สวัสดีค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า เราเคยปรึกษาเพื่อนในกลุ่มว่ามีเพื่อนในกลุ่มอีกคน ฝง.ด้วยกันแต่ร้อนเขาก็เข้าห้องเย็นทำงานห้องเย็น ส่วนเราขาลุยอยู่ในครัวด้านนอกซะส่วนใหญ่ เราเห็นบ้างในการกระทำของเพื่อนบ่อยครั้งที่เราจะรู้ว่าเพื่อนเข้าไปเพื่อตากแอร์ ส่วนเราทำงานอยู่ด้านนอก แต่เราเห็นบ่อยครั้งที่เพื่อนมักไปนั่งเล่นทรศ.มากกว่า ถึงเขาจะมีชั่งของ เพื่อให้ง่ายต่อการขาย แต่ถ้าไม่มีคนสั่งงานก็จะไม่ค่อยกระตือรือร้นมากนัก แต่พอเข้าใจบ้างว่าเป็นการฝึกงานครั้งแรก เราเคยฝึกงานตอนช่วงเรียนปวช.มาแล้วค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง เราชอบหาอะไรใหม่ๆเป็นคนที่ชอบมุ่งงานถ้าทำงานตรงหน้าไม่เสร็จเราจะไม่พักเพราะเราเป็นคนขี้ลืม เรารู้ว่าจะลืมเราก็อยากจะทำให้เสร็จและจะได้ไม่ต้องย้อนกลับมาทำอีก เราก็ปรึกษาเพื่อนในกลุ่มคนที่ไม่ได้ฝึกงานว่าเรื่องค่อนข้างเป็นอย่างนี้ เราจึงได้คำตอบว่า เราควรถอยห่างมา และอีกอย่างเป็นนิสัยส่วนตัวของเค้าตั้งแต่ทำงานที่ตึกไม่ค่อยทำงานเดินไปเดินมาขี้เล่นขี้แซว เราจึงถอยแล้วอีกอย่างเรากับเขาไม่ได้เค้ากะงานพร้อมกันส่วนใหญ่เราเข้าเช้า เขาจะเข้าบ่ายเลิก 3 ทุ่ม แต่ที่ร้านเลิก 5 ทุ่ม พี่ที่ดูแลค่อนข้างใจดีค่ะถ้าเรารู้ว่าเราไปธุระไม่ทันหรือขอเข้างานสายเราจะทดเวลาที่เหลือให้วันอื่น ซึ่งเราเองเคยอยู่จนปิดร้านมา 5-6 ครั้ง เพราะตัวเราเองมีงานประจำด้วยค่ะ (คือฝึกงานเสร็จเราก็กลับไปทำงานประจำต่อ ส่วนมากใช้เวลา 07:00-23:00 ) เราเลยมักได้นอนน้อยและป่วยบ้างพี่ๆเขาก็ไม่ได้เข้มงวดมากค่ะเพราะเราแจ้งแล้วว่าเราอยู่โดยที่มีพ่อแม่อยู่อีกจังหวัด ตัวเราเองมาอยู่กับแฟน หาค่าเทอมเอง ผ่อนรถมอไซค์เอง ถึงอยู่บ้านเขาเราก็ช่วยเขาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าเน็ตในแต่ละเดือน ซึ่งเดือนนึงไม่สามารถจ่ายค่าเทอม 13,000+ ได้อยู่แล้วต้องออมเงินไปสักพัก
พอเราเริ่มห่างจากเพื่อนนั้นสักพักเราจะห่างแค่ช่วงงานนะคะแต่คุยกันปกติ พอเปิดเทอมเราก็อยู่กะเพื่อนคนนี้ได้ไม่กี่วันค่ะ เพื่อนเขามีท่าทีแปลกออกไป เมินคำพูด พูดเรื่องงานที่ต้องทำด้วยกันก็มักจะเมินเฉย
