ดร.อนุสรณ์ เผยงานวิจัย 'กรีนพีซ' อีก 7-8 ปี พื้นที่ 80% กรุงเทพปริมณฑล จะจมทะเล
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9380954
ดร.อนุสรณ์ เผยงานวิจัย ‘กรีนพีซ’ อีก 7-8 ปี พื้นที่มากกว่า 80% กรุงเทพฯ จะจมทะเล แนะรัฐเริ่มสร้างเขื่อนกั้นน้ำ ถนนเลียบชายฝั่งยกสูง ศึกษาเรื่องย้ายเมืองหลวง
รศ.ดร.
อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ อดีตกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ เปิดเผยว่า ผลกระทบภัยพิบัติทางธรรมชาติต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน โลกร้อน เกิดความแปรปรวนของภูมิอากาศอย่างรุนแรง
จากข้อมูลของนักวิจัยเกี่ยวกับลานีญาในประเทศไทย พบว่า ปรากฏการณ์ลานีญาอาจยาวนาน 9-12 เดือน ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง ทำให้ปริมาณน้ำฝนอาจสูงถึง 14,000 ล้าน ลบ.ม. ทำให้ภาคเกษตรกรรมได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ เจอภัยแล้งรุนแรงแล้วก็เจอน้ำท่วมหนัก
หากรัฐบาลปล่อยให้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้งเกิดซ้ำซากทุกปี มลพิษทางอากาศเกิดขึ้นทุกปี รวมกันยาวนานเกินกว่า 4 เดือนขึ้นไปต่อปี จะทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตรุนแรงมากขึ้น
รศ.ดร.
อนุสรณ์ ระบุว่า ปัญหาที่ใหญ่กว่าน้ำท่วมขังอุทกภัยใหญ่แบบปี 2554 คือมีงานวิจัยของกรีนพีซเตือนว่าในอีก 7-8 ปี กรุงเทพอาจจมทะเล สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสังคมรุนแรง หากไม่ทำอะไรเพื่อป้องกันตั้งแต่ตอนนี้อย่างจริงจัง เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวพันกันมากขึ้น เรื่อย ๆ
ตนค่อนข้างเป็นห่วงว่า กรุงเทพฯ อาจจมทะเลในอีก 7-8 ปีข้างหน้า สิ่งก่อสร้างทั้งหลาย โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของทั้งรัฐและเอกชน จะเสียหายหนักหากกรุงเทพจมอยู่ภายใต้น้ำ หากไม่มีใครสนใจในการศึกษา การทรุดตัวลงของกรุงเทพและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และ ไม่มีการเริ่มต้นลงทุนอย่างจริงจังเพื่อป้องกัน “
กรุงเทพและปริมณฑล” ไม่ให้จมทะเล
หากพื้นที่มากกว่า 80% ของกรุงเทพจมทะเล งานวิจัยกรีนพีซประเมินสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจอยู่ที่ 18.6 ล้านล้านบาท กระทบประชาชนกว่า 10.45 ล้านคน
ตนจึงขอเสนอนโยบาย 6 ข้อเร่งดำเนินการ ได้แก่ สร้างเขื่อนกั้นน้ำ ถนนเลียบชายฝั่งยกสูง ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากซึ่งรัฐบาลต้องวางแผนงบประมาณให้ดี, ปลูกป่าชายเลน เพื่อให้เป็นพื้นที่กันชน ซับน้ำ รองรับความรุนแรงของคลื่นทะเล การปลูกป่าชายเลนตลอดแนวพื้นที่จากบางขุนเทียน สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สมุทรปราการจะฟื้นฟูธรรมชาติและยังสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้อีกด้วย
