โตโต้ที่รัก
มันเป็นเช้าวันธรรมดาที่ยินเสียงดุเหว่าร่ำร้องและไก่โห่ อากาศเย็นสบายยี่สิบกว่าองศาเซลเซียส ดวงตะวันเริ่มฉายแสงทองส่องมา เมื่อมองดูนาฬิกาพลันปรากฏว่าทั้งเข็มสั้นและเข็มยาวนั้นชี้ลงมาที่เลข ๖ ขณะนี้ นายมิตรภาพ พิเศษพนา กำลังนิทราฝันหวานอยู่บนเตียงไม้สัก โดยหารู้ไม่ว่า ตนกำลังจะไปโรงเรียนสาย!!!
มีเสียงลงฝีเท้าอันหนักหน่วงของสตรีนางหนึ่งอายุ ๔๕ ร่างของหล่อนนั้นสมส่วน สูง ๑๕๓ เซนติเมตร น้ำหนัก ๔๑ กิโลกรัม หล่อนมีผิวขาว ไว้ผมสีดำ ผิวขาวผมยาวประกลางหลังแต่ถูกมัดไว้ด้วยยางมัดผมสีม่วง หล่อนกำลังลุกลี้ลุกลนเดินมาที่ประตูห้องนอนของนายมิตรภาพ แล้วหมุนลูกบิดโดยฉับพลันจนลืมมรรยาทพื้นฐานว่าควรจะต้องเคาะประตูก่อน
เมื่อประตูห้องนอนเปิดอ้าซ่า สตรีนางนั้นถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวด และตะโกนโหวกเหวกเสียงดังโวยวายใส่เด็กหนุ่มวัย๑๘ ที่กำลังนอนฝันหวานอย่างสบายอกสบายใจ
“โต้ ตื่นได้แล้ว !!! อย่านอนกินบ้านกินเมือง!!! โรงรงโรงเรียนจะไปไหม???!!!”
ชายหนุ่มยังคงนอนหลับโดยไม่สะทกสะท้าน
“ไอ้โต้!!! จะตื่นไม่ตื่น!!!”
เด็กหนุ่มหายใจออกแรงๆแล้วลืมตาขึ้นมาอย่างง่วงเหงาหาวนอน แล้วพูดขึ้นด้วยสุ้มเสียงงัวเงีย
“ครับๆ โต้ตื่นแล้วครับแม่”
สิ้นเสียงของตนเองไม่นาน โต้ในสภาพสะลึมสะลือก็คว้าโทรศัพท์มือถือมาดูนาฬิกา มันเป็นเวลา ๖.๓๗ นาฬิกา มารดาเห็นลักษณาการดังนั้นจึงถามขึ้นมาฉับพลัน
“ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้รึไง” ผู้เป็นมารดาถามแบบตะคอกมีน้ำโห
“โต้ตั้งไว้แล้วฮะ แต่เมื่อคืนโต้อ่านหนังสือจนดึก คงหลับลึกล่ะมั้งครับแม่”
แต่เหตุผลของบุตรชายมิอาจหยุดยั้งอารมณ์อันรุนแรงของมารดาได้
“ไม่ต้องมาพูดจาชักแม่น้ำทั้งห้า ไปๆๆไปอาบน้ำได้แล้ว!!!”
โต้จึงรีบคว้าผ้าขาวม้าที่แขวนอยู่ตรงตู้เสื้อผ้า นุ่งผ้าผืนนั้น ถอดชุดนอนออกแล้วรีบเดินไปห้องน้ำในทันทีทันใด เหลือเวลาประมาณ ๑๕ นาทีก็จะ ๗ โมงเช้าแล้ว
โต้อาบน้ำแปรงฟันอย่างลวกๆ เขาใช้แปรงสีฟันถูๆๆที่ฟันหน้า-ฟันกรามบน-ฟันกรามล่าง จุดละสองสามทีแล้วหยุดแปรง ต่อมาเขาเปิดฝักบัวอาบน้ำโดยให้น้ำไหลผ่านตัวไม่ถึงนาที จากนั้นเขาใช้น้ำล้างหน้า และล้างบริเวณก้นกับของสงวน เป็นอันเสร็จพิธี
เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกจากห้องน้ำเปิดตู้เสื้อผ้าคว้าชุดนักเรียนที่ถูกรีดไว้และแขวนไว้ในตู้ออกมาอย่างรวดเร็ว เขาใส่กางเกงในและกางเกง บ๊อกเซอร์ จากนั้นก็เอาผ้าขาวม้าออกแล้วแขวนด้วยไม้แขวนเสื้อและเอาไม้แขวนนั้นแขวน ณ ประตูตู้เสื้อผ้า เครื่องแบบที่เขาใส่นั้นประกอบด้วยเสื้อนักเรียนสีขาวตราสมอ ปักอักษรย่อ “ศ.บ.” บริเวณหน้าอกด้านขวา ใต้อักษร ศ.บ. คือชื่อ มิตรภาพ พิเศษพนา ใต้ชื่อของเขามีดาวโปร่งที่ถูกปัก ๓ ดวงโดย ทั้งหมดปักด้วยด้ายสีแดง
