เมื่ออายุย่างเข้าวัยกลางคน
หมอนรองกระดูกคอ ซึ่งเป็นกระดูกอ่อนจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม
คือ องค์ประกอบที่เป็นน้ำทีทำให้เกิดการยืดหยุ่นในตัวของหมอนรองกระดูกเสียไป
ทำให้กระดูกคอปล้องที่หมอนรองกระดูกเสื่อมมีการเคลื่อนไหวไปในลักษณะที่ไม่ราบเป็นปกติ
ถ้าเราไม่ระมัดระวังปล่อยให้กระดูกคอเคลื่อนไหวมากเกินขอบเขตก็จะทำให้เกิดการชำรุดของหมอนรองกระดูกคอเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งมีผลทำให้ข้อต่อของกระดูกคอปล้องนั้นๆเสียไป
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
โรคหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาท
โรคหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาท (Cervical radiculopathy)
เป็นโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย
โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีอาการ ปวดร้าวลงแขน หัวไหล่ สะบัก
(อาจจะมีความรู้สึกปวดจี๊ดเหมือนไฟช็อต หรือร้อนวูบวาบได้)
ชาแขน ชานิ้วมือกล้ามเนื้ออ่อนแรง บริเวณหัวไหล่ ข้อศอก ข้อมือ และนิ้วมือ

หมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทเป็นโรคที่เกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอ
มีการเคลื่อนตัวออกจากตำแหน่งปกติและทำให้เกิดการกดเบียดเส้นประสาท (Cervical Disc Herniation)
สาเหตุของโรคสามารถแบ่งได้หลักๆ ดังนี้
หมอนรองกระดูกคอเสื่อม (Cervical Spondylosis Radiculopathy) :
มักจะพบได้บ่อยที่สุด ในผู้สูงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป สาเหตุเกิดจากความเสื่อมของหมอนรองกระดูก
ทำให้โพรงเส้นประสาทตีบแคบลงและเกิดการกดเบียดเส้นประสาทจากหมอนรองกระดูกคอหรือกระดูกงอก
นั่งทำงานหรือก้มหน้าเป็นเวลานาน : เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พบได้มากขึ้นในปัจจุบัน
ก็คือสาเหตุจากการนั่งทำงานหรือมีกิจวัตรประจำวันที่ต้องก้มหน้าเป็นเวลานาน
เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ เล่นโทรศัพท์มือถือ หรืออ่านหนังสือ
ซึ่งการก้มศีรษะเป็นท่าทางที่ทำให้เกิดแรงกดลงบนหมอนรองกระดูกคอมากขึ้น
จึงส่งผลให้หมอนรองกระดูกคอต้องรับน้ำหนักมากขึ้นและเกิดการบาดเจ็บได้ง่าย
อุบัติเหตุ : หมอนรองกระดูกคอเคลื่อนอาจเกิดจากอุบัติเหตุหัวกระแทก
หรือมีการสะบัดของคออย่างรุนแรง เช่น รถชน หรืออุบัติเหตุอาจไม่รุนแรงแต่เกิดขึ้นซ้ำบ่อยๆ
เช่น ศิลปิน/นักร้อง ที่ต้องสะบัดคอบ่อยๆ
อาการของโรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม
อาการที่คอ ปวดคอ บ่า หรือไหล่เรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปจนถึงบริเวณท้ายทอยได้
โดยที่อาการปวดนี้อาจบรรเทาได้ด้วยการนวดหรือการฝังเข็ม แต่ก็มีการกลับมาเป็นซ้ำอยู่เรื่อย ๆ ไม่หายขาด
อาการที่แขน อาการแสดงที่แขนมีได้ 3 แบบ คือ อาการปวด ชา หรือการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ
อาการแสดงที่แขนนี้เกิดจากการที่เส้นประสาทสันหลังส่วนคอถูกรบกวน
ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหรือชาลงมาตามบริเวณแขน ข้อศอก หรือนิ้วมือได้
การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อก็มีลักษณะคล้ายอาการปวดและชา
คือจะมีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมัดที่เลี้ยงด้วยเส้นประสาทเส้นที่ถูกกดทับนั้น