การจัดระเบียบการใช้ที่ดินริมชายฝั่ง, กระจายการลงทุนไปภูมิภาค, หันมาใช้พลังงานหมุนเวียน และศึกษาการย้ายเมืองหลวง นโยบายการย้ายเมืองหลวงแบบกรุงจาการ์ตาควรถูกนำมาศึกษาอย่างจริงจัง เสนอว่า รัฐบาลใหม่ต้องเริ่มต้นลงทุนเพื่อป้องกัน “กรุงเทพและปริมณฑล” ที่กำลังจมลงใต้ทะเลได้แล้ว
ทนายแจม จี้ถามงบ โครงการคืนหนูสู่ธรรมชาติ ตร.แจง ไม่ใช้งบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
https://www.matichon.co.th/local/news_4757234
ทนายแจม จี้ถามงบ โครงการคืนหนูสู่ธรรมชาติ ตร.แจง ไม่ใช้งบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จากกรณี โลกออนไลน์ มีการแชร์คำสั่ง โครงการคืนหนูกลับสู่ธรรมชาติ ของ พล.ต.ต.ธีร์ธวัต ธุระกิจ ผบก.อก.ภ.2 จัดทำ โครงการคืนหนูกลับสู่ธรรมชาติ เพื่อจับหนูที่อยู่ในอาคาร ไปปล่อยสู่ธรรรมชาติ เพื่อจับหนูที่อยู่ในอาคาร ไปปล่อยสู่ธรรรมชาติที่ห่างไกลชุมชน
แชร์สนั่น คำสั่ง ผบก.อก.ภ.2 สั่งไล่ล่า ปราบหนู ในอาคาร ปล่อยธรรมชาติ รายงานผลทุกวัน
ล่าสุด
นางสาวศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน ได้เผยแพร่คำชี้แจงของสำนักงานตำวจแห่งชาติ ภายหลัง นางสาวศศินันท์ ได้ทำหนังสือสอบถามถึงงบประมาณของโครงการดังกล่าว ว่าใช้งบประมาณเท่าไหร่ และ อย่างไร ผ่าน การชี้แจงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 สภาผู้แทนราษฎร
โดย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ชี้แจงว่า โครงการคืนหนูสู่ธรรมชาติ เป็นโครงการที่ดำเนินการเนื่องจากเห็นว่าหนูทำลายทรัพย์สินและสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วไป และตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่จึงดำเนินการจับหนูเพื่อนำส่งคืนธรรมชาติ โดยโครงการนี้ ไม่มีการใช้งบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด
นครพนมระทึก! อีก 2 เมตร น้ำโขงล้นตลิ่ง หวั่นไหลเข้าเมือง จ่ออพยพร้านค้าใต้ดินติดน้ำ
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9381127
นครพนมระทึก! อีก 2 เมตร น้ำโขงล้นตลิ่ง หวั่นไหลทะลักเข้าเมือง จ่ออพยพร้านค้าใต้ดินติดริมน้ำ สั่งเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง เตรียมเครื่องสูบน้ำรับมือ
เมื่อวันที่ 26 ส.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม ระดับน้ำโขง ยังเพิ่มระดับต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 10.20 เมตร ห่างจากจุดวิกฤตล้นตลิ่งแค่ 2 เมตร คือที่ 12 เมตร หากน้ำโขงถึงจุดล้นตลิ่งจะมีความเสี่ยงทำให้น้ำทะลักเข้าตัวเมือง
นอกจากนี้ ลำน้ำสาขาสายหลัก ทั้งลำน้ำก่ำ ลำน้ำสงคราม รวมถึงลำน้ำอูน และลำห้วยสาขาสายต่างๆ จะได้รับผลกระทบ น้ำไม่สามารถระบายลงน้ำโขงได้ เอ่อท่วมพื้นที่ลุ่ม รวมถึงพื้นที่การเกษตร ขยายวงกว้างมากขึ้น
ขณะเดียวกันในส่วนของพื้นที่ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม เริ่มได้รับผลกระทบ โดยทางจังหวัดนครพนมประสานเทศบาลเมืองนครพนม และหน่วยงานเกี่ยวข้อง ระดมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบ ป้องกันน้ำท่วมพื้นที่เสี่ยง
