ว่ากันว่าเส้นทางเดินป่าเมืองไทยมีความยากทั้งหมด 5 ระดับ และดอยมะม่วงสามหมื่นที่เราจะมุ่งหน้าไป อยู่ในความยากระดับ 4 จาก 5 (โหดเอาเรื่อง)
มันเริ่มขึ้นจาก คนบ้าพลัง4คน รวมตัวกันบนรถเก๋งคันน้อยหลังเลิกงาน
[16.00น.] ล้อหมุนจาก มหาชัย สมุทรสาคร สู่ปลายทาง หมู่บ้านกุยเลอตอ จ.ตาก
ผ่านไปครึ่งทาง ยังยิ้มกันได้ เพราะทุกคนไม่รู้ 1,219โค้งแห่งอุ้มผาง คืออะไร555
ตัดภาพมาอีกที ไม่รู้ว่าหลุดเข้ามาในโค้งที่เท่าไหร่ของจำนวนพันกว่า มันขดคดโค้งเหมือนลำไส้ก็ไม่ปาน บวกกับความมืด ความไม่ชินทาง ความเพลียจากการทำงานแล้วขับรถไกล
ยิ่งตกดึก ก็ยิ่งเหนื่อยล้า คนขับตาจะปิด สองข้างทางเป็นเหว หมอกลงหนาจัดบดบังวิสัย ความสว่างเดียวที่มีคือ ไฟหน้ารถที่มองผ่านกระจกฟิมล์ทึบ มองเห็นแค่ระยะไม่เกิน50เมตรข้างหน้า ผมนั่งข้างคนขับ ต้องคอยเปิดgpsนำทางในทุกๆโค้ง เพราะถ้าพลาดนิดเดียวคือตกเขา
ถ้ายังไม่ตื่นเต้นพอ มีเรื่องให้ต้องคอยลุ้นอีกว่า โค้งหักศอกลงเขาข้างหน้า จะมีฝูงวัวมาดักทาง ให้คอยหักหลบอีกมั้ย
เรียกว่า..ยากตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินเลย
[9.30น.] กว่า17ชั่วโมงของการนั่งอัดอยู่ในรถ เท้าก็เเตะถึงพื้นที่หมู่บ้านกุยเลยตอ
ขอแนะนำให้รู้จัก ไกด์นำทางของเรา…..พี่เค๊อะ
คนอื่นบอกหน้าเหมือนพี่ตูน แต่ผมว่าเหมือนคุณวิกรม (ขอโทษครับพี่เค๊อะ55)
หน่วยซีลทั้ง4 ออกเดินทางได้
ถึงผมจะเคยมีประสบการณ์เดินป่ามาบ้างและมากสุดในกลุ่ม แต่เราทุกคนล้วนเป็นมือใหม่
Item และ skill ต่างๆก็เป็นระดับ beginer รวมถึงกล้อง กับ การถ่ายภาพด้วย
เพราะเป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุดยาว เรามากันเองไม่ได้ซื้อทัวร์ ตลอดเส้นทางเดิน จึงมีแค่เรา4-5คน
ในช่วงเดินระยะแรกเป็นทางราบ แต่แฉะไปด้วยพื้นโคลน สลับกับลุยน้ำเท่าตาตุ่ม มีบางช่วงที่โคลนเละๆหนาๆ แต่ด้วยการลัดเลาะตามไหล่ทางพร้อมไม้ trekking pole จึงผ่านไปได้ด้วยดี
สองข้างทางสวยมาก แต่ต้องระวังรั้วที่เป็นลวดผูกผ้าไว้ อย่าได้เผลอไปจับ พี่เค๊อะบอกว่า มันเป็นรั้วไฟฟ้า เอาไว้กัน วัว ควาย หลุดออกมา
“ทางดี มีเซเว่น”
เดินแบกเป้มาเหนื่อยๆ ได้จิบเบียร์เย็นๆสักป๋อง พร้อมกับชมวิวดีๆ จะมีอะไรฟิลกว่านี้อีก
ในช่วงระยะกลาง ทางเดินง่ายมาก เป็นทางเรียบ พื้นแห้ง ลุยน้ำเท่าเข่าบ้าง แต่ก็ไม่ยากอะไร
จนมาถึงด่านตรวจตั๋ว(70บาท)
