อันนี้เป็นความสบายใจของผมเองที่อยากจะเเยกสิ่งที่เกิดขึ้นครับ ชีวิตประจำวัน,สุขภาพ,รั้วโรงเรียน,เพื่อน,การอยู่ตัวคนเดียว,ไปจนถึงสิ่งที่เปลี่ยนเเปลงจากโควิด ไรแบบนี้ของผมเองนะครับ ตามภาษาเด็กน้อยของผมอ่ะนะ
เริ่มจากสิ่งแรกครับ ผมชื่อ คิง ครับ ตามหัวข้อเลยตอนนี้ผมก็แค่ เด็ก16ครับ ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับชีวิตตอนนี้แล้วครับ
*ชีวิตช่วงวัยเด็กก่อนจะมีโควิด*:
ก่อนหน้านั้นผมก็เป็นพวกวัยใส จนซื่อบื่อเลยก็ว่าได้ครับ ผมนั้นขี้อายและไม่กล้าที่จะคุยกับคนอื่น รวมไปถึงการโดนกลั่นแกล้ง ก็ตามภาษาวัยเด็กแหละครับ ผมโดนแกล้งตลอดแต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนรู้สึกแย่ แต่ก็มองหน้าไม่ติดครับ ผมก็ยังคงเกลียดมันอยู่เหมือนเดิม
ถึงอย่างนั้น อย่างน้อยผมก็ได้คุยหรือเล่นกับเพื่อนบ้างครับ มีการไปเล่นด้วยกันอะไรหลายๆอย่างตามภาษาเด็ก ซึ่งผมก็ไม่ได้ถึงกับสนิทครับแค่เล่นกันตามภาษาเด็ก นอกจากเพื่อนสมัยเด็กครับ อ่าอันนี้ก็พล็อตตามหนัง หรืออนิเมะ เลย
ถึงอย่างนั้นมันก็ต้องมีเพื่อนสนิทบ้างแหละใช่มั้ยครับ?
ใช่ครับในช่วงที่ผมนั้นเด็กๆขณะที่อายุยังไม่แตะ10 ผมก็มีเพื่อนที่ผมนั้นมักจะไปเล่นด้วยกันบ่อยๆ และอาจจะตลอดเวลาเลยก็ได้ จนกระทั่งเขาก็ย้ายบ้านไปที่อื่นครับ จึงเป็นสาเหตุที่ผมนั้นคุยกับคนอื่นไม่เป็นอ่ะนะ
แต่ก็มีชีวิตในรั้วโรงเรียนในขั้นกลางครับ ไม่ได้แย่จนถึงไม่อยากไป
*ชีวิตหลังโควิดเกิดขึ้น*:
สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่สุดในชีวิตครับ ไม่ค่อยคุยกับเพื่อนในห้อง+มีนิสัยขี้อายอยู่แล้ว+การกักตัวเพราะโควิด
ผมกลายเป็นเป็นพวกเก็บตัวขั้นสุดเลยก็ว่าได้ครับทีแรกก็รู้สึกดีที่ไม่ต้องได้ทำอะไรหรือโดนแกล้ง จนกระทั่งผมได้ท่องทั่วโซเซียล เจออะไรหลายๆอย่าง
ไปจนถึงการคุยแชทกับหลายๆคน พบกับหลายๆเรื่อง ทั้งจะ ความรุนแรง ทางเพศ หรือเรื่องแย่ๆของหลายๆสิ่งที่เกิดขึ้น
ผมกลายเป็นพวกที่ขี้หงุดหงิดง่าย ไม่สนอนาคตไปเลย ผมรู้แค่ว่าก็แค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆแค่นั้นตามคนเดียว
ผมที่ไม่มีเพื่อนคบอยู่แล้วจึง ไม่สนใจรวมไปถึงการเรียนออนไลน์ ผมนั้นไม่สนใจตัวเองขนาดนั้นเลยแหละครับ
จนกระทั่งผมพึ่งจะมารู้ตัวช่วง 2021-2022
โควิดนั้นก็เหมือนจะถูกรับมือได้จนสามารถกลับไปเรียนได้ตามปกติ แหละครับ
สิ่งหลายๆอย่างที่ผมเจอก็ทำให้ผมกล้าที่จะคุยมากขึ้นครับ คือเป็นพวกหน้าด้านไม่กลัวอะไรละ เอาก็เอาสิ! อะไรแบบนี้ครับ
*ชีวิตในรั้วโณงเรียนหลังจากโควิด*:
เพราะอะไรหลายๆอย่างที่ผมเจอมาผมกลายเป็นพวกที่จะกล้าคุยมากขึ้นครับ เจออะไรก็แค่ตอบแค่คุยไปเลย จนก็มีเพื่อนคุยครับ ไม่ได้สนิทจนจะเรียกว่าเพื่อนแท้ๆได้ แต่ก็คุยกันบ่อยพอประมาณ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลเสียครับ การที่อยู่ตัวคนเดียว มันเป็นสิ่งที่ผมนั้นเวลาจะคุยกับคนอื่นจะต้องคิดอยู่ตลอดครับ ว่าควรจะคุยอะไรยังไง ถามแบบไหน จนผมเครียดและไม่กล้าที่จะเป็นคนเปิดหัวข้อในการคุยตลอดครับ
ซึ่งไอ เพื่อนคนนี้เนี่ย จะมีอยู่สองคนครับ ทั้งสองนั้นสนิทกัน มีแต่ผมที่เป็นแค่ตัวเติมเต็มครับ กลายเป็นสามคน
พูดถึงคนที่1เลยแล้วกันครับ เขาเป็นพวกคุยหน้าด้านเลยครับ ก็คือ คุยตรงๆแบบไม่ได้กลัว ไม่สน ถ้าถามก็แค่ตอบและก็เป็นคนที่เปิดหัวข้อในการคุยตลอดครับ ผมก็เลยคุยกับคนนี้ได้ปกติสุดและดี เพราะว่าไม่ต้องเลือกที่จะคุยเอง เอาง่ายๆผมเป็นฝ่ายรับได้ดีกว่าเปิดก่อนครับ
ส่วนคนที่2 ก็คือสนิทกับคนที่หนึ่ง คุยกันได้แบบสนุกสนานเข้ากันได้อย่างลงตัว ผิดกับผมที่จะคุยกันได้แต่ก็ ไม่ได้บ่อย ถ้าเกิดขาดคนแรกไป
แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมกล้าพูดได้ว่า ผมนั้นมีความสุขมากๆในตอนนั้น ผมมีความสุข ได้หัวเราะในทุกๆวัน การกลั่นแกล้งบูลลี่ พูดได้ว่าเบาลงจนก็แค่แกล้งกันขำๆผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่เลย เรื่องมันก็ดำเนินการมาปกติ จนกระทั่ง ช่วงใกล้จะจบ ม.3 ครับ
*สิ่งที่เกิดขึ้นช่วงจะจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่3*:
เป็นช่วงเวลาที่เตรียดจะขึ้นม.4 รวมไปถึงการแก้งานที่ค้างครับ และใช่
ถ้ายังจำได้กับที่ผมพูดไป ใช่ครับ ผมนั้นไม่ได้เรียนนออนไลน์ ก็เลยได้ติด ร ตั้งแต่ ม.1 ม.2 ทั้งเทอมเลยมั้งครับ พอมาถึงช่วงนี้ผมก็ไม่ได้อะไรครับยังคงทำตัวไม่สนอะไรเลย
จนถึงเวลาที่ยิ่งจะใกล้จบและคนอื่นๆแก้งานกันไป พอรู้ว่าทุกวิชาที่ผมจะต้องแก้ ร นิสัยเดิมผมก็กลับมาครับ
ผมรู้สึกแพนิคและกลัวมากๆ จนถึงขั้นผมไม่ไปโรงเรียนเลยช่วงนั้น ผมรู้สึกได้ว่า ผมจะยอมทุกอย่างเพื่อให้ไม่ไปเรียนเลย อะไรหลายๆอย่างก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจครับ
แต่ว่า อย่างน้อยท้ายที่สุด ผมก็แก้มันและสามารถขึ้นม.4ได้แหละครับ แต่ก็นะ มันไม่จบแค่นี้หรอกครับ
เพราะโรงเรียนเดิมที่มีแค่ม.3 ก็ทำให้ผมต้องย้ายไปที่อื่น
*ชีวิตรั้วโรงเรียนในช่วงม4 กับวันแรก และเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าโรงเรียน* :
อย่างที่บอกกัน ว่าผมนั้นเป็นพวกขี้อายและไม่กล้าคุยกับคนอื่น ก็ทำให้ผมนั้นรู้สึกกลัวที่จะไปครับ
ถึงอย่างน้อยผมก็รู้สึกสบายใจที่ยังมีเพื่อนเก่าจากโรงเรียน และก็คุยกันได้ดีบวกกับสามารถคุยกันได้สนุกดีตามปกติ พูดได้ว่าในวันแรกผมก็รู้สึกสบายใจอยู่