กางเกงที่เขาใส่นั้นเป็นกางเกงขาสั้นสีดำยี่ห้อช้างแมมมอธ มันสั้นมากจนเห็นขาอ่อนขาวๆของเด็กหนุ่มวัย ๑๘ คงจะเป็นเรื่องธรรมดากระมังสำหรับเด็กนักเรียนกรุงเทพมหานครที่จะใส่ขาสั้นเทียมขาอ่อน ผิดกับโรงเรียนเก่าของข้าพเจ้าแถบบ้านนอก ที่กางเกงอย่างน้อยต้องสั้นเหนือหัวเข่าหรือพอดีกับหัวเข่า หากสั้นมากๆข้าพเจ้าจะโดนเพื่อนร่วมชั้นแซวเสียๆหายๆทันที
เมื่อใส่เสื้อกับกางเกงเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มวัยสิบแปดก็ใส่เข็มขัดสีดำ มันเป็นเข็มขัดสายดำที่มีหัวสี่เหลี่ยมสีเงินแวววาว และเมื่อโต้ใส่เสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่เขาจะใส่ถุงเท้าสีขาว
ความจริงข้าพเจ้าไม่ต้องเสียเวลามาบรรยายเรื่องเสื้อผ้าของโต้ก็ได้ เพราะโดยทั่วไปแล้วโรงเรียนของกรุงเทพมหานครมักจะแต่งตัวอย่างนี้กัน อาจผิดแผกไปบ้างเล็กน้อยตรงกางเกง หรือสีด้ายที่ปักชื่อ เป็นอาทิ
เมื่อโต้แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเขาก็คว้ากระเป๋าเป้สีดำที่มีตราสัญลักษณ์ของโรงเรียน แล้วรีบวิ่งไปบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งผู้เป็นมารดารอเขาอยู่แล้ว
สตรีวัย ๔๕ ถือธนบัตรใบละ ๑๐๐ จำนวนหนึ่งใบ ผนวกกับธนบัตรใบละ ๕๐ บาท อีกหนึ่งใบ รอยื่นให้ลูกชายอันเป็นที่รัก
ในที่สุดโต้ก็เดินมาที่มารดาของตน มารดาของเขายื่นธนบัตรให้กับโต้ โต้ยกมือไหว้ สตรีวัยสี่สิบกว่าไหว้รับแล้วพูดว่า
“โชคดีนะลูก”
แล้วเด็กหนุ่มวัย ๑๘ ก็เดินออกจากบ้าน หยิบรองเท้านักเรียนสีดำที่ตั้งไว้บนชั้นวางรองเท้ามาใส่ เดินออกจากปากซอยวิภาวดี ๖๐ มาที่ป้ายรถเมล์ เพื่อขึ้นรถเมล์ สาย ๕๑๐ มุ่งไปยังโรงเรียน ศรีราชบำรุง
…
โรงเรียนศรีราชบำรุง เป็นโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่ในกรุงเทพมหานคร อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับสะพานควาย สถานศึกษาแห่งนี้สอนเด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ถึงมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โดยเริ่มเข้าแถวเคารพธงชาติ ในเวลา ๗.๔๕ นาฬิกา
เมื่อถึงเวลา ๗.๔๐ นาฬิกา เสียงเพลงมาร์ชประจำโรงเรียนจะดังขึ้นมา เป็นสัญญาณบอกว่าให้นักเรียนทุกคนตั้งแถว เมื่อถึงเวลา ๗.๔๕ นาฬิกา ก็ถึงเวลาเคารพธงชาติ สวดมนต์ไหว้พระ ท่องคำปฏิญาณตน ฟังคณาจารย์ให้โอวาท จากนั้นเวลา ๘.๒๐ นาฬิกาเริ่มเรียนคาบที่ ๑ กระทั่งเรียนคาบสุดท้ายเวลา ๑๕.๔๐ นาฬิกา และหมดคาบสุดท้ายในเวลา ๑๖.๓๐ นาฬิกา
เมื่อรถเมล์สาย ๕๑๐ มาถึงหน้าโรงเรียนศรีราชบำรุง เสียงเพลงมาร์ชของโรงเรียนกำลังบรรเลง ขณะนี้เป็นเวลา ๗.๔๓ นาฬิกาแล้ว