ส่วนตัวเราเป็นคนไม่ง้อเพื่อนเท่าไหร่แล้วเราก็ไม่เก่งเรื่องตีหน้าเข้าหา เราเลยปล่อยเพื่อนไปเพราะเห็นว่าเขาได้เพื่อนใหม่แล้วอาจจะติดทางนั้นมากกว่า ผ่านไปพักนึงก่อนเริ่มสอบ 3 วันคือวันศุกร์ เพื่อนได้ตะโกนถามในห้องตอนทำงานว่า เรามีปห.อะไรกับเขารึเปล่า เราก็ตอบว่าไม่มี แต่เพื่อนก็ทำหน้านิ่งไปแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ แต่วันนั้นเราต้องไปจัดการงานของเราต่อกลับไวกว่าเพื่อนนิดนึง พอเราเครียงานเสร็จเราก็ลองไปถามเขาว่ามีอะไรรึเปล่า เขาไม่ตอบค่ะจนพอเริ่มวันอาทิตย์ด้วยความที่เราคาใจทำไมถึงถามอะไรแบบนี้ออกมา เราก็ทักไปหาเขาอีกค่ะว่ารู้ว่าเห็นข้อความ (เคยอยู่กลุ่มเดียวกันมาก่อนเลยรู้ว่าเขาติดทรศ.ไว้เสมอและมักเล่นอยู่บ่อยครั้ง) รอบนี้เขาตอบค่ะแต่เขาบอกว่าอยากคุยต่อหน้า เราเลยบอกว่าได้ต่อหน้าเราก็ไม่มีปัญหา
พอถึงวันจันทร์เรามีสอบช่วงเช้าและบ่ายค่ะ เราใช้เวลาสอบไม่นาน ก็ออกมาจากห้องแต่เรามีงานที่ต้องไปเครียต่อที่ตึก แต่เราไม่ไหวค่ะเลยขอพักทานข้าวก่อนค่อยไป เขาเองก็ทักมาค่ะว่าว่างไหมตอนนี้ เราเลยตอบว่าว่างเหลือแต่เวลาอ่านหนังสือก่อนสอบรอบบ่ายแค่นั้น ทานข้าวกับเพื่อนเราเสร็จก็ไปทำงานกันต่อค่ะ
ถึงตึกเราก็ทำงานไปจนเสร็จเราก็รอที่จะเครียปัญหา เขาก็ถามว่าเรามีปห.อะไร เราก็ตอบว่าไม่มี เขาให้เราไปนึกเรื่องปห.สักอย่างมา แต่เราก็ไม่รู้ค่ะ ถ้ามีก็เรื่องที่ปรึกษาเพื่อนตอนเขาทำงานเท่านั้นแต่พอเราทราบว่าเขาทำงานแบบนี้เราก็ถอยห่างออกมาและคุยกันปกติมีปห.เรื่องการทำงานของเขาอย่างเดียวค่ะ เขาบอกว่าเขารู้ข้อมูลนี้มาจากคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนกลุ่มเรา ไม่ใช่พี่ที่ร้านที่ฝง. แต่เป็นคนนอกที่อยู่นอกร้าน (ซึ่งเราเองค่อนข้างมีชีวิตวนลูบมา 3 จะ 4 ปีแล้วค่ะ คือเรียนเสร็จ กลับบ้านนอนก่อนเข้าทำงานประจำอีกครั้ง เรามีชีวิตประจำวันวนๆแบบนี้ ตัวเราก็ไม่ได้มีเพื่อนแต่เด็กที่จังหวัดนี้ เพราะเราเป็นคนนอกพื้นที่ๆมาเรียนมหาลัยนี้ค่ะ) เราก็ได้แต่ถามว่าใคร เขาก็ได้แต่บอกให้เราไปคิดสิว่าทำอะไรไว้ ไปเล่าให้คนนอกฟังทำไม เราตอบวนแบบนี้ตามคำถามของเขาค่ะ และเริ่มเพิ่มเติมเราก็บอกว่าเราทำงานไม่ทีเวลาไปหาคนนอกคนอื่นที่เราไม่ได้รู้จักมากนักชีวิตการนอนเรายังน้อยมาก เราเริ่มอธิบายการทำงานชีวิตที่วนลูบแบบนี้ จนมีเพื่อนคนอื่นแทรกขึ้นมา ว่าทำไมเราเอาแต่พูดเรื่องงาน คนอื่นก็มีงาน กลับบ้านไปก็ทำงานกับพ่อกับแม่ (แต่เราไม่มีพ่อแม่อยู่จังหวัดนี้นะคะเราอยู่ด้วยตัวเองใช้ชีวิตกับแฟนมา 3-4 ปี)