ซึ่งบางรายมาพบแพทย์เพราะไม่สามารถใช้งานมือได้เหมือนเดิม
เช่น การเล่นดนตรี การเซ็นชื่อ เขียนหนังสือ หรือการติดกระดุมเสื้อ เป็นต้น
อาการที่ขา หากมีการกดทับของไขสันหลังมักไม่มีอาการปวด
แต่อาการจะแสดงออกในลักษณะของการเดินที่ผิดปกติ
เช่น ขาตึงผิดปกติ รู้สึกเหมือนจะล้มง่าย เดินก้าวสั้น เดินตามคนอื่นไม่ทัน
อาการเหล่านี้หากทิ้งไว้นานอาการอาจแย่ลงจนมีกล้ามเนื้อลีบจนกระทั่งไม่สามารถเดินได้ในที่สุด
การวินิจฉัยจะประกอบไปด้วย
การซักประวัติ : ประวัติสำคัญก็คืออาการปวดคอ ปวดบริเวณสะบัก ร้าวลงแขน ชา และแขนอ่อนแรง มีอาการชามือ
อาจมีอาการแขนข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้
การตรวจร่างกาย : แพทย์มักจะตรวจร่างกายโดยให้ผู้ป่วยทำการหันหน้าและเงยหน้าขึ้น (Spurling’s test)
เพื่อตรวจดูการกดทับของเส้นประสาท ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดร้าวลงแขนหรือชานิ้วมือปรากฏขึ้นในท่าทางนี้
นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างละเอียดเพื่อตรวจหาอาการชา
และอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อตาม Dermatome ด้วย
X-ray : ใช้เพื่อดูสภาพความเสื่อมของหมอนรองกระดูกคอ
ขนาดของโพรงเส้นประสาท (Neural foramen) และการเรียงตัวของแนวกระดูก
MRI : เป็นการตรวจที่มีความแม่นยำและความเฉพาะเจาะจงสูงที่สุดในการตรวจวินิจฉัยโรคหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาท
โดยจะช่วยให้แพทย์สามารถระบุตำแหน่งของโรคและระดับความรุนแรงได้แม่นยำมากขึ้น
EMG/NCV : เป็นการตรวจการทำงานของเส้นประสาท โดยการวัดการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งส่วนใหญ่แพทย์จะพิจารณาส่งตรวจในเคสที่มีความซับซ้อนหรือมีความขัดแย้งกันระหว่างอาการของผู้ป่วยและผล MRI
โดยทั่วไปเราอาจแบ่งการรักษาโรคหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทได้เป็น 2 แนวทางใหญ่ๆ
คือการรักษาโดยการไม่ผ่าตัดและการผ่าตัด
การรักษาหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทโดยการไม่ผ่าตัด (การรักษาด้วยวิธีอนุรักษ์นิยม)
ประกอบไปด้วยกระบวนการดังต่อไปนี้
การทำกายภาพบำบัด : เป็นแนวทางการรักษาหลักที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี
ประกอบไปด้วยการดึงคอ (Cervical traction) เพื่อขยายโพรงเส้นประสาท
การลดอาการปวดจากกล้ามเนื้อโดยการใช้เครื่อง Ultrasound, Laser, Shockwave และการฝังเข็ม เป็นต้น
การทานยา : ยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทประกอบไปด้วยยาในกลุ่ม
Gabapentin, Pregabalin, NSAIDS, ยาคลายกล้ามเนื้อ และยาแก้ปวด
ซึ่งยาในกลุ่มนี้มีผลข้างเคียงที่ต้องระวังในการใช้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงเส้นประสาท (Epidural Steroid Injection) :
เป็นวิธีการรักษาที่ให้ผลดีโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเป็นอาการหลักและไม่มีอาการชาหรืออ่อนแรงร่วมด้วย
การรักษาหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทโดยการผ่าตัด มีข้อบ่งชี้ดังนี้
มีอาการปวดรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีปกติ
มีอาการชาหรืออ่อนแรงมาก
มีอาการของการกดเบียดไขสันหลังมาก