โรงเรียนนี้มีกฎระเบียบประการหนึ่งคือ เมื่อใดที่เพลงชาติไทยดังขึ้น นักเรียนซึ่งมาถึงโรงเรียนในเวลานั้นเป็นต้นไปจะถือว่า “สาย” โดยจะถูกทำโทษและตัดคะแนนความประพฤติ
โต้รีบวิ่งเข้าโรงเรียนแบบติดSpeedกระทั่งถึงบริเวณที่เพื่อนๆของเขาเข้าแถวอยู่พอดี กลับกลายเป็นว่าโต้ผู้ตื่นสายเมื่อครู่ดันไปโรงเรียนทันเวลาราวปาฏิหาริย์เสียอย่างนั้น
มีสตรีวัยทองผู้หนึ่ง อายุ๕๔ ปี สูง ๑๖๒ เซนติเมตร น้ำหนักราวๆ ๔๙ กิโลกรัม สตรีผู้นี้เป็นคนผมหยิก ผมยาวประกลางหลังแต่ถุกรวบไว้ด้วยยางมัดผมสีดำ ผิวสีน้ำผึ้ง ชื่อของแกคืออาจารย์พวงสร้อย เป็นครูประจำชั้นของโต้ และบัดนี้อาจารย์พวงสร้อยยืนรออยู่ที่แถวเรียบร้อยแล้ว
เมื่อโต้วิ่งมาที่แถว โต้รีบไหว้อาจารย์พวงสร้อยด้วยอาการทุลักทุเล สตรีวัยกลางคนผู้นี้รับไหว้ลูกศิษย์ แต่ด้วยความหมั่นไส้ แกจึงเอ่ยปากไปคำสองคำ
“นึกว่าจะมาสายซะแล้วนะนายมิตรภาพ”
โต้เลยส่งยิ้มแบบเจี๋อนๆแด่อาจารย์พวงสร้อย จากนั้นจึงวางกระเป๋าไว้ข้างลำตัวแล้วยืนเข้าแถวเคารพธงชาติ
โต้ หรือมิตรภาพ พิเศษพนา เขาอายุ ๑๘ ปี มีส่วนสูง ๑๖๕ เซนติเมตร น้ำหนัก ๔๗ กิโลกรัม ผมสีดำถูกตัดรองทรง เขามีผิวขาว เนื่องมาจากมีบิดาและมารดาเป็นคนเหนือทั้งคู่ มีภูมิลำเนามาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน อย่างไรก็ตามบิดาและมารดาของเขาก็เหมือนคนต่างจังหวัดทั่วไปที่ต้องการมาหางานทำ ณ เมืองหลวงของประเทศไทย
บิดาของเขาเป็นเชฟประจำโรงแรมชื่อดังแถบนานา ส่วนมารดาของเขาเป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านบางบัว ที่ไม่ใช่บางบัวทอง แต่เป็นบางบัวที่เลยม.เกษตรมาหน่อยหนึ่งเท่านั้น อนึ่ง ทั้งบิดาและมารดาของเขาก็อายุ ๔๕ เท่ากัน บิดาของโต้นั้นเข้างานเวลา ๑๐ นาฬิกา กว่าจะเลิกงานก็ล่วงเลยสี่ซ้าห้าทุ่ม ส่วนมารดาของเขาเนื่องจากโรงเรียนอยู่ใกล้ หล่อนจึงขับรถจักรยานยนต์ฮอนด้าซูเปอร์คัพสีเขียว จากวิภาวดีรังสิตซอย ๖๐ ซึ่งเชื่อมต่อกับซอยพหลโยธิน ซอย๔๙/๑ เพื่อไปทำงานที่โรงเรียนของหล่อนได้
...
หลังจากการทำพิธีต่างๆหน้าเสาธงแล้วนั้น ก็ถึงเวลา ๘.๒๐ นาฬิกา เป็นการเรียนคาบที่ ๑ เหตุการณ์พลันปรากฏว่าอาจารย์พงศ์พิศ ผู้สอนวิชา “คณิตศาสตร์เพิ่มเติม” ยังไม่เข้ามาสอน นักเรียนคนอื่นๆคุยกันอย่างออกรสออกชาติ บ้างก็คุยเรื่องเกม บ้างก็คุยเรื่องผู้หญิง บ้างก็คุยเรื่องผู้ชาย บ้างก็คุยถึงวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติมนี้ ฯลฯ โต้ที่กำลังนั่งอยู่นั้นก็เอาปากกาขึ้นมาควงเล่นแก้เซ็ง
มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง อายุ ๑๗ ปี เขาเป็นชายผิวดำคล้ำร่างใหญ่ สูง ๑๘๓ เซนติเมตร น้ำหนัก ๗๐ กิโลกรัม ผมดำถูกตัดสั้นเป็นรองทรงดังเช่นโต้ ชื่อจริงของเขาคือ เกณฑ์สิทธิ์ มีชื่อเล่นว่า “ทิน” และบัดนี้ได้เข้ามาทักทายโต้จนเด็กหนุ่มวัย ๑๘ ต้องตกใจ
“ไอ้โต้!!!”
