กระทู้ก่อนเขียนเรื่อง มิตรภาพงดงามที่เหลือเชื่อตอนที่ 1 ไปแล้ว และมีการเอ่ยถึงชื่อของท่านผู้ใหญ่ที่เคารพออกไป เนื่องเพราะ เคยเอาข้อเขียนและรูปของท่านมาลง เลยต้องขออนุญาตอธิบายถึงที่มาที่ไป และบอกเล่าถึงความเคารพ ชื่นชม และประทับใจอื่น ๆ ที่มี
แต่ยัง ... ยังไม่หมดค่ะ มิตรภาพดี ๆ ภายใต้ธีม “เหลือเชื่อ” ยังไม่หมด
ธาราสินธุ์ยังอยากบอกเล่าเพิ่มเติมถึงมิตรภาพดีงามที่ไม่คิดว่าจะได้เจอในชีวิต หรือเจอแบบ “งง ๆ” คือไม่ได้เจอในระบบปกติ เพราะเรารันกันคนละวงการ คนละอาชีพ คนละสังคม คนละสิ่งแวดล้อม แล้วบางคนก็ยังคนละวัยด้วย ตอนเรารู้จักกันเจอกันสามสี่ครั้งแรก บางคนนี่ไม่ได้รู้จักชื่อจริง แทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำว่าแต่ละคนทำอาชีพอะไร แต่คบไป คบไป น้ำใจที่ได้มันท่วมท้นอย่างน่าแปลกใจ พอรู้โพรไฟล์แล้วยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ว่าเราไปรู้จักกับเค้าได้อย่างไร
แต่ครั้งนี้ ขอไม่เอ่ยชื่อนะคะ เกรงจะเป็นการรบกวนความเป็นส่วนตัวของเพื่อน ๆ เหล่านั้นจนเกินไป
กระทู้นี้ขอเล่าเรื่องมิตรภาพที่ได้จากกิจกรรมจิตอาสาค่ะ
ดิฉันมักปลีกเวลาไปทำกิจกรรมจิตอาสาค่ะ ไม่ได้ทำเพราะเป็นคนดีอะไร แต่ทำใช้หนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สมัยได้ทุนไปอยู่โรงเรียนประจำที่เมกาสองปี เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนโน้น หนึ่งในสิ่งที่โรงเรียนบังคับต้องทำคือ อาทิตย์หนึ่ง ต้องทำกิจกรรมจิตอาสาสองอย่าง บางอย่างก็มีการเช็คชื่อ เช่น การไปเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุ บางอย่างก็ไม่เช็คชื่อ แต่ต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง เช่น อาสาสมัครทำงานเรียงเก็บหนังสือในห้องสมุด โรงเรียนที่เคยเรียนใช้ระบบ "ซื่อสัตย์" เป็นหลักค่ะ ใครอยากยืมหนังสือเล่มไหนในห้องสมุด ก็หยิบไปได้เลยค่ะ เซ็นชื่อไว้นิดหน่อย เวลาเอามาคืน ก็เอามาวางที่ชั้นล้อเลื่อน แล้วอาสาสมัครจะเป็นคนเอาหนังสือที่คนเอามาคืนไปเรียงเก็บเข้าที่ตามชั้น ซึ่งอิชั้นนี่ก็ไม่ค่อยได้ทำงานตามหน้าที่อาสาสมัครเท่าไรหรอกค่ะ ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง เพราะตอนอยู่ที่นั่น ตะเกียกตะกายกับการเรียนมาก วัน ๆ นอนก็ไม่ค่อยจะพอ คาบว่าง ก็มักจะเก็บไว้นอน แทนที่จะไปทำงานอาสาสมัครตามที่ลงชื่อเอาไว้ ... ลึก ๆ เลยรู้สึกว่า ตัวเองติดค้างหนี้ของการทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์อยู่
และแม้ว่า จะไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ยังพอมีสำนึกเหลืออยู่บ้าง
เวลาผ่านไป เมล็ดพันธุ์ของความรู้สึกที่ถูกปลูกฝังว่า ต้องทำอะไรเพื่อส่วนรวมบ้าง มันก็เริ่มงอกออกมา ถึงงอกช้า แต่งอกนะ ...