รวมถึงเตรียมอพยพร้านค้าชั้นใต้ดินติดกับแม่น้ำโขง บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช ถือเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญที่มีความเสี่ยง พร้อมแจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการเตรียมพร้อมขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงป้องกันน้ำท่วม เนื่องจากระดับใกล้จุดวิกฤต
นาย
นิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองนครพนม เปิดเผยว่า ทางเทศบาลเมืองนครพนม เตรียมพร้อมดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ในพื้นที่เขตเทศบาล 24 ชั่วโมง หากน้ำโขงล้นตลิ่ง ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 10 เมตร เหลืออีกแค่ 2 เมตร ถึงจุดล้นตลิ่ง หากระดับน้ำโขงเพิ่มต่อเนื่องล้นตลิ่งทางเทศบาลเตรียมพร้อม เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ สูบระบายน้ำจากตัวเมืองลงสู่นำโขง
และต้องปิดจุดระบายน้ำลงน้ำโขงทุกจุด เพราะหากระดับน้ำโขงถึงจุดล้นตลิ่งจะไหลย้อนเข้าตัวเมือง จึงต้องวางแผนรับมือป้องกัน น้ำท่วมในพื้นที่ชุมชน และย่านเศรษฐกิจการค้า มั่นใจสามารถบริหารจัดการป้องกันน้ำท่วมขังได้
แม่ค้าห่วง 'ผลไม้จีน' ทะลักเข้าไทย เชื่อรสชาติยังสู้ไม่ได้ แต่สวยกว่า และถูกกว่า
https://ch3plus.com/news/economy/ch3onlinenews/414288
พ่อค้า-แม่ค้า ห่วง 'ผลไม้จีน' ทะลักไทย ทำเกษตรกรไทยแย่แน่ เพราะราคาถูก-สดกว่า แต่รสชาติยังสู้ผลไม้ไทยไม่ได้ ชี้ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ได้ คนเลือกซื้อของถูกมากกว่า
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 26 ส.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตลาดรถไฟ เขตเทศบาลนครขอนแก่น ภายหลังจากที่ รถไฟขนส่งสินค้าแบบตู้แช่เย็นข้ามพรมแดนได้เริ่มเดินทางออกจาก มณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนไปยังลาว จากนั้นจึงขนถ่ายสินค้าทางถนนไปยังกรุงเทพฯ ด้วยการขนส่งสินค้าแบบตู้แช่เย็น ช่วยให้ผัก-ผลไม้ กว่า 400 ตัน มีความสดและมีคุณภาพตลอดการเดินทาง โดยที่ตลาดรถไฟขอนแก่นพบว่า ปีนี้ผลไม้จากจีนหลายชนิด มีราคาถูกกว่าผลไม้ไทย ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าหวั่นจะกระทบผลไม้ไทย จากการที่ผลไม้จีนส่งมาจำหน่ายที่ไทยอย่างต่อเนื่อง
นาง
นิชากร เพ็งโฉม อายุ 53 ปี เจ้าของร้านบุญชิดตา ผลไม้สด กล่าวว่า ผลไม้จากจีนมีราคาถูก ขณะที่สินค้าบ้านเราปีนี้แพงคนจึงเลือกซื้อของถูก อีกทั้งเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี คนจึงเลือกซื้อของที่ถูกและสวยคุณภาพดี ดังนั้นถ้าสินค้าจีนเข้ามาเยอะ และมาต่อเนื่องชาวสวนผลไม้จะลำบากแน่ เพราะผลไม้จีนถูกกว่าไทยเยอะมาก
"