ทินส่งเสียงเรียกโต้แล้วโผล่หน้าขึ้นมาทันใด
“ไอ้
ทิน!!! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะ”
โต้ตอบกลับทินด้วยอารมณ์รุนแรง
“ขวัญอ่อนจริงๆเลย Jetแม่!!!”
ทินดึงเก้าอี้ออกมาจากที่นั่งซึ่งอยู่ด้านซ้ายมือของโต้ จากนั้นเขานั่งเก้าอี้พลาสติกแล้วเอาข้อศอกวางบนโต๊ะไม้อัดซึ่งทาสีเลียนแบบสีของไม้จริง ไม่กี่อึดใจทินก็เอ่ยคำถามๆหนึ่งให้โต้ได้ตอบ
“เฮ้ยไอ้โต้”
“ว่า”
“โดดเหอะ!!! พงศ์พิศ
ไม่เข้าง่ายว่ะ ไปดูดบุหรี่กับกูดีกว่า กูมีบุหรี่หนีภาษีจากมาเลย์ กลิ่นเชอรี่เลยนะเว้ย หอมชื่นจายยย กูเพิ่งไปซื้อมาจากหน้าราม สนไหม???”
“กูขี้เกียจโดดเรียนว่ะไอ้ทิน วิชาพงศ์พิศ
ยาก เทอมก่อนกูได้เกรด ๑ เอง เทอมนี้กูอยากได้สัก ๑.๕ ไม่ก็ ๒”
“เชี่ยยยยโต้
เนิร์ดสัตว์อะ!!! ใส่แว่นแล้วยังเนิร์ดอีกนะ Jetแม่” ทินอุทาน
“อะไรของ???”
“จะเป็นเด็กเรียนอะไรนักหนาเนี่ย ชีวิตวัยรุ่นใช้ๆซะบ้างเหอะ”
ทินพูดเสร็จจึงเว้นว่างไว้ประมาณสามวินาที ในขณะที่โต้หน้าชาเพราะคำพูดไม่คิดของเด็กหนุ่ม ต่อมาทินก็พูดประโยคอันทำโต้ต้องรู้สึกหน้าชาทวียิ่งขึ้น
“เพื่อนชวนไปไหนก็ไม่ไป สักแต่เรียนแต่อ่านหนังสือ เข้าห้องสมุดอย่างเดียวเลย ก็เป็นซะอย่างงี้ เพื่อนเลยไม่คบ!!!”
“พูดจบยัง” โต้ถามทินในขณะที่น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
“ตกลงจะโดดไหมไอ้โต้”
“ไม่”
“เออ...กูไปคนเดียวก็ได้
กะจะแบ่งบุหรี่ให้สักหน่อยไอ้
เอ๊ย อยู่คนเดียวให้สบายใจไปเถอะ Jetแม่”
“เออ !!!”
ความจริง โต้ไม่อยากเถลไถล เพราะบัดนี้เขานั้นกำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ และเหลือเวลาอีกไม่มากนักที่โต้ก็จะเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มวัย ๑๘ ผู้นี้มีความฝันประการหนึ่ง ความฝันที่ใครหลายๆคนต่างก็ฝันกันทั้งนั้น คือความฝันที่จะได้เรียนมหาวิทยาลัยที่ใช้ คณะที่ชอบ
การเข้าศึกษาต่อที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร คือความฝันของโต้ แต่ทว่าการที่จะ T-CAS เพื่อเข้าสถานศึกษาแห่งนี้นั้นต้องใช้คะแนนสูงพอสมควร โต้จึงไม่อยากออกนอกลู่นอกทางจนทำให้ผลการเรียนออกมาไม่ดี เพราะเกรดเฉลี่ยรวมทั้งหมด ๕-๖ เทอมนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับเด็กมัธยมปลาย และมันนับเป็นคะแนนอย่างหนึ่ง โดยจะผนวกกับการสอบอื่นๆอีก ดังเช่นการสอบ GAT-PAT การสอบ ๙วิชาสามัญ การสอบ O-NET แล้วรวมคะแนนทั้งหมดยื่น T-CAS เข้ามหาวิทยาลัย
นิยาย เรื่อง "โตโต้ที่รัก" (โดย นภัสวีร์ รอดระกำ)