แล้วก็เริ่มลามมาเรื่อยพูดว่าทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ มีชีวิตที่ดีกว่าเราทุกคน เรารู้มาว่าเขานำเรื่องที่ได้ยินจากคนนอกที่เขาพูดเล่าให้เพื่อนกลุ่มนั้นฟังหมดเลยค่ะ อยู่เครียในห้องนั้นมีเพื่อนกลุ่มเราอยู่แค่คนเดียว ส่วนเพื่อนผญ.อีก 10 กว่าคนเขานั่งฟังและพูดแทรกขึ้นมาในบางทีว่าเพื่อนทำเยอะบอกเพื่อนหน่อย ประมาณนี้ คุยยังไงก็วนแบบนี้ไม่ได้คำตอบอะไรเพราะเราคือไม่ยุ่งเรื่องงานกับเขาแล้วคือเราตัดขาดไปไม่ยุ่งไม่ทำให้สมองเราคิดมาก เราก็อยากเรียนจน เลยอยากหมดปห.แบบไม่คุยกันไปแบบนี้ดีกว่าทำงานคือทำงานอย่างเดียวค่ะ
เราติดใจคำพูด เพื่อนที่พูดแทรกอีกคนอยู่ค่ะที่พูดว่า “ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ ชีวิตดีกว่าเราทุกคน ” ให้เราไปทำตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ต้องไปยุ่งกับพวกเขา
และเรื่องก่อนหน้าปีที่แล้วเราก็เคยมีปห.ที่ว่าเพื่อนเราไปได้ยินจากเพื่อนอีกคนว่าเราพูดว่าเพื่อนไม่ทำอะไรเลย แต่เราสามารถบอกตารางได้ค่ะว่าอาทิตย์ที่เราเจอเพื่อนอาทิตย์นั้นไม่กี่วัน เราแพ้อาหารทะเลได้ลองทานแล้วเกิดอาการแพ้ซค่งก่อนหน้านี้แพ้ไม่รุนแรงค่าแต่วันนั้นหายใจไม่ออก เราเลยไปห้องพยาบาล เพื่อที่ได้ทานยาและตรวจร่างกาย เรากลับมาเพื่อนทำงานเสร็จหมดแลเวค่าเตรียมกลับบ้านเราเข้าไปก็นั่งพักเดียวเราก็กลับ วันต่อมาเราไม่อยู่ค่ะเราไปหาพ่อกับแม่อีกจังหวัดนึงซึ่งใช้ระยะเวลาเดินทางไปอย่างเดียว 5 ชม. เราเลยลาเรียนกับอาจารย์ตกดึกเรากลับมาจากบ้านแฟนชวนทานข้าวแต่เราดันมีอาการวูบและเข้ารพ.ไป วันต่อมาก็เลยขออาจารย์พักไปก่อนซึ่งแฟนเราแจ้งตอนตี 4 ค่ะว่าเราวูบไปและหนุดหายใจไป 5 วินาที อาจารย์เลยให้เราพักผ่อน วันศุกร์คือวันสุดท้ายของการเรียนด้วยความที่สภาพเราไม่อยากขาดเรียนแต่เราก็มาโดนมีเพื่อนมารับและส่งจากรถแฟนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีแรงที่จะสามารถช่วยตัวเองได้มากเลยต้องมีเพื่อนดูแลอยู่เสมอ วันต่อมาก็หยุดตามวันราชการค่ะ วันอาทิตย์ก็มีเพื่อนทักมาว่าทำไมต้องเอาเราไปพูดว่าเราไม่ทำงาน เราก็งงๆค่ะกับคำถามของเพื่อนเพราะเรารู้ดีว่าอาทิตย์ก่อนหน้านั้นเราแทบไม่ได้เข้าเรียนสักเท่าไหร่ เลยได้คิดว่าเราพูดเมื่อไหร่ตอนไหน (จะแจ้งว่ามีเพื่อนเราอีกคนที่อยู่ตอนเราชิมกุ้งค่ะและเราเชื่อว่าเพื่อนสามารถเป็นพยานได้ และตั้งแต่เราไปห้องพยาบาล เกิดอาการวูบโผล่มาอีกทีวันศุกร์เพื่อนคนนี้ได้มาขอโทษที่ทำให้เราต้องชิมสิ่งที่แพ้แต่เราไม่ซีเรียสค่ะเพราะเราเองก็ผิด เราเลยบอกเพื่อนผช.