แต่ก่อนมีแต่ส้มไทย แพงเท่าไหร่คนก็ต้องซื้อ แต่พอมีส้มจากจีนเข้ามาถูกกว่า คนก็เลือกของถูก คุณภาพคนละแบบและแต่ผู้บริโภคจะเลือกแบบไหน ส่วนใหญ่จะเลือกราคาถูกและสวย ผลไม้ไทยก็ขายได้ แต่ราคาจะสูงกว่าจากจีน โดยเฉพาะปีนี้ ไม่ได้จำใจเอามาขายแต่พ่อค้าแม่ค้าต้องเลือกซื้อของถูก เพื่อที่จะให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ง่ายผลไม้ไทยแพงจริง ๆ ปีนี้เกือบทุกอย่าง กล้วยน้ำว้า, กล้วยหอม, ส้ม, มะลกอ แพงมาก แต่ของจีนองุ่นถูกมากถูกกว่าทุกปี"
นาง
นิชากร กล่าวต่ออีกว่า สำหรับสินค้าที่ร้านจะเป็นทั้งสินค้าไทยและจีนผสมกัน โดยมีให้ผู้บริโภคเลือกทั้ง 2 แบบ เพราะ ชอร่อยคนละแบบ อย่างไรก็ตาม ถ้าจีนสามารถปลูกเหมือนในไทยได้ ยอมรับว่าเกษตรกรและชาวสวนไทยแย่แน่ และจะอยู่ไม่ได้ เพราะของจีนมีแต่ถูกลง แต่ของไทยแพงขึ้น จีนมาไกลแต่ราคาสินค้าถูกกว่า และตัวสินค้าดีมีคุณภาพด้วย ไม่ว่าจะเป็นผักหรือผลไม้
"
เดี๋ยวนี้ผลไม้แทบจะไม่มีของไทยแล้ว เพราะจีนเริ่มส่งมาเยอะขึ้น เพราะจีนสามารถผลิตได้ทั้งปี สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาผลไม้ปีนี้แพงเพราะสภาพอากาศที่แล้ง ทำให้ยืนต้นตาย ประจวบเหมาะกับทางจีนส่งสินค้ามาพอดี ทำให้ผลไม้จีนมีมากในช่วงนี้ ทำให้ผลไม้ไทยสู้ไม่ได้ พ่อค้าแม่ค้าก็ขายตามราคาตลาดมาแพงก็ขายแพง มาถูกก็ขายถูก เพราะรับมาอีกที คนซื้อโชคดีเพราะมีโอกาสเลือกเยอะขึ้น"
ขณะที่ น.ส.
สุชีรา เสริมศักดิ์ อายุ 22 ปี เจ้าของร้านอาร์ม-จูเนียร์ ผลไม้สด กล่าวว่า ผู้บริโภคจะไม่นิยมถ้าเป็นสินค้าที่มาจากประเทศจีน อาจจะเพราะรสชาติสู้ของไทยไม่ได้ บางทีมีลูกค้าไต้หวันเข้ามาถามและถ้ารู้ว่าเป็นสินค้าจากจีนลูกค้าจะไม่ซื้อ เพราะอยากได้แต่ผลไม้ไทย แต่ถ้าเป็นผลไม้จากเกาหลี ญี่ปุ่น จะได้รับความนิยมมากกว่าของจีน ขณะที่ร้านไม่ได้จำเป็นต้องรับสินค้าจากจีนมาขาย แต่บางทีทางตลาดขายส่งส่งเข้ามา แล้วเราไม่มีผลไม้ชนิดนั้น ก็ต้องรับมาขายคละกันไป
"
ราคาผลไม้ของจีนจะถูกกว่าของไทย แต่ไม่เยอะมาก ต่างกันไม่ถึง 10 บาท คุณภาพผลไม้ไทยจะมีรสชาติดีกว่าของจีน แต่ของจีนจะมีลักษณะที่สวยกว่าไทย ก็ยังยืนยันว่าจะยังขายผลไม้เป็นหลักถึงราคาจะสูงกว่า แต่ด้วยคุณภาพและรสชาติสู้ของไทยไม่ได้และอีกอย่างต้องการช่วยเหลือเกษตรกรไทยด้วย"
ด้านนาง
นงลักษณ์ หาชัย อายุ 47 ปี ลูกค้า กล่าวว่า มาซื้อผลไม้ที่นี่ประจำ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกฝรั่ง กล้วย องุ่น แล้วแต่ช่วง อยากทานอะไร ซึ่งบางอย่างของไทยไม่มี ก็ซื้อของจีน แล้วแต่จังหวะและโอกาส รวมถึงส้ม ที่เป็นสินค้าจากจีน เพราะรสหวานดี ส่วนถ้าเป็นหน้าหนาวจะซื้อส้มสายน้ำผึ้งซึ่งเป็นของไทย รวมถึงบางครั้งก็ซื้อผลไม้ไปไหว้ตามประเพณีความเชื่อ ซึ่งจะเลือกซื้อทั้งของไทยและของจีน แล้วแต่ประเภทของที่จะไหว้ ซึ่งราคาสินค้าของทั้ง 2 ประเทศเองก็ไม่ต่างกันมากแล้วแต่ประเภทผลไม้ ซึ่งถ้าอนาคตมีผลไม้จีนเพิ่มเข้ามา มองว่าคงไม่ดี ต้องช่วยสนับสนุนคนไทยด้วยกันเองด้วย