หลายปีก่อน ตอนที่คนในพันทิปยังคึกคักกับกิจกรรมสมาชิกมากกว่านี้ ดิฉันกับเพื่อน ๆ ในพันทิป ร่วมกันทำกิจกรรมประมูลเพื่อการกุศลหลายครั้ง ทั้งช่วยมูลนิธิพุดหุงที่ช่วยคนโรคเรื้อน ช่วยโรงเรียนบ้านสายรุ้งที่อยู่ชายขอบกาญจน์ ช่วยวัดพระบาทน้ำพุ ช่วยสร้างวัด และอีกหลาย ๆ อย่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เคยนั่งบันทึกและนับยอดเงินรวมๆ จากที่ระดมได้ทั้งหมดจากหลายกิจกรรม ได้ร่วม ๆ สามแสนบาท บางกิจกรรมก็ได้หลักสองหมื่น สามหมื่น จนถึงห้าหกหมื่น เพื่อน ๆ พี่ ๆ ก็น่ารักมาก เอาของดี ๆ มาร่วมลงประมูลทั้งนั้น มีพี่ท่านหนึ่ง อยู่เนเธอแลนด์ พี่ท่านนี้เดินทางบ่อย บางที พี่ตั้งใจซื้อของมาเพื่อลงกระทู้ประมูลโดยเฉพาะเลยนะคะ มีตั้งแต่ชุดแต่งหน้า จนถึงกล่องใส่เครื่องสำอางเล็ก ๆ ของ Rimowa
อีกท่านเป็นคุณหมออยู่โรงพยาบาลที่สุขุมวิทซอย 1 นี่ก็ให้น้ำหอมอะไรต่อมิอะไรมาหลายขวดมาก มาลงประมูล ท่านบอกว่า คนไข้จากตะวันออกกลางเอามาให้ นี่ยังมีอีกเยอะแยะที่บ้าน
เพื่อนสมาชิกรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ก็เข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วย และพี่ก็ได้บอกดิฉันว่า "เจ้านายพี่ สนใจกิจกรรมนี้มาก และอยากรู้จักน้องค่ะ"
เจ้านายของพี่ท่านนี้ เป็นนายทหารหญิงระดับสูงในหน่วยงานหนึ่งที่ได้ชื่อว่า เป็นแหล่งบ่มเพาะ super connection ของเมืองไทย
ท่านเป็นคนสมถะ น่ารัก และทำกิจกรรมเพื่อสังคมแบบเงียบ ๆ ตามกำลังมาเยอะมากทั้งใน scale เล็ก และใหญ่
ดิฉันก็ได้รู้จักท่าน และเข้าร่วมกิจกรรมอบรมธรรมะในรูปแบบที่ต่างออกไปที่ท่านกรุณาแนะนำ เช่น เจริญสติ การเตรียมตัวตายอย่างสบายใจ อะไรประมาณนี้
จำได้ว่า ท่านปรานีดิฉันมาก ครั้งหนึ่ง ตอนเราคุยโทรศัพท์กัน ท่านเอ่ยถามถึงสารทุกข์สุขดิบทั่วไป ดิฉันก็บ่นไปเรื่อยเจื้อยว่า "เหนื่อยค่ะพี่ ช่วงนี้มีเรื่องขอใบอนุญาต......."
ตอนบ่นนั่น ก็ไม่ได้คิดอะไร บ่นไปตามประสาปากเร็วกว่าสติ
ท่านก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วท่านก็เอ่ยปากจะช่วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ท่านบอกว่า
"xxx (ชื่อดิฉัน) เอายังงี้ไหมจ๊ะ พี่น่ะพอรู้จักผู้ใหญ่ในกระทรวงนี้อยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นอธิบดีนะ แต่ก็ระดับรองอธิบดีที่เป็นมือทำงานทั้งนั้น เดี๋ยวพี่นัดให้ xxx (ชื่อดิฉัน) ได้คุยกับท่านเอาไหม"
ตอนนั้นเอง ดิฉันถึงได้สติว่า "ธาราสินธุ์เอ๊ย ... ดูสิ บ่นไปเรื่อย จนเดือดร้อนให้ผู้ใหญ่ต้องเอ่ยปาก"
คือ จริง ๆ สิ่งที่ดิฉันกำลังขออนุญาต มันไม่มีอะไรผิดกฎหมายหรอกค่ะ เพียงแต่มันต้องนัดเจ้าหน้าที่ และเข้าชี้แจง ซึ่งคิวและขั้นตอนมันยาวววววจนเหนื่อย