จนไปถึงช่วงกลางวันที่ผมไม่กล้าที่จะไปทานข้าวครับ จนผมเจ็บท้องเลยถึงจะยังดีที่พกขวดน้ำมาด้วย พี่ผมก็เลยได้บอกให้ผมไปพักผ่อนที่อยู่เขาได้ครับ จากกรุงเทพอ่ะนะ ผมก็เลยได้ไปพักประมาณ4-5วัน ตอนนั้นเหมือนผมจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดเพราะอยากจะเปลี่ยนห้องที่เหมาะกับความสามารถตัวเองจนพี่ผมก็คุยกับครูและเปลี่ยนให้ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ห้องเดิมที่ผมอยู่มีเพื่อนที่ผมพอจะคุยได้ แต่ห้องใหม่ที่ผมจะอยู่เนี่ย ผมไม่รู้เลยว่าจะเข้ากับใครได้มั้ย
มันก็เลยเป็น วันแรก และ วันเดียวที่ไปครับ คือผมตัดขาดและเลือกที่จะไม่ไปเลย ตอนนั้นความรู้สึกที่แพนิคและกลัวอะไรหลายๆอย่าง ผมนั้นลบความสนใจทุกอย่าง เหลือเพียงแค่ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ไปนั่นเอง จนสุดท้ายผมก็ไม่ได้ไปอีกเลยครับ
*ผลกระทบ*
ในตอนแรกก็ตามปกติครับ ผมรู้สึกดีและเป็นอิสระที่ได้อยู่คนเดียว ทำอะไรไปเรื่อยแบบสบายๆ
จนกระทั่งหลังๆมานี้ มันเป็นสิ่งที่กระทบผมมากๆจนแทบไม่รู้จะทำอะไรเลยครับ ทั้งเพื่อที่ไม่มีคุย ความสนุก อะไรหลายๆอย่างผมขาดแคลนจนแทบแย่เลยครับ
*เรื่องสุขภาพจิต,สุขภาพ*
หลายๆสิ่ง การคิดมาก ย้ำคิดย้ำทำ ไปจนถึงความเศร้า ท้อแท้ ร่างกาย
มันกระทบผมทุกอย่างเลยครับ ผมรู้สึกแย่ เหงา แบบไม่รู้จะทำไงเลยครับ ผมอยากจะพูดคุยกับคนอื่น อยากจะมีเพื่อน และใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ไม่อาจจะจับมันได้แล้วมั้งครับ ผมก็คิดตลอดว่ามันคงจะจบจริงๆแล้วเพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรแล้ว ในตอนนี้ ผมหมดหนทางจริงๆครับ
บวกกับ สุขภาพร่างกายที่แทบจะย่ำแย่ในหลายๆด้าน การที่ผมนั้นไม่สามารถหายใจได้สะดวกและโล่ง จากจมูก หรือหน้าท้อง ที่รู้สึกกดทับตลอดเวลาจนรู้สึกแย่ไปด้วย
สิ่งที่ฟังดูไร้สาระสำหรับตัวผมนั้นเอง
1.ผมเป็นพวกขี้กลัวแต่ก็ชอบฟังเรื่องผีครับ จึงเป็นเรื่องที่ นิสัยคิดมากของผมมันสร้างแรงกระทบในชีวิตประจำวันขั้นสุดเลยครับ ถึงผมจะกลัวในความคิดกลับกลายเป็นสิ่งท้าทาย ผมก็เลยกลายเป็นพวกที่ต้องแก้คำในทุกๆวันครับ
ยกตัวอย่าง
ผี=ผีเสื้อ สิง=สิงโต กิน=กินข้าว อยากโดนว่ะ=โดนบอกรัก? อะไรบลาๆที่ผมจะสามารถหาคำมาแทนได้ผมจะพยายามตลอดเวลาเลยครับ
*ปัจจุบัน*
ในตอนนี้นั้นพูดได้ว่าถ้าในโรงเรียน ก็คงอยู่ในช่วง ม.5 กำลังจะม.6 มั้งครับ ผมก็ยังคงอยู่คนเดียวเหมือนเดิม ไม่กล้าเจอกับโลกด้านนอก ทำได้เพียง อยู่ในบ้านเท่านั้น ผมเหงา ผมอยากมีเพื่อน อยากสัมผัสชีวิตรั้วโรงเรียนอีกครั้ง ผมรู้สึกแย่ เศร้า ทุกอย่างไปถาโถมเข้ามาจนไม่รู้ผมควรจะทำไงแล้วครับ ผมคิดอยู่ตลอดว่าถ้ามีโอกาสผมอยากจะกลับเรียน ไม่ใช่เพราะอนาคต แต่แค่อยากมีเพื่อนแค่สนุกครับ