JJNY : เผยงานวิจัย 'กรีนพีซ'│ทนายแจมจี้ถามงบ│นครพนม อีก 2 ม. น้ำโขงล้นตลิ่ง│ห่วง 'ผลไม้จีน' ทะลัก│บินรบจีนละเมิดญี่ปุ่น
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9380954
ดร.อนุสรณ์ เผยงานวิจัย ‘กรีนพีซ’ อีก 7-8 ปี พื้นที่มากกว่า 80% กรุงเทพฯ จะจมทะเล แนะรัฐเริ่มสร้างเขื่อนกั้นน้ำ ถนนเลียบชายฝั่งยกสูง ศึกษาเรื่องย้ายเมืองหลวง
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ อดีตกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ เปิดเผยว่า ผลกระทบภัยพิบัติทางธรรมชาติต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน โลกร้อน เกิดความแปรปรวนของภูมิอากาศอย่างรุนแรง
จากข้อมูลของนักวิจัยเกี่ยวกับลานีญาในประเทศไทย พบว่า ปรากฏการณ์ลานีญาอาจยาวนาน 9-12 เดือน ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง ทำให้ปริมาณน้ำฝนอาจสูงถึง 14,000 ล้าน ลบ.ม. ทำให้ภาคเกษตรกรรมได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ เจอภัยแล้งรุนแรงแล้วก็เจอน้ำท่วมหนัก
หากรัฐบาลปล่อยให้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้งเกิดซ้ำซากทุกปี มลพิษทางอากาศเกิดขึ้นทุกปี รวมกันยาวนานเกินกว่า 4 เดือนขึ้นไปต่อปี จะทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตรุนแรงมากขึ้น
รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุว่า ปัญหาที่ใหญ่กว่าน้ำท่วมขังอุทกภัยใหญ่แบบปี 2554 คือมีงานวิจัยของกรีนพีซเตือนว่าในอีก 7-8 ปี กรุงเทพอาจจมทะเล สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสังคมรุนแรง หากไม่ทำอะไรเพื่อป้องกันตั้งแต่ตอนนี้อย่างจริงจัง เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวพันกันมากขึ้น เรื่อย ๆ
ตนค่อนข้างเป็นห่วงว่า กรุงเทพฯ อาจจมทะเลในอีก 7-8 ปีข้างหน้า สิ่งก่อสร้างทั้งหลาย โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของทั้งรัฐและเอกชน จะเสียหายหนักหากกรุงเทพจมอยู่ภายใต้น้ำ หากไม่มีใครสนใจในการศึกษา การทรุดตัวลงของกรุงเทพและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และ ไม่มีการเริ่มต้นลงทุนอย่างจริงจังเพื่อป้องกัน “กรุงเทพและปริมณฑล” ไม่ให้จมทะเล
หากพื้นที่มากกว่า 80% ของกรุงเทพจมทะเล งานวิจัยกรีนพีซประเมินสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจอยู่ที่ 18.6 ล้านล้านบาท กระทบประชาชนกว่า 10.45 ล้านคน
ตนจึงขอเสนอนโยบาย 6 ข้อเร่งดำเนินการ ได้แก่ สร้างเขื่อนกั้นน้ำ ถนนเลียบชายฝั่งยกสูง ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากซึ่งรัฐบาลต้องวางแผนงบประมาณให้ดี, ปลูกป่าชายเลน เพื่อให้เป็นพื้นที่กันชน ซับน้ำ รองรับความรุนแรงของคลื่นทะเล การปลูกป่าชายเลนตลอดแนวพื้นที่จากบางขุนเทียน สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สมุทรปราการจะฟื้นฟูธรรมชาติและยังสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้อีกด้วย