และนี่ถึงจะเป็นคนไม่มีเส้นสาย เป็น nobody จริง ๆ ไม่มีอะไรจะให้หยิ่ง แต่ก็หยิ่งจ้ะ
ล้อเล่นค่า จริง ๆ แล้ว ไม่ได้หยิ่งนะคะ แต่ถูกสอนมาตลอดว่า อย่ารบกวนผู้ใหญ่ หรือไปอาศัยเส้นสายของผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือมากจนเกินไป เดี๋ยวจะทำให้ท่านเสียความสง่างาม เพราะผู้ใหญ่หลายท่านเสียเพราะผู้น้อยมานักต่อนักแล้ว
ก็เลยเรียนท่านไปว่า "ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก ๆ นะคะ เดี๋ยวหนูขอลองพยายามจัดการเอง"
คือ ตอนปฏิเสธไปเสร็จ นี่เกือบจะตบปากตัวเองเลยนะคะว่า โอ๊ยยยย ปฏิเสธไปได้ยังไง แล้วหล่อนน่ะจะมีปัญญาจัดการเรื่องใบอนุญาตนี่ได้รึเปล่า หล่อนยังไม่รู้เลยเนี่ย
เวลาก็ผ่านไปอีกพักใหญ่หลายปี จนดิฉันได้ทราบว่าท่านเกษียณแล้ว และบวชปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดป่าสายเคร่งครัดแห่งหนึ่งทางอีสาน ดิฉันจึงได้ติดต่อท่านไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ ดิฉันเรียกท่านว่า "คุณแม่"
ท่านดูแปลกใจมากที่ได้รับการติดต่อจากดิฉันอีกครั้ง ดิฉันชวนสามีบินไปเยี่ยมท่านที่วัด และเริ่มติดต่อท่านอย่างสม่ำเสมอ
เรากลับมาคุ้นเคยกันได้อย่างง่ายดาย และคราวนี้สนิทมากกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว ยังได้ร่วมงานบุญด้วยกันอีกหลายครั้ง
ท่านยังมีความหวังดี ห่วงใย และเมตตาดิฉันเสมอ และยังคงความสง่างามน่านับถือในวัตรปฏิบัติและวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สมถะ งดงาม ปล่อยวาง และมีธรรมะอยู่ในหัวใจ
นี่คือพินัยกรรมชีวิตที่ท่านเขียนแปะไว้ที่ห้องพักท่านในวัด
ดิฉันเคยบอกท่านว่า ที่ดิฉันไม่ได้ติดต่อท่านมากช่วงท่านยังทำงานอยู่ เป็นเพราะดิฉันคิดว่า ท่านมียศ มีตำแหน่ง ดิฉันเกรงใจ ตอนนี้ ท่านเกษียณแล้ว ไม่มีตำแหน่งอะไรแล้ว ดิฉันเลยติดต่อกลับมาใหม่
ท่านขำน้อย ๆ และบอกว่า "โธ่... xxx (ชื่อดิฉัน) คิดมากไปได้"
เรื่องที่ทำให้ดิฉันประทับใจท่านมาก และคิดว่า ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนกับท่านก็ถือเป็นการเสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตเลยคือ
ครั้งหนึ่ง ท่านเคยช่วยครอบครัวหนึ่ง ที่อยู่กันสองคนแม่ลูก คนเป็นแม่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้ว ทรมานสาหัส แต่ยังฝืนใจพยายามประคองชีวิตอยู่ เพราะต้องดูแลลูกสาวซึ่งพิการอย่างหนักช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
คุณแม่ชี สมัยที่ท่านยังเป็นฆราวาสได้ประสานงาน ทำเรื่อง จนสามารถติดต่อไปยังสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งเพื่อฝากฝังเด็กพิการคนนี้เข้าไปอยู่ในความดูแลของศูนย์สงเคราะห์ เป็นการเปลื้องทุกข์อันสาหัสออกจากในอกของคนเป็นแม่ที่กำลังจะตาย