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/shorts/yCQSNYF2_CE
https://www.youtube.com/shorts/WVIpx9NcUng
https://www.youtube.com/shorts/-2DCVEoESV8


โรคหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาท ต้องควรระวัง
คือ องค์ประกอบที่เป็นน้ำทีทำให้เกิดการยืดหยุ่นในตัวของหมอนรองกระดูกเสียไป
ทำให้กระดูกคอปล้องที่หมอนรองกระดูกเสื่อมมีการเคลื่อนไหวไปในลักษณะที่ไม่ราบเป็นปกติ
ถ้าเราไม่ระมัดระวังปล่อยให้กระดูกคอเคลื่อนไหวมากเกินขอบเขตก็จะทำให้เกิดการชำรุดของหมอนรองกระดูกคอเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งมีผลทำให้ข้อต่อของกระดูกคอปล้องนั้นๆเสียไป
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
โรคหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาท (Cervical radiculopathy)
เป็นโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย
โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีอาการ ปวดร้าวลงแขน หัวไหล่ สะบัก
(อาจจะมีความรู้สึกปวดจี๊ดเหมือนไฟช็อต หรือร้อนวูบวาบได้)
ชาแขน ชานิ้วมือกล้ามเนื้ออ่อนแรง บริเวณหัวไหล่ ข้อศอก ข้อมือ และนิ้วมือ
มีการเคลื่อนตัวออกจากตำแหน่งปกติและทำให้เกิดการกดเบียดเส้นประสาท (Cervical Disc Herniation)
สาเหตุของโรคสามารถแบ่งได้หลักๆ ดังนี้
หมอนรองกระดูกคอเสื่อม (Cervical Spondylosis Radiculopathy) :
มักจะพบได้บ่อยที่สุด ในผู้สูงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป สาเหตุเกิดจากความเสื่อมของหมอนรองกระดูก
ทำให้โพรงเส้นประสาทตีบแคบลงและเกิดการกดเบียดเส้นประสาทจากหมอนรองกระดูกคอหรือกระดูกงอก
นั่งทำงานหรือก้มหน้าเป็นเวลานาน : เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พบได้มากขึ้นในปัจจุบัน
ก็คือสาเหตุจากการนั่งทำงานหรือมีกิจวัตรประจำวันที่ต้องก้มหน้าเป็นเวลานาน
เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ เล่นโทรศัพท์มือถือ หรืออ่านหนังสือ
ซึ่งการก้มศีรษะเป็นท่าทางที่ทำให้เกิดแรงกดลงบนหมอนรองกระดูกคอมากขึ้น
จึงส่งผลให้หมอนรองกระดูกคอต้องรับน้ำหนักมากขึ้นและเกิดการบาดเจ็บได้ง่าย
อุบัติเหตุ : หมอนรองกระดูกคอเคลื่อนอาจเกิดจากอุบัติเหตุหัวกระแทก
หรือมีการสะบัดของคออย่างรุนแรง เช่น รถชน หรืออุบัติเหตุอาจไม่รุนแรงแต่เกิดขึ้นซ้ำบ่อยๆ
เช่น ศิลปิน/นักร้อง ที่ต้องสะบัดคอบ่อยๆ
อาการของโรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม
อาการที่คอ ปวดคอ บ่า หรือไหล่เรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปจนถึงบริเวณท้ายทอยได้
โดยที่อาการปวดนี้อาจบรรเทาได้ด้วยการนวดหรือการฝังเข็ม แต่ก็มีการกลับมาเป็นซ้ำอยู่เรื่อย ๆ ไม่หายขาด
อาการที่แขน อาการแสดงที่แขนมีได้ 3 แบบ คือ อาการปวด ชา หรือการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ
อาการแสดงที่แขนนี้เกิดจากการที่เส้นประสาทสันหลังส่วนคอถูกรบกวน
ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหรือชาลงมาตามบริเวณแขน ข้อศอก หรือนิ้วมือได้
การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อก็มีลักษณะคล้ายอาการปวดและชา
คือจะมีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมัดที่เลี้ยงด้วยเส้นประสาทเส้นที่ถูกกดทับนั้น
ซึ่งบางรายมาพบแพทย์เพราะไม่สามารถใช้งานมือได้เหมือนเดิม