การจัดระเบียบการใช้ที่ดินริมชายฝั่ง, กระจายการลงทุนไปภูมิภาค, หันมาใช้พลังงานหมุนเวียน และศึกษาการย้ายเมืองหลวง นโยบายการย้ายเมืองหลวงแบบกรุงจาการ์ตาควรถูกนำมาศึกษาอย่างจริงจัง เสนอว่า รัฐบาลใหม่ต้องเริ่มต้นลงทุนเพื่อป้องกัน “กรุงเทพและปริมณฑล” ที่กำลังจมลงใต้ทะเลได้แล้ว
ทนายแจม จี้ถามงบ โครงการคืนหนูสู่ธรรมชาติ ตร.แจง ไม่ใช้งบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
https://www.matichon.co.th/local/news_4757234
ทนายแจม จี้ถามงบ โครงการคืนหนูสู่ธรรมชาติ ตร.แจง ไม่ใช้งบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จากกรณี โลกออนไลน์ มีการแชร์คำสั่ง โครงการคืนหนูกลับสู่ธรรมชาติ ของ พล.ต.ต.ธีร์ธวัต ธุระกิจ ผบก.อก.ภ.2 จัดทำ โครงการคืนหนูกลับสู่ธรรมชาติ เพื่อจับหนูที่อยู่ในอาคาร ไปปล่อยสู่ธรรรมชาติ เพื่อจับหนูที่อยู่ในอาคาร ไปปล่อยสู่ธรรรมชาติที่ห่างไกลชุมชน
แชร์สนั่น คำสั่ง ผบก.อก.ภ.2 สั่งไล่ล่า ปราบหนู ในอาคาร ปล่อยธรรมชาติ รายงานผลทุกวัน
ล่าสุด นางสาวศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน ได้เผยแพร่คำชี้แจงของสำนักงานตำวจแห่งชาติ ภายหลัง นางสาวศศินันท์ ได้ทำหนังสือสอบถามถึงงบประมาณของโครงการดังกล่าว ว่าใช้งบประมาณเท่าไหร่ และ อย่างไร ผ่าน การชี้แจงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 สภาผู้แทนราษฎร
โดย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ชี้แจงว่า โครงการคืนหนูสู่ธรรมชาติ เป็นโครงการที่ดำเนินการเนื่องจากเห็นว่าหนูทำลายทรัพย์สินและสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วไป และตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่จึงดำเนินการจับหนูเพื่อนำส่งคืนธรรมชาติ โดยโครงการนี้ ไม่มีการใช้งบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด
นครพนมระทึก! อีก 2 เมตร น้ำโขงล้นตลิ่ง หวั่นไหลเข้าเมือง จ่ออพยพร้านค้าใต้ดินติดน้ำ
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9381127
นครพนมระทึก! อีก 2 เมตร น้ำโขงล้นตลิ่ง หวั่นไหลทะลักเข้าเมือง จ่ออพยพร้านค้าใต้ดินติดริมน้ำ สั่งเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง เตรียมเครื่องสูบน้ำรับมือ
เมื่อวันที่ 26 ส.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม ระดับน้ำโขง ยังเพิ่มระดับต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 10.20 เมตร ห่างจากจุดวิกฤตล้นตลิ่งแค่ 2 เมตร คือที่ 12 เมตร หากน้ำโขงถึงจุดล้นตลิ่งจะมีความเสี่ยงทำให้น้ำทะลักเข้าตัวเมือง
นอกจากนี้ ลำน้ำสาขาสายหลัก ทั้งลำน้ำก่ำ ลำน้ำสงคราม รวมถึงลำน้ำอูน และลำห้วยสาขาสายต่างๆ จะได้รับผลกระทบ น้ำไม่สามารถระบายลงน้ำโขงได้ เอ่อท่วมพื้นที่ลุ่ม รวมถึงพื้นที่การเกษตร ขยายวงกว้างมากขึ้น