พูดได้ว่าตอนนี้มันแย่จนการคิดเรื่องอนาคตเป็น0เลยครับ
ยิ่งตอนนี้ที่ผมมักจะฝันเจอเรื่องในชีวิตประจำวันที่เจอ หรือจินตนาการขึ้นมา ผมนั้นรู้สึกทรมาณสุดๆไปเลยครับ แบบงมหัวไม่ขึ้นเลย ผมอยากจะกลับไปเรียนจนแทบเป็นบ้าเลยครับ คือพูดตามตรง ในตอนนี้ที่อยู่ตัวคนเดียวแบบไม่ได้คุยกับใคร ผม
จะเป็นบ้าแบบบ้าจนหาคำไม่ได้เลยครับ
พูดถึงเรื่องความรุนแรงใส่ตัว ผมนั้นขี้ขลาดครับ ผมจึงฝืนในทุกๆวัน ผมเป็นพวกขี้สงสารแบบน่าเกลียดเลยครับ ข้อเสียของนิสัยคิดมาก เวลาผมจะทำอะไรหรือแค่จินตนาการ ผมจะต้องคิดอยู่เสมอ ยกตัวอย่าง ถ้าผมทำอะไรแบบนี้ แม่ผมจะต้องเศร้าและรู้สึกแย่แน่ๆ หรือจะต้องโกรธแน่ๆ ผมจึงเป็นพวกคิดมากจนแย่ครับเพื่อที่จะทำอะไร ผมนั้นขี้ขลาดจนกลัวการทำร้ายตัวเอง ผมรักตัวเองมากๆแม้จะทรมาณขนาดนี้
ผมรู้สึกแย่แบบแย่มากๆเลยครับ ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วครับ อาจจะแย่นะครับ ขอโทษที่ผมร้องไห้ในช่วงที่พิมพ์ตอนนี้ ผมขอโทษครับ ผมขอโทษแม่ พ่อ ครอบครัว ที่เป็นลุกที่ย่ำแย่แบบนี้ แต่ก็ยังรักผมขนาดนี้คอยดูแลและเป็นห่วงผมชนาดนี้ ผมขอโทษที่ขี้ขลาดและไม่กล้าคุยกับคนอื่น ขอโทษที่เป็นคนที่ไม่เอาไหน เอาแต่ใจ
ผมขอโทษนะครับ ผมขอโทษ ขอโทษมากๆ ผมนั้นมันขี้ขลาดจนไม่กล้าพูดรักด้วยซ้ำ ผมขอโทษนะครับ ผมขอโทษที่ผมมันแย่จะเกินทน ขอโทษที่ผมไม่เป็นคนที่น่าภูมิใจในครอบครัวแต่ก็พยายามดูแลผมขนาดนี้ ขอบคุณที่เลี้ยงผมมา ขอบคุณที่ไม่เกลียดผม
ผมพยายามฝืนคิดอยู่ตลอดครับ ว่าถ้าเกิดโอกาสเล็กๆที่มันมีมา ผมจะทำยังไง ผมจะสามารถกลับไปได้ไหม หรือเลือกที่จะอยู่แบบนี้ต่อไป สิ่งเดียวในตอนนี้แม้จะกลัว ผมก็เลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางครับ ผมจะพยายามเท่าที่ได้เพื่อที่จะไม่อยู่เพียงแค่นี้ แต่ก็ว่าเถอะครับ หาว่าไม่เท่าการกระทำ สุดท้ายผมก็กลัวเกินกว่าจะออกตัวด้วยตัวเองในการทำอะไรหลายๆอย่าง
สุดท้ายนี้ ผมก็คงจะรู้สึกแย่แหละครับที่ถ้าจะมีคนบอกว่า "ก็แค่เรื่อง หาเรียกร้องความสนใจ" จนถึงสุดท้ายนี้ ก็คงรู้สึกแย่นะครับ ที่ผมต้องเสียเวลาขนาดนี้ในการพิมพ์ การคิดแต่งเรื่องต่างๆมา
แต่สุดท้ายก็เป็นสิ่งที่ผมนั้นไม่เข้าใจครับ เพราะการที่บอกว่า "ยังมีคนที่ลำบากกว่าเรา" มันไม่ได้ทำให้ดีขึ้นเลยครับ สุดท้ายคนสนใจแค่ตัวเองเท่านั้น คงไม่ได้มีความคิดที่ว่า คนอื่นยังลำบากกว่าเราแล้วเราจะดีขึ้นครับ ผมไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยผมคงจะรู้สึกแย่กว่าเดิมอีกมั้งครับถ้าคนมีคนที่ลำบากกว่าเรา เราจะรู้สึกยังไงบ้างเมื่อ รู้สึกแย่กว่าที่มีตอนนี้
อย่างน้อยในข้อความที่ผมพิมพ์มา 8506 ตัวก็ทำให้ผมนั้นได้ระบายไปแล้วครับ ถึงจะไม่รู้สึกดีขึ้นแต่ผมก็อยากหาทางออกครับ