คนนั้นว่าไม่ต้องคิดมากเราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น)
ปล. เรื่องที่ว่าเราเอาไปบอกคนนอกที่ไม่ใช่เพื่อนเราและที่เราฝง. เพื่อนที่เคยอยู่แก็งเราคนนั้นได้นำไปเล่าให้เพื่อนทั้งห้องฟังหมดแล้วค่า กลุ่มที่เราอยู่เหมือนกลุ่มนอกคอกไม่มีใครคบ แต่กลุ่มเราเป็นกลุ่มพูดแรงค่ะด่าคือด่ากันต่อหน้า ไปที่อื่นก็เมาส์เรื่องอย่างอื่นกันตามภาษาสาวแซ่บ เพื่อนๆในห้องเลยไม่ค่อยยุ่งกับแก็งเราเท่าไหร่แต่เราเป็นคนที่อ่อนที่สุดเรื่องนี้ค่ะไม่ค่อยสุงสิงกับใครนักมีแต่เพื่อนแก็งเรามาแต่ไหนแต่ไร
เพื่อนผชที่เราบอกว่าเขามาขอโทษเราคนนี้ก็โดนเพื่อนในห้องบูลี่เรื่องรูปลักษณ์ความสะอาดกลิ่นตัวค่ะ ซึ่งตอนนี้เพื่อนคนนี้เคยได้ออกข่าวดัง และได้ระบุมหาลัยและ กลุ่มชั้นเพื่อนที่บูลี่เขาไปแล้ว แต่ด้วยความที่เขาออกจากการเรียนทางนี้แล้วเรื่องเขาก็ยังมีวนอยู่ในห้องเสมอๆ จนเราเองก็คิดอยู่ในหัวค่าว่าเพื่อนห้องเรามีการบอดี้แชมมิ้งที่ค่อนข้างแรงและรวมกลุ่มกันทำเป็นส่วนมากค่ะ
เราอยากทราบว่าเราควรทำยังไงค่ะตอนนี้เราไม่ได้คิดมากกับคนที่ว่าเราว่าไปพูดกับคนนอกของเขาค่ะแต่เราติดใจกับคำพูดที่ว่า ให้เราไปทำตัวเองให้ดีก่อน ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้มีชีวิตที่ดีกว่าเราทุกคน เพราะเราอยู่ด้วยการหาเงินเองหรือยังไงค่ะเราถึงต้องโดนเพื่อนมาพูดแบบนี้ ถึงจะอายุ 19-20 กันถึงมีรถรถคันนึงต้องมีผปค. และเงินในการได้รถหนึ่งคัน ถึงเราจะไม่ได้มีรถยนต์ขับไปเอง แต่เราก็มีรถแฟนขับไปส่งที่มหาลัยอยู่เสมอ มีกินมีใช้ มีจ่ายเงินค่าของห้องเสมอเราไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงินมากนักเพราะเรามีเงินของตัวเองเราสามารถตัดสินใจเพราะเงินที่เราทำมากับมือได้ไม่ขอเงินพ่อแม่แบบเพื่อนๆที่มีแค่ 2-3 คนที่ทำงานมี 2 คนที่หาเงินจ่ายค่าเทอมกันเองหรอค่ะ
โดนบูลลี่ทั้งห้องเพราะคนๆเดียว
พอเราเริ่มห่างจากเพื่อนนั้นสักพักเราจะห่างแค่ช่วงงานนะคะแต่คุยกันปกติ พอเปิดเทอมเราก็อยู่กะเพื่อนคนนี้ได้ไม่กี่วันค่ะ เพื่อนเขามีท่าทีแปลกออกไป เมินคำพูด พูดเรื่องงานที่ต้องทำด้วยกันก็มักจะเมินเฉย
