( เฟซบุ๊กผม : fewmoons )
กระผม นาย ไพสิฐ เกียรติเลขา เกิด 2 มีนาคม 2516 ตอนนี้อายุย่างเข้า 52 ปีครับ
อาศัยอยู่จังหวัดสงขลา เมื่อประมาณปี 2539 กระผมบวชเป็นภิกษุ ขณะฝึกอาสนะโยคะ เกิดรู้สึกมีอารมณ์ทางเพศ จึงทำหลังอ่อนคู้ตัว อมองคชาตตัวเอง โดยไม่รู้ว่าเป็นอาบัติปาราชิกครับ
พอใกล้สอบธรรมะนวกะ อ่านวินัยมุขเล่ม 1 พบว่า ภิกษุทำหลังอ่อน อมองคชาตตัวเองเป็นอาบัติปาราชิก จึงได้ออกมาเป็นฆารวาส เข้าเรียนมหาวิทยาลัยต่อ และได้เสพยาเสพติด จนเป็นโรคทางจิตประสาท schizoaffective disorder (จิตเภทอารมณ์แปรปรวน) มีอาการหลงผิดและประสาทหลอนอย่างหนัก กลับมารักษาตัวที่บ้าน เรียนไม่จบ ต้องกินยาจิตเวชทุกวันไปตลอดชีวิตครับ
2-3 ปีต่อมา ยังลังเลสงสัยว่าการบวชครั้งก่อนอาจจะไม่เป็นอาบัติปาราชิก จึงเข้าพิธีบวชเป็นภิกษุอีกเป็นครั้งที่ 2 บวชอยู่ 2 ปี ไม่อยู่ในธรรมวินัย สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง สัมผัสเนื้อตัวผู้หญิง อีกทั้งยังมั่นใจว่า การบวชภิกษุครั้งแรก ผมได้ต้องอาบัติปาราชิกแน่นอนแล้ว ถือว่าขาดจากการเป็นภิกษุแล้ว การบวชครั้งที่ 2 จึงเป็นโมฆะ เป็นแค่เพียงฆารวาสห่มผ้าเหลือง จึงสึกกลับมาอยู่บ้านครับ
มาถึงปัจจุบันนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ผมตรวจพบว่า ผมเป็นโรค " มะเร็งต่อมน้ำเหลือง " ( lymphoma ) ระยะ 4 ครับ เป็นชนิดเรื้อรังไม่หายขาดครับ ให้ยาคีโมแล้วครับ คุณหมอกำลังติดตามการรักษาครับ ผมกลัวมากครับ แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเป็นผลจากกรรมดำ ในอดีตของผมเองครับ
ขอเพื่อนๆทุกท่าน อย่าประมาทในชีวิต ให้เร่งทำบุญ ละบาป ทำจิตให้บริสุทธิ์ ดูชีวิตผมเป็นอุทาหรณ์ครับ " สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม "
ขอบพระคุณเพื่อนๆมากครับ ที่อ่านกระทู้ของผมครับ...
ผมเป็นภิกษุต้องอาบัติปาราชิก
กระผม นาย ไพสิฐ เกียรติเลขา เกิด 2 มีนาคม 2516 ตอนนี้อายุย่างเข้า 52 ปีครับ
อาศัยอยู่จังหวัดสงขลา เมื่อประมาณปี 2539 กระผมบวชเป็นภิกษุ ขณะฝึกอาสนะโยคะ เกิดรู้สึกมีอารมณ์ทางเพศ จึงทำหลังอ่อนคู้ตัว อมองคชาตตัวเอง โดยไม่รู้ว่าเป็นอาบัติปาราชิกครับ
พอใกล้สอบธรรมะนวกะ อ่านวินัยมุขเล่ม 1 พบว่า ภิกษุทำหลังอ่อน อมองคชาตตัวเองเป็นอาบัติปาราชิก จึงได้ออกมาเป็นฆารวาส เข้าเรียนมหาวิทยาลัยต่อ และได้เสพยาเสพติด จนเป็นโรคทางจิตประสาท schizoaffective disorder (จิตเภทอารมณ์แปรปรวน) มีอาการหลงผิดและประสาทหลอนอย่างหนัก กลับมารักษาตัวที่บ้าน เรียนไม่จบ ต้องกินยาจิตเวชทุกวันไปตลอดชีวิตครับ
2-3 ปีต่อมา ยังลังเลสงสัยว่าการบวชครั้งก่อนอาจจะไม่เป็นอาบัติปาราชิก จึงเข้าพิธีบวชเป็นภิกษุอีกเป็นครั้งที่ 2 บวชอยู่ 2 ปี ไม่อยู่ในธรรมวินัย สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง สัมผัสเนื้อตัวผู้หญิง อีกทั้งยังมั่นใจว่า การบวชภิกษุครั้งแรก ผมได้ต้องอาบัติปาราชิกแน่นอนแล้ว ถือว่าขาดจากการเป็นภิกษุแล้ว การบวชครั้งที่ 2 จึงเป็นโมฆะ เป็นแค่เพียงฆารวาสห่มผ้าเหลือง จึงสึกกลับมาอยู่บ้านครับ
มาถึงปัจจุบันนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ผมตรวจพบว่า ผมเป็นโรค " มะเร็งต่อมน้ำเหลือง " ( lymphoma ) ระยะ 4 ครับ เป็นชนิดเรื้อรังไม่หายขาดครับ ให้ยาคีโมแล้วครับ คุณหมอกำลังติดตามการรักษาครับ ผมกลัวมากครับ แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเป็นผลจากกรรมดำ ในอดีตของผมเองครับ
ขอเพื่อนๆทุกท่าน อย่าประมาทในชีวิต ให้เร่งทำบุญ ละบาป ทำจิตให้บริสุทธิ์ ดูชีวิตผมเป็นอุทาหรณ์ครับ " สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม "
ขอบพระคุณเพื่อนๆมากครับ ที่อ่านกระทู้ของผมครับ...