-ขอบคุณที่เสียเวลาครับ- จากใจของตัวผมเอง
แค่อยากจะระบายเรื่องราวชีวิตวัยรุ่ยของผมที่อายุแค่16-17แค่เองครับ ที่ทำให้ผมหมดทางเลือกจนถึงอนาคตเลย
เริ่มจากสิ่งแรกครับ ผมชื่อ คิง ครับ ตามหัวข้อเลยตอนนี้ผมก็แค่ เด็ก16ครับ ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับชีวิตตอนนี้แล้วครับ
*ชีวิตช่วงวัยเด็กก่อนจะมีโควิด*:
ก่อนหน้านั้นผมก็เป็นพวกวัยใส จนซื่อบื่อเลยก็ว่าได้ครับ ผมนั้นขี้อายและไม่กล้าที่จะคุยกับคนอื่น รวมไปถึงการโดนกลั่นแกล้ง ก็ตามภาษาวัยเด็กแหละครับ ผมโดนแกล้งตลอดแต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนรู้สึกแย่ แต่ก็มองหน้าไม่ติดครับ ผมก็ยังคงเกลียดมันอยู่เหมือนเดิม
ถึงอย่างนั้น อย่างน้อยผมก็ได้คุยหรือเล่นกับเพื่อนบ้างครับ มีการไปเล่นด้วยกันอะไรหลายๆอย่างตามภาษาเด็ก ซึ่งผมก็ไม่ได้ถึงกับสนิทครับแค่เล่นกันตามภาษาเด็ก นอกจากเพื่อนสมัยเด็กครับ อ่าอันนี้ก็พล็อตตามหนัง หรืออนิเมะ เลย
ถึงอย่างนั้นมันก็ต้องมีเพื่อนสนิทบ้างแหละใช่มั้ยครับ?
ใช่ครับในช่วงที่ผมนั้นเด็กๆขณะที่อายุยังไม่แตะ10 ผมก็มีเพื่อนที่ผมนั้นมักจะไปเล่นด้วยกันบ่อยๆ และอาจจะตลอดเวลาเลยก็ได้ จนกระทั่งเขาก็ย้ายบ้านไปที่อื่นครับ จึงเป็นสาเหตุที่ผมนั้นคุยกับคนอื่นไม่เป็นอ่ะนะ
แต่ก็มีชีวิตในรั้วโรงเรียนในขั้นกลางครับ ไม่ได้แย่จนถึงไม่อยากไป
*ชีวิตหลังโควิดเกิดขึ้น*:
สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่สุดในชีวิตครับ ไม่ค่อยคุยกับเพื่อนในห้อง+มีนิสัยขี้อายอยู่แล้ว+การกักตัวเพราะโควิด
ผมกลายเป็นเป็นพวกเก็บตัวขั้นสุดเลยก็ว่าได้ครับทีแรกก็รู้สึกดีที่ไม่ต้องได้ทำอะไรหรือโดนแกล้ง จนกระทั่งผมได้ท่องทั่วโซเซียล เจออะไรหลายๆอย่าง
ไปจนถึงการคุยแชทกับหลายๆคน พบกับหลายๆเรื่อง ทั้งจะ ความรุนแรง ทางเพศ หรือเรื่องแย่ๆของหลายๆสิ่งที่เกิดขึ้น
ผมกลายเป็นพวกที่ขี้หงุดหงิดง่าย ไม่สนอนาคตไปเลย ผมรู้แค่ว่าก็แค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆแค่นั้นตามคนเดียว
ผมที่ไม่มีเพื่อนคบอยู่แล้วจึง ไม่สนใจรวมไปถึงการเรียนออนไลน์ ผมนั้นไม่สนใจตัวเองขนาดนั้นเลยแหละครับ
จนกระทั่งผมพึ่งจะมารู้ตัวช่วง 2021-2022
โควิดนั้นก็เหมือนจะถูกรับมือได้จนสามารถกลับไปเรียนได้ตามปกติ แหละครับ
สิ่งหลายๆอย่างที่ผมเจอก็ทำให้ผมกล้าที่จะคุยมากขึ้นครับ คือเป็นพวกหน้าด้านไม่กลัวอะไรละ เอาก็เอาสิ! อะไรแบบนี้ครับ
*ชีวิตในรั้วโณงเรียนหลังจากโควิด*:
เพราะอะไรหลายๆอย่างที่ผมเจอมาผมกลายเป็นพวกที่จะกล้าคุยมากขึ้นครับ เจออะไรก็แค่ตอบแค่คุยไปเลย จนก็มีเพื่อนคุยครับ ไม่ได้สนิทจนจะเรียกว่าเพื่อนแท้ๆได้ แต่ก็คุยกันบ่อยพอประมาณ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลเสียครับ การที่อยู่ตัวคนเดียว มันเป็นสิ่งที่ผมนั้นเวลาจะคุยกับคนอื่นจะต้องคิดอยู่ตลอดครับ ว่าควรจะคุยอะไรยังไง ถามแบบไหน จนผมเครียดและไม่กล้าที่จะเป็นคนเปิดหัวข้อในการคุยตลอดครับ
ซึ่งไอ เพื่อนคนนี้เนี่ย จะมีอยู่สองคนครับ ทั้งสองนั้นสนิทกัน มีแต่ผมที่เป็นแค่ตัวเติมเต็มครับ กลายเป็นสามคน
พูดถึงคนที่1เลยแล้วกันครับ เขาเป็นพวกคุยหน้าด้านเลยครับ ก็คือ คุยตรงๆแบบไม่ได้กลัว ไม่สน ถ้าถามก็แค่ตอบและก็เป็นคนที่เปิดหัวข้อในการคุยตลอดครับ ผมก็เลยคุยกับคนนี้ได้ปกติสุดและดี เพราะว่าไม่ต้องเลือกที่จะคุยเอง เอาง่ายๆผมเป็นฝ่ายรับได้ดีกว่าเปิดก่อนครับ
ส่วนคนที่2 ก็คือสนิทกับคนที่หนึ่ง คุยกันได้แบบสนุกสนานเข้ากันได้อย่างลงตัว ผิดกับผมที่จะคุยกันได้แต่ก็ ไม่ได้บ่อย ถ้าเกิดขาดคนแรกไป
แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมกล้าพูดได้ว่า ผมนั้นมีความสุขมากๆในตอนนั้น ผมมีความสุข ได้หัวเราะในทุกๆวัน การกลั่นแกล้งบูลลี่ พูดได้ว่าเบาลงจนก็แค่แกล้งกันขำๆผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่เลย เรื่องมันก็ดำเนินการมาปกติ จนกระทั่ง ช่วงใกล้จะจบ ม.3 ครับ
*สิ่งที่เกิดขึ้นช่วงจะจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่3*:
เป็นช่วงเวลาที่เตรียดจะขึ้นม.4 รวมไปถึงการแก้งานที่ค้างครับ และใช่
ถ้ายังจำได้กับที่ผมพูดไป ใช่ครับ ผมนั้นไม่ได้เรียนนออนไลน์ ก็เลยได้ติด ร ตั้งแต่ ม.1 ม.2 ทั้งเทอมเลยมั้งครับ พอมาถึงช่วงนี้ผมก็ไม่ได้อะไรครับยังคงทำตัวไม่สนอะไรเลย
จนถึงเวลาที่ยิ่งจะใกล้จบและคนอื่นๆแก้งานกันไป พอรู้ว่าทุกวิชาที่ผมจะต้องแก้ ร นิสัยเดิมผมก็กลับมาครับ
ผมรู้สึกแพนิคและกลัวมากๆ จนถึงขั้นผมไม่ไปโรงเรียนเลยช่วงนั้น ผมรู้สึกได้ว่า ผมจะยอมทุกอย่างเพื่อให้ไม่ไปเรียนเลย อะไรหลายๆอย่างก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจครับ
แต่ว่า อย่างน้อยท้ายที่สุด ผมก็แก้มันและสามารถขึ้นม.4ได้แหละครับ แต่ก็นะ มันไม่จบแค่นี้หรอกครับ
เพราะโรงเรียนเดิมที่มีแค่ม.3 ก็ทำให้ผมต้องย้ายไปที่อื่น
*ชีวิตรั้วโรงเรียนในช่วงม4 กับวันแรก และเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าโรงเรียน* :
อย่างที่บอกกัน ว่าผมนั้นเป็นพวกขี้อายและไม่กล้าคุยกับคนอื่น ก็ทำให้ผมนั้นรู้สึกกลัวที่จะไปครับ
ถึงอย่างน้อยผมก็รู้สึกสบายใจที่ยังมีเพื่อนเก่าจากโรงเรียน และก็คุยกันได้ดีบวกกับสามารถคุยกันได้สนุกดีตามปกติ พูดได้ว่าในวันแรกผมก็รู้สึกสบายใจอยู่