ส่วนตัวเราเป็นคนไม่ง้อเพื่อนเท่าไหร่แล้วเราก็ไม่เก่งเรื่องตีหน้าเข้าหา เราเลยปล่อยเพื่อนไปเพราะเห็นว่าเขาได้เพื่อนใหม่แล้วอาจจะติดทางนั้นมากกว่า ผ่านไปพักนึงก่อนเริ่มสอบ 3 วันคือวันศุกร์ เพื่อนได้ตะโกนถามในห้องตอนทำงานว่า เรามีปห.อะไรกับเขารึเปล่า เราก็ตอบว่าไม่มี แต่เพื่อนก็ทำหน้านิ่งไปแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ แต่วันนั้นเราต้องไปจัดการงานของเราต่อกลับไวกว่าเพื่อนนิดนึง พอเราเครียงานเสร็จเราก็ลองไปถามเขาว่ามีอะไรรึเปล่า เขาไม่ตอบค่ะจนพอเริ่มวันอาทิตย์ด้วยความที่เราคาใจทำไมถึงถามอะไรแบบนี้ออกมา เราก็ทักไปหาเขาอีกค่ะว่ารู้ว่าเห็นข้อความ (เคยอยู่กลุ่มเดียวกันมาก่อนเลยรู้ว่าเขาติดทรศ.ไว้เสมอและมักเล่นอยู่บ่อยครั้ง) รอบนี้เขาตอบค่ะแต่เขาบอกว่าอยากคุยต่อหน้า เราเลยบอกว่าได้ต่อหน้าเราก็ไม่มีปัญหา
พอถึงวันจันทร์เรามีสอบช่วงเช้าและบ่ายค่ะ เราใช้เวลาสอบไม่นาน ก็ออกมาจากห้องแต่เรามีงานที่ต้องไปเครียต่อที่ตึก แต่เราไม่ไหวค่ะเลยขอพักทานข้าวก่อนค่อยไป เขาเองก็ทักมาค่ะว่าว่างไหมตอนนี้ เราเลยตอบว่าว่างเหลือแต่เวลาอ่านหนังสือก่อนสอบรอบบ่ายแค่นั้น ทานข้าวกับเพื่อนเราเสร็จก็ไปทำงานกันต่อค่ะ
ถึงตึกเราก็ทำงานไปจนเสร็จเราก็รอที่จะเครียปัญหา เขาก็ถามว่าเรามีปห.อะไร เราก็ตอบว่าไม่มี เขาให้เราไปนึกเรื่องปห.สักอย่างมา แต่เราก็ไม่รู้ค่ะ ถ้ามีก็เรื่องที่ปรึกษาเพื่อนตอนเขาทำงานเท่านั้นแต่พอเราทราบว่าเขาทำงานแบบนี้เราก็ถอยห่างออกมาและคุยกันปกติมีปห.เรื่องการทำงานของเขาอย่างเดียวค่ะ เขาบอกว่าเขารู้ข้อมูลนี้มาจากคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนกลุ่มเรา ไม่ใช่พี่ที่ร้านที่ฝง. แต่เป็นคนนอกที่อยู่นอกร้าน (ซึ่งเราเองค่อนข้างมีชีวิตวนลูบมา 3 จะ 4 ปีแล้วค่ะ คือเรียนเสร็จ กลับบ้านนอนก่อนเข้าทำงานประจำอีกครั้ง เรามีชีวิตประจำวันวนๆแบบนี้ ตัวเราก็ไม่ได้มีเพื่อนแต่เด็กที่จังหวัดนี้ เพราะเราเป็นคนนอกพื้นที่ๆมาเรียนมหาลัยนี้ค่ะ) เราก็ได้แต่ถามว่าใคร เขาก็ได้แต่บอกให้เราไปคิดสิว่าทำอะไรไว้ ไปเล่าให้คนนอกฟังทำไม เราตอบวนแบบนี้ตามคำถามของเขาค่ะ และเริ่มเพิ่มเติมเราก็บอกว่าเราทำงานไม่ทีเวลาไปหาคนนอกคนอื่นที่เราไม่ได้รู้จักมากนักชีวิตการนอนเรายังน้อยมาก เราเริ่มอธิบายการทำงานชีวิตที่วนลูบแบบนี้ จนมีเพื่อนคนอื่นแทรกขึ้นมา ว่าทำไมเราเอาแต่พูดเรื่องงาน คนอื่นก็มีงาน กลับบ้านไปก็ทำงานกับพ่อกับแม่ (แต่เราไม่มีพ่อแม่อยู่จังหวัดนี้นะคะเราอยู่ด้วยตัวเองใช้ชีวิตกับแฟนมา 3-4 ปี)
