพี่ก็ได้บอกดิฉันว่า "เจ้านายพี่ สนใจกิจกรรมนี้มาก และอยากรู้จักน้องค่ะ"
เจ้านายของพี่ท่านนี้ เป็นนายทหารหญิงระดับสูงในหน่วยงานหนึ่งที่ได้ชื่อว่า เป็นแหล่งบ่มเพาะ super connection ของเมืองไทย
ท่านเป็นคนสมถะ น่ารัก และทำกิจกรรมเพื่อสังคมแบบเงียบ ๆ ตามกำลังมาเยอะมากทั้งใน scale เล็ก และใหญ่

ดิฉันก็ได้รู้จักท่าน และเข้าร่วมกิจกรรมอบรมธรรมะในรูปแบบที่ต่างออกไปที่ท่านกรุณาแนะนำ  เช่น เจริญสติ   การเตรียมตัวตายอย่างสบายใจ อะไรประมาณนี้ 

จำได้ว่า ท่านปรานีดิฉันมาก ครั้งหนึ่ง ตอนเราคุยโทรศัพท์กัน ท่านเอ่ยถามถึงสารทุกข์สุขดิบทั่วไป ดิฉันก็บ่นไปเรื่อยเจื้อยว่า "เหนื่อยค่ะพี่ ช่วงนี้มีเรื่องขอใบอนุญาต......."
ตอนบ่นนั่น ก็ไม่ได้คิดอะไร บ่นไปตามประสาปากเร็วกว่าสติ
ท่านก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วท่านก็เอ่ยปากจะช่วย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ตอนนั้นเอง ดิฉันถึงได้สติว่า "ธาราสินธุ์เอ๊ย ... ดูสิ บ่นไปเรื่อย จนเดือดร้อนให้ผู้ใหญ่ต้องเอ่ยปาก"
คือ จริง ๆ สิ่งที่ดิฉันกำลังขออนุญาต มันไม่มีอะไรผิดกฎหมายหรอกค่ะ เพียงแต่มันต้องนัดเจ้าหน้าที่ และเข้าชี้แจง ซึ่งคิวและขั้นตอนมันยาวววววจนเหนื่อย

และนี่ถึงจะเป็นคนไม่มีเส้นสาย เป็น nobody จริง ๆ ไม่มีอะไรจะให้หยิ่ง แต่ก็หยิ่งจ้ะ
ล้อเล่นค่า จริง ๆ แล้ว ไม่ได้หยิ่งนะคะ แต่ถูกสอนมาตลอดว่า อย่ารบกวนผู้ใหญ่ หรือไปอาศัยเส้นสายของผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือมากจนเกินไป เดี๋ยวจะทำให้ท่านเสียความสง่างาม เพราะผู้ใหญ่หลายท่านเสียเพราะผู้น้อยมานักต่อนักแล้ว

ก็เลยเรียนท่านไปว่า "ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก ๆ นะคะ เดี๋ยวหนูขอลองพยายามจัดการเอง" 
คือ ตอนปฏิเสธไปเสร็จ นี่เกือบจะตบปากตัวเองเลยนะคะว่า โอ๊ยยยย ปฏิเสธไปได้ยังไง แล้วหล่อนน่ะจะมีปัญญาจัดการเรื่องใบอนุญาตนี่ได้รึเปล่า หล่อนยังไม่รู้เลยเนี่ย

เวลาก็ผ่านไปอีกพักใหญ่หลายปี จนดิฉันได้ทราบว่าท่านเกษียณแล้ว และบวชปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดป่าสายเคร่งครัดแห่งหนึ่งทางอีสาน ดิฉันจึงได้ติดต่อท่านไปอีกครั้ง  แต่คราวนี้ ดิฉันเรียกท่านว่า "คุณแม่"

ท่านดูแปลกใจมากที่ได้รับการติดต่อจากดิฉันอีกครั้ง ดิฉันชวนสามีบินไปเยี่ยมท่านที่วัด และเริ่มติดต่อท่านอย่างสม่ำเสมอ 
เรากลับมาคุ้นเคยกันได้อย่างง่ายดาย และคราวนี้สนิทมากกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว ยังได้ร่วมงานบุญด้วยกันอีกหลายครั้ง 
ท่านยังมีความหวังดี ห่วงใย และเมตตาดิฉันเสมอ และยังคงความสง่างามน่านับถือในวัตรปฏิบัติและวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สมถะ งดงาม ปล่อยวาง และมีธรรมะอยู่ในหัวใจ

นี่คือพินัยกรรมชีวิตที่ท่านเขียนแปะไว้ที่ห้องพักท่านในวัด


ดิฉันเคยบอกท่านว่า ที่ดิฉันไม่ได้ติดต่อท่านมากช่วงท่านยังทำงานอยู่ เป็นเพราะดิฉันคิดว่า ท่านมียศ มีตำแหน่ง ดิฉันเกรงใจ  ตอนนี้ ท่านเกษียณแล้ว ไม่มีตำแหน่งอะไรแล้ว ดิฉันเลยติดต่อกลับมาใหม่ 
ท่านขำน้อย ๆ และบอกว่า "โธ่... xxx (ชื่อดิฉัน) คิดมากไปได้"

เรื่องที่ทำให้ดิฉันประทับใจท่านมาก และคิดว่า ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนกับท่านก็ถือเป็นการเสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตเลยคือ
ครั้งหนึ่ง ท่านเคยช่วยครอบครัวหนึ่ง ที่อยู่กันสองคนแม่ลูก คนเป็นแม่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้ว ทรมานสาหัส แต่ยังฝืนใจพยายามประคองชีวิตอยู่ เพราะต้องดูแลลูกสาวซึ่งพิการอย่างหนักช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  
คุณแม่ชี สมัยที่ท่านยังเป็นฆราวาสได้ประสานงาน ทำเรื่อง จนสามารถติดต่อไปยังสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งเพื่อฝากฝังเด็กพิการคนนี้เข้าไปอยู่ในความดูแลของศูนย์สงเคราะห์ เป็นการเปลื้องทุกข์อันสาหัสออกจากในอกของคนเป็นแม่ที่กำลังจะตาย

น้ำใจของท่านนั้นยิ่งใหญ่มาก จนทำให้ดิฉันรู้สึกอยากเป็นเพื่อนกับท่าน

ชีวิตนี้ อยู่มาจนห้าทศวรรษ  นี่บอกได้เลยว่า ไม่เคยเสียดายโอกาสหรือวิ่งเต้นอยากรู้จักหรืออยากสนิทกับคนดัง คนเด่น คนรวยอะไรใด ๆ เลย 

แต่จะเสียดายโอกาสมากถ้าไม่ได้รู้จักกับคนดี
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่