เช่น การเล่นดนตรี การเซ็นชื่อ เขียนหนังสือ หรือการติดกระดุมเสื้อ เป็นต้น
อาการที่ขา หากมีการกดทับของไขสันหลังมักไม่มีอาการปวด
แต่อาการจะแสดงออกในลักษณะของการเดินที่ผิดปกติ
เช่น ขาตึงผิดปกติ รู้สึกเหมือนจะล้มง่าย เดินก้าวสั้น เดินตามคนอื่นไม่ทัน
อาการเหล่านี้หากทิ้งไว้นานอาการอาจแย่ลงจนมีกล้ามเนื้อลีบจนกระทั่งไม่สามารถเดินได้ในที่สุด
การซักประวัติ : ประวัติสำคัญก็คืออาการปวดคอ ปวดบริเวณสะบัก ร้าวลงแขน ชา และแขนอ่อนแรง มีอาการชามือ
อาจมีอาการแขนข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้
การตรวจร่างกาย : แพทย์มักจะตรวจร่างกายโดยให้ผู้ป่วยทำการหันหน้าและเงยหน้าขึ้น (Spurling’s test)
เพื่อตรวจดูการกดทับของเส้นประสาท ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดร้าวลงแขนหรือชานิ้วมือปรากฏขึ้นในท่าทางนี้
นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างละเอียดเพื่อตรวจหาอาการชา
และอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อตาม Dermatome ด้วย
X-ray : ใช้เพื่อดูสภาพความเสื่อมของหมอนรองกระดูกคอ
ขนาดของโพรงเส้นประสาท (Neural foramen) และการเรียงตัวของแนวกระดูก
MRI : เป็นการตรวจที่มีความแม่นยำและความเฉพาะเจาะจงสูงที่สุดในการตรวจวินิจฉัยโรคหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาท
โดยจะช่วยให้แพทย์สามารถระบุตำแหน่งของโรคและระดับความรุนแรงได้แม่นยำมากขึ้น
EMG/NCV : เป็นการตรวจการทำงานของเส้นประสาท โดยการวัดการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งส่วนใหญ่แพทย์จะพิจารณาส่งตรวจในเคสที่มีความซับซ้อนหรือมีความขัดแย้งกันระหว่างอาการของผู้ป่วยและผล MRI
โดยทั่วไปเราอาจแบ่งการรักษาโรคหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทได้เป็น 2 แนวทางใหญ่ๆ
คือการรักษาโดยการไม่ผ่าตัดและการผ่าตัด
การรักษาหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทโดยการไม่ผ่าตัด (การรักษาด้วยวิธีอนุรักษ์นิยม)
ประกอบไปด้วยกระบวนการดังต่อไปนี้
การทำกายภาพบำบัด : เป็นแนวทางการรักษาหลักที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี
ประกอบไปด้วยการดึงคอ (Cervical traction) เพื่อขยายโพรงเส้นประสาท
การลดอาการปวดจากกล้ามเนื้อโดยการใช้เครื่อง Ultrasound, Laser, Shockwave และการฝังเข็ม เป็นต้น
การทานยา : ยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทประกอบไปด้วยยาในกลุ่ม
Gabapentin, Pregabalin, NSAIDS, ยาคลายกล้ามเนื้อ และยาแก้ปวด
ซึ่งยาในกลุ่มนี้มีผลข้างเคียงที่ต้องระวังในการใช้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงเส้นประสาท (Epidural Steroid Injection) :
เป็นวิธีการรักษาที่ให้ผลดีโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเป็นอาการหลักและไม่มีอาการชาหรืออ่อนแรงร่วมด้วย
การรักษาหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทโดยการผ่าตัด มีข้อบ่งชี้ดังนี้
มีอาการปวดรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีปกติ
มีอาการชาหรืออ่อนแรงมาก
มีอาการของการกดเบียดไขสันหลังมาก
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/shorts/yCQSNYF2_CE
https://www.youtube.com/shorts/WVIpx9NcUng
https://www.youtube.com/shorts/-2DCVEoESV8