จากที่ดูจนจบ มีฉากนึงในเรื่องที่เรางงอยู่ คือ ฉาก พิจารณาคดีที่ ปรเมศ (รับคําสั่งจากเจ้าสัวมาอีกทีทีนึง) ส่งมือปืนไปดักยิงบัวกับลูก ในซอยทางลัด
ขอบอกก่อนนะคะ ว่าใครคิดจะเม้นแบบส่งๆ เช่น มันเป็นหนังอะ, ดูเพื่อความสนุกเฉยๆ กรุณาไม่ต้องเม้นค่ะ เพื่อรักษาบรรยากาศที่ดีในกระทู้
ที่เรายังสงสัยคือ ข้อต่อไปนี้
1. ตอนก่อนที่มือปืน (จําเลยที่ 1) จะเปิดฉาก มีการคุยโทรศัพท์กับเจ้าสัว แล้วเจ้าสัว (พ่อลิน) ก็บอกว่า จัดการเลย ส่วนนี้ไม่มีบันทึกอยู่ในประวัติการโทร หรือ กู้มาได้เลยเหรอ เพราะจุดนี้สามารถเป็นหลักฐานมัดตัวเจ้าสัวในคดีจ้างวานฆ่าได้เลย ซึ่งเอาจริงๆ จะกู้หลักฐานนี้ขึ้นมามันก็ไม่ได้ยาก
2. ตอนที่เจ้าสัวจะหนีไปต่างประเทศ เพราะโดนตํารวจขุดคดีมาเล่นย้อนหลัง อัด(พี่ชายลิน) บอกลินว่า "ผัวเธอโดนตัดสินจําคุกแบบนี้ ไม่มีใครอยากยุ่งกับเราแล้ว คราวหลังจะเลือกผัวก็เลือกให้มันดีๆหน่อย อย่าพาตัวซวยเข้าบ้านอีก" เรานี่ถึงกับร้อง ห๊ะ คือ ที่เมศติดคุกเพราะเขารับหน้าแทนพ่อ ึงไง
ไม่อย่างนั้นคนที่โดนตัดสินจําคุกจะเป็นพ่อ ึงแทน คือแบบไม่รู้จริงดิ อย่างงี้ตัวซวยคือใครกันแน่
3. ในห้องพิจารณาคดี ทนายจําเลย ที่หนังพยายามจะปูเรื่องมาให้เห็นว่า ทนายคนนี้เก่งมากไม่เคยแพ้คดีไหนเลย แต่ฮาตรงที่ญาติเราที่เป็นทนายในโลกจริงมาดูแล้วบอก "เก่งตรงไหนวะ" โดยเฉพาะฉากที่ทนายคนนี้พยายามจะแย้งว่า จําเลยที่ 5 กับ จําเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน แล้วบอกว่าบัวอาจมีเรื่องขัดแย้งกับคนอื่น ทั้งที่มันก็ชี้ชัดว่าบัวกำลังขัดแย้งกับเมศและวสันต์วานิชในช่วงเวลานี้ แล้วอีกอันที่ญาติเราบอก "หนักละ" ก็คือ ตอนที่ทนายคนนี้พยายามแย้งว่า "เป็นไปได้ไหมครับคุณบัวอาจมีเรื่องขัดแย้งส่วนตัวกับจําเลยที่ 1-4 ไม่เกี่ยวกับเมศ เมศรู้เรื่องเลยรีบโทรหาแล้วตามไปช่วย" ซึ่งบัวกับจําเลยที่ 1-4 ไม่เคยรู้จักหรือเจอกันมาก่อนเลย ซึ่งมันทำให้เหตุผลนี้ดูไม่มีนํ้าหนักเลย
4. จากข้อ 3 ซึ่งจากที่เมศโทรไปหาบัวว่าให้รีบนีออกมาจากตรงนั้น แล้วรีบบอกว่ามีคนดักรออยู่ ก็ตรงตาม ประมวลกฏหมายอาญามาตรา 82 "ผู้ใดพยายามกระทำความผิด หากยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด หรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผล ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับการพยายามกระทำความผิดนั้น แต่ถ้าการที่ได้กระทำไปแล้วต้องตามบทกฎหมายที่บัญญัติเป็นความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น ๆ" ซึ่งสุดท้าย การกระทําก็ไม่บรรลุผล เราว่า ถ้าสู้ด้วยข้อกฏหมายนี้จะได้เรื่องมากกว่าการพยายามบอกว่า จําเลยที่ 5 กับจําเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน หรือ บอกว่า บัวมีความขัดแย้งกับจําเลยที่ 1-4 ไม่เกี่ยวกับจําเลยที่ 5 ซึ่งจากที่รู้ บัวกับจําเลยที่ 1-4 ไม่เคยรู้จักหรือเจอกันมาก่อน ทำให้ประเด็นที่ทนายคนนี้ยกมาดูไม่ make makes sense