ขณะเดียวกันในส่วนของพื้นที่ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม เริ่มได้รับผลกระทบ โดยทางจังหวัดนครพนมประสานเทศบาลเมืองนครพนม และหน่วยงานเกี่ยวข้อง ระดมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบ ป้องกันน้ำท่วมพื้นที่เสี่ยง
รวมถึงเตรียมอพยพร้านค้าชั้นใต้ดินติดกับแม่น้ำโขง บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช ถือเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญที่มีความเสี่ยง พร้อมแจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการเตรียมพร้อมขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงป้องกันน้ำท่วม เนื่องจากระดับใกล้จุดวิกฤต
นายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองนครพนม เปิดเผยว่า ทางเทศบาลเมืองนครพนม เตรียมพร้อมดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ในพื้นที่เขตเทศบาล 24 ชั่วโมง หากน้ำโขงล้นตลิ่ง ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 10 เมตร เหลืออีกแค่ 2 เมตร ถึงจุดล้นตลิ่ง หากระดับน้ำโขงเพิ่มต่อเนื่องล้นตลิ่งทางเทศบาลเตรียมพร้อม เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ สูบระบายน้ำจากตัวเมืองลงสู่นำโขง
และต้องปิดจุดระบายน้ำลงน้ำโขงทุกจุด เพราะหากระดับน้ำโขงถึงจุดล้นตลิ่งจะไหลย้อนเข้าตัวเมือง จึงต้องวางแผนรับมือป้องกัน น้ำท่วมในพื้นที่ชุมชน และย่านเศรษฐกิจการค้า มั่นใจสามารถบริหารจัดการป้องกันน้ำท่วมขังได้
แม่ค้าห่วง 'ผลไม้จีน' ทะลักเข้าไทย เชื่อรสชาติยังสู้ไม่ได้ แต่สวยกว่า และถูกกว่า
https://ch3plus.com/news/economy/ch3onlinenews/414288
พ่อค้า-แม่ค้า ห่วง 'ผลไม้จีน' ทะลักไทย ทำเกษตรกรไทยแย่แน่ เพราะราคาถูก-สดกว่า แต่รสชาติยังสู้ผลไม้ไทยไม่ได้ ชี้ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ได้ คนเลือกซื้อของถูกมากกว่า
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 26 ส.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตลาดรถไฟ เขตเทศบาลนครขอนแก่น ภายหลังจากที่ รถไฟขนส่งสินค้าแบบตู้แช่เย็นข้ามพรมแดนได้เริ่มเดินทางออกจาก มณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนไปยังลาว จากนั้นจึงขนถ่ายสินค้าทางถนนไปยังกรุงเทพฯ ด้วยการขนส่งสินค้าแบบตู้แช่เย็น ช่วยให้ผัก-ผลไม้ กว่า 400 ตัน มีความสดและมีคุณภาพตลอดการเดินทาง โดยที่ตลาดรถไฟขอนแก่นพบว่า ปีนี้ผลไม้จากจีนหลายชนิด มีราคาถูกกว่าผลไม้ไทย ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าหวั่นจะกระทบผลไม้ไทย จากการที่ผลไม้จีนส่งมาจำหน่ายที่ไทยอย่างต่อเนื่อง
นางนิชากร เพ็งโฉม อายุ 53 ปี เจ้าของร้านบุญชิดตา ผลไม้สด กล่าวว่า ผลไม้จากจีนมีราคาถูก ขณะที่สินค้าบ้านเราปีนี้แพงคนจึงเลือกซื้อของถูก อีกทั้งเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี คนจึงเลือกซื้อของที่ถูกและสวยคุณภาพดี ดังนั้นถ้าสินค้าจีนเข้ามาเยอะ และมาต่อเนื่องชาวสวนผลไม้จะลำบากแน่ เพราะผลไม้จีนถูกกว่าไทยเยอะมาก