จนไปถึงช่วงกลางวันที่ผมไม่กล้าที่จะไปทานข้าวครับ จนผมเจ็บท้องเลยถึงจะยังดีที่พกขวดน้ำมาด้วย พี่ผมก็เลยได้บอกให้ผมไปพักผ่อนที่อยู่เขาได้ครับ จากกรุงเทพอ่ะนะ ผมก็เลยได้ไปพักประมาณ4-5วัน ตอนนั้นเหมือนผมจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดเพราะอยากจะเปลี่ยนห้องที่เหมาะกับความสามารถตัวเองจนพี่ผมก็คุยกับครูและเปลี่ยนให้ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ห้องเดิมที่ผมอยู่มีเพื่อนที่ผมพอจะคุยได้ แต่ห้องใหม่ที่ผมจะอยู่เนี่ย ผมไม่รู้เลยว่าจะเข้ากับใครได้มั้ย
มันก็เลยเป็น วันแรก และ วันเดียวที่ไปครับ คือผมตัดขาดและเลือกที่จะไม่ไปเลย ตอนนั้นความรู้สึกที่แพนิคและกลัวอะไรหลายๆอย่าง ผมนั้นลบความสนใจทุกอย่าง เหลือเพียงแค่ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ไปนั่นเอง จนสุดท้ายผมก็ไม่ได้ไปอีกเลยครับ
*ผลกระทบ*
ในตอนแรกก็ตามปกติครับ ผมรู้สึกดีและเป็นอิสระที่ได้อยู่คนเดียว ทำอะไรไปเรื่อยแบบสบายๆ
จนกระทั่งหลังๆมานี้ มันเป็นสิ่งที่กระทบผมมากๆจนแทบไม่รู้จะทำอะไรเลยครับ ทั้งเพื่อที่ไม่มีคุย ความสนุก อะไรหลายๆอย่างผมขาดแคลนจนแทบแย่เลยครับ
*เรื่องสุขภาพจิต,สุขภาพ*
หลายๆสิ่ง การคิดมาก ย้ำคิดย้ำทำ ไปจนถึงความเศร้า ท้อแท้ ร่างกาย
มันกระทบผมทุกอย่างเลยครับ ผมรู้สึกแย่ เหงา แบบไม่รู้จะทำไงเลยครับ ผมอยากจะพูดคุยกับคนอื่น อยากจะมีเพื่อน และใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ไม่อาจจะจับมันได้แล้วมั้งครับ ผมก็คิดตลอดว่ามันคงจะจบจริงๆแล้วเพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรแล้ว ในตอนนี้ ผมหมดหนทางจริงๆครับ
บวกกับ สุขภาพร่างกายที่แทบจะย่ำแย่ในหลายๆด้าน การที่ผมนั้นไม่สามารถหายใจได้สะดวกและโล่ง จากจมูก หรือหน้าท้อง ที่รู้สึกกดทับตลอดเวลาจนรู้สึกแย่ไปด้วย
สิ่งที่ฟังดูไร้สาระสำหรับตัวผมนั้นเอง
1.ผมเป็นพวกขี้กลัวแต่ก็ชอบฟังเรื่องผีครับ จึงเป็นเรื่องที่ นิสัยคิดมากของผมมันสร้างแรงกระทบในชีวิตประจำวันขั้นสุดเลยครับ ถึงผมจะกลัวในความคิดกลับกลายเป็นสิ่งท้าทาย ผมก็เลยกลายเป็นพวกที่ต้องแก้คำในทุกๆวันครับ
ยกตัวอย่าง
ผี=ผีเสื้อ สิง=สิงโต กิน=กินข้าว อยากโดนว่ะ=โดนบอกรัก? อะไรบลาๆที่ผมจะสามารถหาคำมาแทนได้ผมจะพยายามตลอดเวลาเลยครับ
*ปัจจุบัน*
ในตอนนี้นั้นพูดได้ว่าถ้าในโรงเรียน ก็คงอยู่ในช่วง ม.5 กำลังจะม.6 มั้งครับ ผมก็ยังคงอยู่คนเดียวเหมือนเดิม ไม่กล้าเจอกับโลกด้านนอก ทำได้เพียง อยู่ในบ้านเท่านั้น ผมเหงา ผมอยากมีเพื่อน อยากสัมผัสชีวิตรั้วโรงเรียนอีกครั้ง ผมรู้สึกแย่ เศร้า ทุกอย่างไปถาโถมเข้ามาจนไม่รู้ผมควรจะทำไงแล้วครับ ผมคิดอยู่ตลอดว่าถ้ามีโอกาสผมอยากจะกลับเรียน ไม่ใช่เพราะอนาคต แต่แค่อยากมีเพื่อนแค่สนุกครับ
พูดได้ว่าตอนนี้มันแย่จนการคิดเรื่องอนาคตเป็น0เลยครับ