5. ตอนฉากพิจารณาคดี "จําเลยที่ 5 เป็นอดีตสามี มีเหตุโกรธเคืองอดีตภรรยาผู้เสียหายที่ทําให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง ในวันเกิดเหตุได้แส้งทําเป็นลืมกระเป๋านามบัตร โดยให้ผู้เสียหายนําไปคืนให้ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนึง แต่ผู้เสียหายมีได้ถึงแก่ความตาย การกระทําของจําเลยที่ 5 ไม่บรรลุผลสมดังเจตนา จําเลยทั้ง 5 จึงมีความร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบมาตรา 80 มาตรา 83 ให้จําคุกจําเลยทั้ง 5 ตลอดชีวิต แต่จําเลยทั้ง 5 สํานึกในการกระทํา และให้การสารภาพที่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งนึง ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 78 คงจําคุกจําเลยทั้ง 5 คนละ 25 ปี" ซึ่งอย่างแรก จากที่เห็นไม่มีจําเลยคนไหนสํานึกในการกระทํา อีกทั้งจําเลยที่ 5 ยังเบิกความโดยให้ข้อมูลที่เป็น
เท็จอีกด้วย และการยอมรับของจําเลยที่ 5 ก็ชัดเจนว่าเป็นการยอมรับเพราะจํานนต่อหลักฐาน และไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี
6. แล้วก็ลดโทษกึ่งตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 78 จากจําคุกตลอดชีวิต ต้องเป็นคงจําคุกจําเลยทั้ง 5 คนละ 50 ปีนะ ไม่ใช่ 25 ปี โดยอ้างอิงจากประมวลกฏหมายอาญามาตรา 53 "ในการลดโทษจำคุกตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการลดมาตราส่วนโทษหรือลดโทษที่จะลง ให้เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุก 50 ปี" เราก็เลยงง ว่าลดมาเหลือ 25 ปี ได้ยังไง
วิเคราะห์ฉากในห้องพิจารณาคดีในละครสงครามสมรส
ขอบอกก่อนนะคะ ว่าใครคิดจะเม้นแบบส่งๆ เช่น มันเป็นหนังอะ, ดูเพื่อความสนุกเฉยๆ กรุณาไม่ต้องเม้นค่ะ เพื่อรักษาบรรยากาศที่ดีในกระทู้
ที่เรายังสงสัยคือ ข้อต่อไปนี้
1. ตอนก่อนที่มือปืน (จําเลยที่ 1) จะเปิดฉาก มีการคุยโทรศัพท์กับเจ้าสัว แล้วเจ้าสัว (พ่อลิน) ก็บอกว่า จัดการเลย ส่วนนี้ไม่มีบันทึกอยู่ในประวัติการโทร หรือ กู้มาได้เลยเหรอ เพราะจุดนี้สามารถเป็นหลักฐานมัดตัวเจ้าสัวในคดีจ้างวานฆ่าได้เลย ซึ่งเอาจริงๆ จะกู้หลักฐานนี้ขึ้นมามันก็ไม่ได้ยาก
2. ตอนที่เจ้าสัวจะหนีไปต่างประเทศ เพราะโดนตํารวจขุดคดีมาเล่นย้อนหลัง อัด(พี่ชายลิน) บอกลินว่า "ผัวเธอโดนตัดสินจําคุกแบบนี้ ไม่มีใครอยากยุ่งกับเราแล้ว คราวหลังจะเลือกผัวก็เลือกให้มันดีๆหน่อย อย่าพาตัวซวยเข้าบ้านอีก" เรานี่ถึงกับร้อง ห๊ะ คือ ที่เมศติดคุกเพราะเขารับหน้าแทนพ่อ ึงไง
ไม่อย่างนั้นคนที่โดนตัดสินจําคุกจะเป็นพ่อ ึงแทน คือแบบไม่รู้จริงดิ อย่างงี้ตัวซวยคือใครกันแน่