แล้วก็เริ่มลามมาเรื่อยพูดว่าทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ มีชีวิตที่ดีกว่าเราทุกคน เรารู้มาว่าเขานำเรื่องที่ได้ยินจากคนนอกที่เขาพูดเล่าให้เพื่อนกลุ่มนั้นฟังหมดเลยค่ะ อยู่เครียในห้องนั้นมีเพื่อนกลุ่มเราอยู่แค่คนเดียว ส่วนเพื่อนผญ.อีก 10 กว่าคนเขานั่งฟังและพูดแทรกขึ้นมาในบางทีว่าเพื่อนทำเยอะบอกเพื่อนหน่อย ประมาณนี้ คุยยังไงก็วนแบบนี้ไม่ได้คำตอบอะไรเพราะเราคือไม่ยุ่งเรื่องงานกับเขาแล้วคือเราตัดขาดไปไม่ยุ่งไม่ทำให้สมองเราคิดมาก เราก็อยากเรียนจน เลยอยากหมดปห.แบบไม่คุยกันไปแบบนี้ดีกว่าทำงานคือทำงานอย่างเดียวค่ะ
เราติดใจคำพูด เพื่อนที่พูดแทรกอีกคนอยู่ค่ะที่พูดว่า “ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ ชีวิตดีกว่าเราทุกคน ” ให้เราไปทำตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ต้องไปยุ่งกับพวกเขา
และเรื่องก่อนหน้าปีที่แล้วเราก็เคยมีปห.ที่ว่าเพื่อนเราไปได้ยินจากเพื่อนอีกคนว่าเราพูดว่าเพื่อนไม่ทำอะไรเลย แต่เราสามารถบอกตารางได้ค่ะว่าอาทิตย์ที่เราเจอเพื่อนอาทิตย์นั้นไม่กี่วัน เราแพ้อาหารทะเลได้ลองทานแล้วเกิดอาการแพ้ซค่งก่อนหน้านี้แพ้ไม่รุนแรงค่าแต่วันนั้นหายใจไม่ออก เราเลยไปห้องพยาบาล เพื่อที่ได้ทานยาและตรวจร่างกาย เรากลับมาเพื่อนทำงานเสร็จหมดแลเวค่าเตรียมกลับบ้านเราเข้าไปก็นั่งพักเดียวเราก็กลับ วันต่อมาเราไม่อยู่ค่ะเราไปหาพ่อกับแม่อีกจังหวัดนึงซึ่งใช้ระยะเวลาเดินทางไปอย่างเดียว 5 ชม. เราเลยลาเรียนกับอาจารย์ตกดึกเรากลับมาจากบ้านแฟนชวนทานข้าวแต่เราดันมีอาการวูบและเข้ารพ.ไป วันต่อมาก็เลยขออาจารย์พักไปก่อนซึ่งแฟนเราแจ้งตอนตี 4 ค่ะว่าเราวูบไปและหนุดหายใจไป 5 วินาที อาจารย์เลยให้เราพักผ่อน วันศุกร์คือวันสุดท้ายของการเรียนด้วยความที่สภาพเราไม่อยากขาดเรียนแต่เราก็มาโดนมีเพื่อนมารับและส่งจากรถแฟนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีแรงที่จะสามารถช่วยตัวเองได้มากเลยต้องมีเพื่อนดูแลอยู่เสมอ วันต่อมาก็หยุดตามวันราชการค่ะ วันอาทิตย์ก็มีเพื่อนทักมาว่าทำไมต้องเอาเราไปพูดว่าเราไม่ทำงาน