น้ำใจของท่านนั้นยิ่งใหญ่มาก จนทำให้ดิฉันรู้สึกอยากเป็นเพื่อนกับท่าน
ชีวิตนี้ อยู่มาจนห้าทศวรรษ นี่บอกได้เลยว่า ไม่เคยเสียดายโอกาสหรือวิ่งเต้นอยากรู้จักหรืออยากสนิทกับคนดัง คนเด่น คนรวยอะไรใด ๆ เลย
แต่จะเสียดายโอกาสมากถ้าไม่ได้รู้จักกับคนดี
มิตรภาพงดงามที่เหลือเชื่อ-02 เพื่อนที่ได้จากกิจกรรมจิตอาสา
แต่ยัง ... ยังไม่หมดค่ะ มิตรภาพดี ๆ ภายใต้ธีม “เหลือเชื่อ” ยังไม่หมด
ธาราสินธุ์ยังอยากบอกเล่าเพิ่มเติมถึงมิตรภาพดีงามที่ไม่คิดว่าจะได้เจอในชีวิต หรือเจอแบบ “งง ๆ” คือไม่ได้เจอในระบบปกติ เพราะเรารันกันคนละวงการ คนละอาชีพ คนละสังคม คนละสิ่งแวดล้อม แล้วบางคนก็ยังคนละวัยด้วย ตอนเรารู้จักกันเจอกันสามสี่ครั้งแรก บางคนนี่ไม่ได้รู้จักชื่อจริง แทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำว่าแต่ละคนทำอาชีพอะไร แต่คบไป คบไป น้ำใจที่ได้มันท่วมท้นอย่างน่าแปลกใจ พอรู้โพรไฟล์แล้วยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ว่าเราไปรู้จักกับเค้าได้อย่างไร
แต่ครั้งนี้ ขอไม่เอ่ยชื่อนะคะ เกรงจะเป็นการรบกวนความเป็นส่วนตัวของเพื่อน ๆ เหล่านั้นจนเกินไป
กระทู้นี้ขอเล่าเรื่องมิตรภาพที่ได้จากกิจกรรมจิตอาสาค่ะ
ดิฉันมักปลีกเวลาไปทำกิจกรรมจิตอาสาค่ะ ไม่ได้ทำเพราะเป็นคนดีอะไร แต่ทำใช้หนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลายปีก่อน ตอนที่คนในพันทิปยังคึกคักกับกิจกรรมสมาชิกมากกว่านี้ ดิฉันกับเพื่อน ๆ ในพันทิป ร่วมกันทำกิจกรรมประมูลเพื่อการกุศลหลายครั้ง ทั้งช่วยมูลนิธิพุดหุงที่ช่วยคนโรคเรื้อน ช่วยโรงเรียนบ้านสายรุ้งที่อยู่ชายขอบกาญจน์ ช่วยวัดพระบาทน้ำพุ ช่วยสร้างวัด และอีกหลาย ๆ อย่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เพื่อนสมาชิกรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ก็เข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วย และพี่ก็ได้บอกดิฉันว่า "เจ้านายพี่ สนใจกิจกรรมนี้มาก และอยากรู้จักน้องค่ะ"
เจ้านายของพี่ท่านนี้ เป็นนายทหารหญิงระดับสูงในหน่วยงานหนึ่งที่ได้ชื่อว่า เป็นแหล่งบ่มเพาะ super connection ของเมืองไทย
ท่านเป็นคนสมถะ น่ารัก และทำกิจกรรมเพื่อสังคมแบบเงียบ ๆ ตามกำลังมาเยอะมากทั้งใน scale เล็ก และใหญ่
ดิฉันก็ได้รู้จักท่าน และเข้าร่วมกิจกรรมอบรมธรรมะในรูปแบบที่ต่างออกไปที่ท่านกรุณาแนะนำ เช่น เจริญสติ การเตรียมตัวตายอย่างสบายใจ อะไรประมาณนี้
จำได้ว่า ท่านปรานีดิฉันมาก ครั้งหนึ่ง ตอนเราคุยโทรศัพท์กัน ท่านเอ่ยถามถึงสารทุกข์สุขดิบทั่วไป ดิฉันก็บ่นไปเรื่อยเจื้อยว่า "เหนื่อยค่ะพี่ ช่วงนี้มีเรื่องขอใบอนุญาต......."