ยิ่งตอนนี้ที่ผมมักจะฝันเจอเรื่องในชีวิตประจำวันที่เจอ หรือจินตนาการขึ้นมา ผมนั้นรู้สึกทรมาณสุดๆไปเลยครับ แบบงมหัวไม่ขึ้นเลย ผมอยากจะกลับไปเรียนจนแทบเป็นบ้าเลยครับ คือพูดตามตรง ในตอนนี้ที่อยู่ตัวคนเดียวแบบไม่ได้คุยกับใคร ผมจะเป็นบ้าแบบบ้าจนหาคำไม่ได้เลยครับ
พูดถึงเรื่องความรุนแรงใส่ตัว ผมนั้นขี้ขลาดครับ ผมจึงฝืนในทุกๆวัน ผมเป็นพวกขี้สงสารแบบน่าเกลียดเลยครับ ข้อเสียของนิสัยคิดมาก เวลาผมจะทำอะไรหรือแค่จินตนาการ ผมจะต้องคิดอยู่เสมอ ยกตัวอย่าง ถ้าผมทำอะไรแบบนี้ แม่ผมจะต้องเศร้าและรู้สึกแย่แน่ๆ หรือจะต้องโกรธแน่ๆ ผมจึงเป็นพวกคิดมากจนแย่ครับเพื่อที่จะทำอะไร ผมนั้นขี้ขลาดจนกลัวการทำร้ายตัวเอง ผมรักตัวเองมากๆแม้จะทรมาณขนาดนี้
ผมรู้สึกแย่แบบแย่มากๆเลยครับ ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วครับ อาจจะแย่นะครับ ขอโทษที่ผมร้องไห้ในช่วงที่พิมพ์ตอนนี้ ผมขอโทษครับ ผมขอโทษแม่ พ่อ ครอบครัว ที่เป็นลุกที่ย่ำแย่แบบนี้ แต่ก็ยังรักผมขนาดนี้คอยดูแลและเป็นห่วงผมชนาดนี้ ผมขอโทษที่ขี้ขลาดและไม่กล้าคุยกับคนอื่น ขอโทษที่เป็นคนที่ไม่เอาไหน เอาแต่ใจ
ผมขอโทษนะครับ ผมขอโทษ ขอโทษมากๆ ผมนั้นมันขี้ขลาดจนไม่กล้าพูดรักด้วยซ้ำ ผมขอโทษนะครับ ผมขอโทษที่ผมมันแย่จะเกินทน ขอโทษที่ผมไม่เป็นคนที่น่าภูมิใจในครอบครัวแต่ก็พยายามดูแลผมขนาดนี้ ขอบคุณที่เลี้ยงผมมา ขอบคุณที่ไม่เกลียดผม
ผมพยายามฝืนคิดอยู่ตลอดครับ ว่าถ้าเกิดโอกาสเล็กๆที่มันมีมา ผมจะทำยังไง ผมจะสามารถกลับไปได้ไหม หรือเลือกที่จะอยู่แบบนี้ต่อไป สิ่งเดียวในตอนนี้แม้จะกลัว ผมก็เลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางครับ ผมจะพยายามเท่าที่ได้เพื่อที่จะไม่อยู่เพียงแค่นี้ แต่ก็ว่าเถอะครับ หาว่าไม่เท่าการกระทำ สุดท้ายผมก็กลัวเกินกว่าจะออกตัวด้วยตัวเองในการทำอะไรหลายๆอย่าง
สุดท้ายนี้ ผมก็คงจะรู้สึกแย่แหละครับที่ถ้าจะมีคนบอกว่า "ก็แค่เรื่อง หาเรียกร้องความสนใจ" จนถึงสุดท้ายนี้ ก็คงรู้สึกแย่นะครับ ที่ผมต้องเสียเวลาขนาดนี้ในการพิมพ์ การคิดแต่งเรื่องต่างๆมา
แต่สุดท้ายก็เป็นสิ่งที่ผมนั้นไม่เข้าใจครับ เพราะการที่บอกว่า "ยังมีคนที่ลำบากกว่าเรา" มันไม่ได้ทำให้ดีขึ้นเลยครับ สุดท้ายคนสนใจแค่ตัวเองเท่านั้น คงไม่ได้มีความคิดที่ว่า คนอื่นยังลำบากกว่าเราแล้วเราจะดีขึ้นครับ ผมไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยผมคงจะรู้สึกแย่กว่าเดิมอีกมั้งครับถ้าคนมีคนที่ลำบากกว่าเรา เราจะรู้สึกยังไงบ้างเมื่อ รู้สึกแย่กว่าที่มีตอนนี้
อย่างน้อยในข้อความที่ผมพิมพ์มา 8506 ตัวก็ทำให้ผมนั้นได้ระบายไปแล้วครับ ถึงจะไม่รู้สึกดีขึ้นแต่ผมก็อยากหาทางออกครับ
-ขอบคุณที่เสียเวลาครับ- จากใจของตัวผมเอง