เราก็งงๆค่ะกับคำถามของเพื่อนเพราะเรารู้ดีว่าอาทิตย์ก่อนหน้านั้นเราแทบไม่ได้เข้าเรียนสักเท่าไหร่ เลยได้คิดว่าเราพูดเมื่อไหร่ตอนไหน (จะแจ้งว่ามีเพื่อนเราอีกคนที่อยู่ตอนเราชิมกุ้งค่ะและเราเชื่อว่าเพื่อนสามารถเป็นพยานได้ และตั้งแต่เราไปห้องพยาบาล เกิดอาการวูบโผล่มาอีกทีวันศุกร์เพื่อนคนนี้ได้มาขอโทษที่ทำให้เราต้องชิมสิ่งที่แพ้แต่เราไม่ซีเรียสค่ะเพราะเราเองก็ผิด เราเลยบอกเพื่อนผช.คนนั้นว่าไม่ต้องคิดมากเราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น)
ปล. เรื่องที่ว่าเราเอาไปบอกคนนอกที่ไม่ใช่เพื่อนเราและที่เราฝง. เพื่อนที่เคยอยู่แก็งเราคนนั้นได้นำไปเล่าให้เพื่อนทั้งห้องฟังหมดแล้วค่า กลุ่มที่เราอยู่เหมือนกลุ่มนอกคอกไม่มีใครคบ แต่กลุ่มเราเป็นกลุ่มพูดแรงค่ะด่าคือด่ากันต่อหน้า ไปที่อื่นก็เมาส์เรื่องอย่างอื่นกันตามภาษาสาวแซ่บ เพื่อนๆในห้องเลยไม่ค่อยยุ่งกับแก็งเราเท่าไหร่แต่เราเป็นคนที่อ่อนที่สุดเรื่องนี้ค่ะไม่ค่อยสุงสิงกับใครนักมีแต่เพื่อนแก็งเรามาแต่ไหนแต่ไร
เพื่อนผชที่เราบอกว่าเขามาขอโทษเราคนนี้ก็โดนเพื่อนในห้องบูลี่เรื่องรูปลักษณ์ความสะอาดกลิ่นตัวค่ะ ซึ่งตอนนี้เพื่อนคนนี้เคยได้ออกข่าวดัง และได้ระบุมหาลัยและ กลุ่มชั้นเพื่อนที่บูลี่เขาไปแล้ว แต่ด้วยความที่เขาออกจากการเรียนทางนี้แล้วเรื่องเขาก็ยังมีวนอยู่ในห้องเสมอๆ จนเราเองก็คิดอยู่ในหัวค่าว่าเพื่อนห้องเรามีการบอดี้แชมมิ้งที่ค่อนข้างแรงและรวมกลุ่มกันทำเป็นส่วนมากค่ะ
เราอยากทราบว่าเราควรทำยังไงค่ะตอนนี้เราไม่ได้คิดมากกับคนที่ว่าเราว่าไปพูดกับคนนอกของเขาค่ะแต่เราติดใจกับคำพูดที่ว่า ให้เราไปทำตัวเองให้ดีก่อน ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้มีชีวิตที่ดีกว่าเราทุกคน เพราะเราอยู่ด้วยการหาเงินเองหรือยังไงค่ะเราถึงต้องโดนเพื่อนมาพูดแบบนี้ ถึงจะอายุ 19-20 กันถึงมีรถรถคันนึงต้องมีผปค. และเงินในการได้รถหนึ่งคัน ถึงเราจะไม่ได้มีรถยนต์ขับไปเอง แต่เราก็มีรถแฟนขับไปส่งที่มหาลัยอยู่เสมอ มีกินมีใช้ มีจ่ายเงินค่าของห้องเสมอเราไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงินมากนักเพราะเรามีเงินของตัวเองเราสามารถตัดสินใจเพราะเงินที่เราทำมากับมือได้ไม่ขอเงินพ่อแม่แบบเพื่อนๆที่มีแค่ 2-3 คนที่ทำงานมี 2 คนที่หาเงินจ่ายค่าเทอมกันเองหรอค่ะ