3. ในห้องพิจารณาคดี ทนายจําเลย ที่หนังพยายามจะปูเรื่องมาให้เห็นว่า ทนายคนนี้เก่งมากไม่เคยแพ้คดีไหนเลย แต่ฮาตรงที่ญาติเราที่เป็นทนายในโลกจริงมาดูแล้วบอก "เก่งตรงไหนวะ" โดยเฉพาะฉากที่ทนายคนนี้พยายามจะแย้งว่า จําเลยที่ 5 กับ จําเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน แล้วบอกว่าบัวอาจมีเรื่องขัดแย้งกับคนอื่น ทั้งที่มันก็ชี้ชัดว่าบัวกำลังขัดแย้งกับเมศและวสันต์วานิชในช่วงเวลานี้ แล้วอีกอันที่ญาติเราบอก "หนักละ" ก็คือ ตอนที่ทนายคนนี้พยายามแย้งว่า "เป็นไปได้ไหมครับคุณบัวอาจมีเรื่องขัดแย้งส่วนตัวกับจําเลยที่ 1-4 ไม่เกี่ยวกับเมศ เมศรู้เรื่องเลยรีบโทรหาแล้วตามไปช่วย" ซึ่งบัวกับจําเลยที่ 1-4 ไม่เคยรู้จักหรือเจอกันมาก่อนเลย ซึ่งมันทำให้เหตุผลนี้ดูไม่มีนํ้าหนักเลย
4. จากข้อ 3 ซึ่งจากที่เมศโทรไปหาบัวว่าให้รีบนีออกมาจากตรงนั้น แล้วรีบบอกว่ามีคนดักรออยู่ ก็ตรงตาม ประมวลกฏหมายอาญามาตรา 82 "ผู้ใดพยายามกระทำความผิด หากยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด หรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผล ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับการพยายามกระทำความผิดนั้น แต่ถ้าการที่ได้กระทำไปแล้วต้องตามบทกฎหมายที่บัญญัติเป็นความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น ๆ" ซึ่งสุดท้าย การกระทําก็ไม่บรรลุผล เราว่า ถ้าสู้ด้วยข้อกฏหมายนี้จะได้เรื่องมากกว่าการพยายามบอกว่า จําเลยที่ 5 กับจําเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน หรือ บอกว่า บัวมีความขัดแย้งกับจําเลยที่ 1-4 ไม่เกี่ยวกับจําเลยที่ 5 ซึ่งจากที่รู้ บัวกับจําเลยที่ 1-4 ไม่เคยรู้จักหรือเจอกันมาก่อน ทำให้ประเด็นที่ทนายคนนี้ยกมาดูไม่ make makes sense
5. ตอนฉากพิจารณาคดี "จําเลยที่ 5 เป็นอดีตสามี มีเหตุโกรธเคืองอดีตภรรยาผู้เสียหายที่ทําให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง ในวันเกิดเหตุได้แส้งทําเป็นลืมกระเป๋านามบัตร โดยให้ผู้เสียหายนําไปคืนให้ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนึง แต่ผู้เสียหายมีได้ถึงแก่ความตาย การกระทําของจําเลยที่ 5 ไม่บรรลุผลสมดังเจตนา จําเลยทั้ง 5 จึงมีความร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบมาตรา 80 มาตรา 83 ให้จําคุกจําเลยทั้ง 5 ตลอดชีวิต แต่จําเลยทั้ง 5 สํานึกในการกระทํา และให้การสารภาพที่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งนึง ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 78 คงจําคุกจําเลยทั้ง 5 คนละ 25 ปี" ซึ่งอย่างแรก จากที่เห็นไม่มีจําเลยคนไหนสํานึกในการกระทํา อีกทั้งจําเลยที่ 5 ยังเบิกความโดยให้ข้อมูลที่เป็น
เท็จอีกด้วย และการยอมรับของจําเลยที่ 5 ก็ชัดเจนว่าเป็นการยอมรับเพราะจํานนต่อหลักฐาน และไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี
6. แล้วก็ลดโทษกึ่งตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 78 จากจําคุกตลอดชีวิต ต้องเป็นคงจําคุกจําเลยทั้ง 5 คนละ 50 ปีนะ ไม่ใช่ 25 ปี โดยอ้างอิงจากประมวลกฏหมายอาญามาตรา 53 "ในการลดโทษจำคุกตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการลดมาตราส่วนโทษหรือลดโทษที่จะลง ให้เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุก 50 ปี" เราก็เลยงง ว่าลดมาเหลือ 25 ปี ได้ยังไง