ตอนบ่นนั่น ก็ไม่ได้คิดอะไร บ่นไปตามประสาปากเร็วกว่าสติ
ท่านก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วท่านก็เอ่ยปากจะช่วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนนั้นเอง ดิฉันถึงได้สติว่า "ธาราสินธุ์เอ๊ย ... ดูสิ บ่นไปเรื่อย จนเดือดร้อนให้ผู้ใหญ่ต้องเอ่ยปาก"
คือ จริง ๆ สิ่งที่ดิฉันกำลังขออนุญาต มันไม่มีอะไรผิดกฎหมายหรอกค่ะ เพียงแต่มันต้องนัดเจ้าหน้าที่ และเข้าชี้แจง ซึ่งคิวและขั้นตอนมันยาวววววจนเหนื่อย
และนี่ถึงจะเป็นคนไม่มีเส้นสาย เป็น nobody จริง ๆ ไม่มีอะไรจะให้หยิ่ง แต่ก็หยิ่งจ้ะ
ล้อเล่นค่า จริง ๆ แล้ว ไม่ได้หยิ่งนะคะ แต่ถูกสอนมาตลอดว่า อย่ารบกวนผู้ใหญ่ หรือไปอาศัยเส้นสายของผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือมากจนเกินไป เดี๋ยวจะทำให้ท่านเสียความสง่างาม เพราะผู้ใหญ่หลายท่านเสียเพราะผู้น้อยมานักต่อนักแล้ว
ก็เลยเรียนท่านไปว่า "ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก ๆ นะคะ เดี๋ยวหนูขอลองพยายามจัดการเอง"
คือ ตอนปฏิเสธไปเสร็จ นี่เกือบจะตบปากตัวเองเลยนะคะว่า โอ๊ยยยย ปฏิเสธไปได้ยังไง แล้วหล่อนน่ะจะมีปัญญาจัดการเรื่องใบอนุญาตนี่ได้รึเปล่า หล่อนยังไม่รู้เลยเนี่ย
เวลาก็ผ่านไปอีกพักใหญ่หลายปี จนดิฉันได้ทราบว่าท่านเกษียณแล้ว และบวชปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดป่าสายเคร่งครัดแห่งหนึ่งทางอีสาน ดิฉันจึงได้ติดต่อท่านไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ ดิฉันเรียกท่านว่า "คุณแม่"
ท่านดูแปลกใจมากที่ได้รับการติดต่อจากดิฉันอีกครั้ง ดิฉันชวนสามีบินไปเยี่ยมท่านที่วัด และเริ่มติดต่อท่านอย่างสม่ำเสมอ
เรากลับมาคุ้นเคยกันได้อย่างง่ายดาย และคราวนี้สนิทมากกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว ยังได้ร่วมงานบุญด้วยกันอีกหลายครั้ง
ท่านยังมีความหวังดี ห่วงใย และเมตตาดิฉันเสมอ และยังคงความสง่างามน่านับถือในวัตรปฏิบัติและวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สมถะ งดงาม ปล่อยวาง และมีธรรมะอยู่ในหัวใจ
นี่คือพินัยกรรมชีวิตที่ท่านเขียนแปะไว้ที่ห้องพักท่านในวัด
ดิฉันเคยบอกท่านว่า ที่ดิฉันไม่ได้ติดต่อท่านมากช่วงท่านยังทำงานอยู่ เป็นเพราะดิฉันคิดว่า ท่านมียศ มีตำแหน่ง ดิฉันเกรงใจ ตอนนี้ ท่านเกษียณแล้ว ไม่มีตำแหน่งอะไรแล้ว ดิฉันเลยติดต่อกลับมาใหม่
ท่านขำน้อย ๆ และบอกว่า "โธ่... xxx (ชื่อดิฉัน) คิดมากไปได้"
เรื่องที่ทำให้ดิฉันประทับใจท่านมาก และคิดว่า ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนกับท่านก็ถือเป็นการเสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตเลยคือ
ครั้งหนึ่ง ท่านเคยช่วยครอบครัวหนึ่ง ที่อยู่กันสองคนแม่ลูก คนเป็นแม่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้ว ทรมานสาหัส แต่ยังฝืนใจพยายามประคองชีวิตอยู่ เพราะต้องดูแลลูกสาวซึ่งพิการอย่างหนักช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
คุณแม่ชี สมัยที่ท่านยังเป็นฆราวาสได้ประสานงาน ทำเรื่อง จนสามารถติดต่อไปยังสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งเพื่อฝากฝังเด็กพิการคนนี้เข้าไปอยู่ในความดูแลของศูนย์สงเคราะห์ เป็นการเปลื้องทุกข์อันสาหัสออกจากในอกของคนเป็นแม่ที่กำลังจะตาย
น้ำใจของท่านนั้นยิ่งใหญ่มาก จนทำให้ดิฉันรู้สึกอยากเป็นเพื่อนกับท่าน
ชีวิตนี้ อยู่มาจนห้าทศวรรษ นี่บอกได้เลยว่า ไม่เคยเสียดายโอกาสหรือวิ่งเต้นอยากรู้จักหรืออยากสนิทกับคนดัง คนเด่น คนรวยอะไรใด ๆ เลย
แต่จะเสียดายโอกาสมากถ้าไม่ได้รู้จักกับคนดี