"แต่ก่อนมีแต่ส้มไทย แพงเท่าไหร่คนก็ต้องซื้อ แต่พอมีส้มจากจีนเข้ามาถูกกว่า คนก็เลือกของถูก คุณภาพคนละแบบและแต่ผู้บริโภคจะเลือกแบบไหน ส่วนใหญ่จะเลือกราคาถูกและสวย ผลไม้ไทยก็ขายได้ แต่ราคาจะสูงกว่าจากจีน โดยเฉพาะปีนี้ ไม่ได้จำใจเอามาขายแต่พ่อค้าแม่ค้าต้องเลือกซื้อของถูก เพื่อที่จะให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ง่ายผลไม้ไทยแพงจริง ๆ ปีนี้เกือบทุกอย่าง กล้วยน้ำว้า, กล้วยหอม, ส้ม, มะลกอ แพงมาก แต่ของจีนองุ่นถูกมากถูกกว่าทุกปี"
นางนิชากร กล่าวต่ออีกว่า สำหรับสินค้าที่ร้านจะเป็นทั้งสินค้าไทยและจีนผสมกัน โดยมีให้ผู้บริโภคเลือกทั้ง 2 แบบ เพราะ ชอร่อยคนละแบบ อย่างไรก็ตาม ถ้าจีนสามารถปลูกเหมือนในไทยได้ ยอมรับว่าเกษตรกรและชาวสวนไทยแย่แน่ และจะอยู่ไม่ได้ เพราะของจีนมีแต่ถูกลง แต่ของไทยแพงขึ้น จีนมาไกลแต่ราคาสินค้าถูกกว่า และตัวสินค้าดีมีคุณภาพด้วย ไม่ว่าจะเป็นผักหรือผลไม้
"เดี๋ยวนี้ผลไม้แทบจะไม่มีของไทยแล้ว เพราะจีนเริ่มส่งมาเยอะขึ้น เพราะจีนสามารถผลิตได้ทั้งปี สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาผลไม้ปีนี้แพงเพราะสภาพอากาศที่แล้ง ทำให้ยืนต้นตาย ประจวบเหมาะกับทางจีนส่งสินค้ามาพอดี ทำให้ผลไม้จีนมีมากในช่วงนี้ ทำให้ผลไม้ไทยสู้ไม่ได้ พ่อค้าแม่ค้าก็ขายตามราคาตลาดมาแพงก็ขายแพง มาถูกก็ขายถูก เพราะรับมาอีกที คนซื้อโชคดีเพราะมีโอกาสเลือกเยอะขึ้น"
ขณะที่ น.ส.สุชีรา เสริมศักดิ์ อายุ 22 ปี เจ้าของร้านอาร์ม-จูเนียร์ ผลไม้สด กล่าวว่า ผู้บริโภคจะไม่นิยมถ้าเป็นสินค้าที่มาจากประเทศจีน อาจจะเพราะรสชาติสู้ของไทยไม่ได้ บางทีมีลูกค้าไต้หวันเข้ามาถามและถ้ารู้ว่าเป็นสินค้าจากจีนลูกค้าจะไม่ซื้อ เพราะอยากได้แต่ผลไม้ไทย แต่ถ้าเป็นผลไม้จากเกาหลี ญี่ปุ่น จะได้รับความนิยมมากกว่าของจีน ขณะที่ร้านไม่ได้จำเป็นต้องรับสินค้าจากจีนมาขาย แต่บางทีทางตลาดขายส่งส่งเข้ามา แล้วเราไม่มีผลไม้ชนิดนั้น ก็ต้องรับมาขายคละกันไป
"ราคาผลไม้ของจีนจะถูกกว่าของไทย แต่ไม่เยอะมาก ต่างกันไม่ถึง 10 บาท คุณภาพผลไม้ไทยจะมีรสชาติดีกว่าของจีน แต่ของจีนจะมีลักษณะที่สวยกว่าไทย ก็ยังยืนยันว่าจะยังขายผลไม้เป็นหลักถึงราคาจะสูงกว่า แต่ด้วยคุณภาพและรสชาติสู้ของไทยไม่ได้และอีกอย่างต้องการช่วยเหลือเกษตรกรไทยด้วย"
ด้านนางนงลักษณ์ หาชัย อายุ 47 ปี ลูกค้า กล่าวว่า มาซื้อผลไม้ที่นี่ประจำ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกฝรั่ง กล้วย องุ่น แล้วแต่ช่วง อยากทานอะไร ซึ่งบางอย่างของไทยไม่มี ก็ซื้อของจีน แล้วแต่จังหวะและโอกาส รวมถึงส้ม ที่เป็นสินค้าจากจีน เพราะรสหวานดี ส่วนถ้าเป็นหน้าหนาวจะซื้อส้มสายน้ำผึ้งซึ่งเป็นของไทย รวมถึงบางครั้งก็ซื้อผลไม้ไปไหว้ตามประเพณีความเชื่อ ซึ่งจะเลือกซื้อทั้งของไทยและของจีน แล้วแต่ประเภทของที่จะไหว้ ซึ่งราคาสินค้าของทั้ง 2 ประเทศเองก็ไม่ต่างกันมากแล้วแต่ประเภทผลไม้ ซึ่งถ้าอนาคตมีผลไม้จีนเพิ่มเข้ามา มองว่าคงไม่ดี ต้องช่วยสนับสนุนคนไทยด้วยกันเองด้วย