จึงได้รู้ว่าเดินมาเกินครึ่งทางแล้ว 3 กิโลเมตรจาก 5 เดินอีกไม่เกินชม.ก็ถึงจุดแคมป์
จากจุดตรวจมา เจออีก 1 เซเว่นและเป็นเซเว่นสุดท้าย ก่อนจะเดินเข้าป่าทึบ มีดันขึ้นเนินนิดหน่อย ให้พอได้เหงื่อ สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำแล้ว เส้นทางไปแคมป์นี้ เหมือนเดินอยู่สวนหลังบ้านเลย 5555(ขิง)
ถึงแคมป์แล้ว
จากจุดที่จอดรถ เราเดินแบกเป้มาชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็ถึงจุดแคมป์ เพราะอดนอนตั้งแต่เมื่อวาน บวกกับความบู๊ระห่ำป่า ไม่ได้กินข้าวกินปลา เมนูเย็นวันนั้นจึงเกิดจากความลวกๆง่ายๆ อย่างเช่น ไข่เจียวชาโคล กับ หมึกแห้งและหมูยอทอด คลุกน้ำมันทุกคำที่เข้าปาก
พอกินข้าวเสร็จ เราพากันไปอาบน้ำที่น้ำตกใกล้แคมป์ ก่อนจะเลือกผูกเปลนอนที่มุมใครมุมมันตามอัธยาศัย
หลังจากที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน หนังท้องเริ่มตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน การซุกตัวเข้าไปในถุงนอนบนเปลอุ่นๆ ฟังเสียงฝนที่โปรยปรายผ่านใบไม้ลงสู่พื้น สูดกลิ่นไอดินจากแหล่งผลิตออกซิเจนให้เต็มปอด หยิบหนังสือเล่มโปรดขึ้นมาอ่านสัก2-3หน้าก่อนตาจะปิดลง
นั่น!!คงบรรเทาความเหนื่อยล้าได้ดีที่สุดแล้ว
[5.00น.] เช้าวันที่2 เริ่มขึ้นด้วยความรู้สึก ฉ่ำที่แผ่นหลัง เพราะน้ำไหลเข้าตามสายเปล จากฝนที่ไม่เคยหยุดตั้งแต่เมื่อเย็นวาน
ผมห้อยตัวลงจากคอนโดชั้น2 ก่อนจะมาตั้งหม้อหุงข้าว ต้มน้ำ ชงกาแฟ ให้เพื่อนกิน
[7.00น.] เอาละ!!! พี่เค๊อะ ในชุดเสื้อกันฝนมายืนรอแล้ว
พร้อมออกเดินเท้า ด้วยแผนการ พิชิตยอดดอยมะม่วงสามหมื่นที่ความสูง1650เมตร แล้วปิดฉากด้วยน้ำตกปิตุ๊โกรหรือเปรโต๊ะลอซูอันแสนอลังการ
หากจะหาเหตุผลว่า การเที่ยวป่าท่องไพร นั้นดีอย่างไร ผมคงจะตอบเป็นหลักแน่ชัดไม่ได้ รู้แต่ว่าทุกย่างก้าวที่เดิน มันช่างสงบ และเรียบง่าย วิวบนยอดเขาแม้จะสวยงามเพียงใด คงเป็นแค่รางวัลเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการได้อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง
แค่เดิน เดิน เดิน แล้วก็เดินไป ชื่นชมทุกสิ่งอย่าง รอบกาย โดยไม่ต้องเร่งรีบทำเวลา
ไม่นาน เหล่าชายในชุดกันฝน ก็ถึงจุดชมวิว12,000 ไม่ทราบเหมือนกันว่าตัวเลขเหล่านั้นหมายถึงอะไร แต่คงแทนค่าได้กับระดับความเหนื่อยหอบเพราะทางชันดันเนินที่พบเจอ
นั่งพักสักครู่ รอฟ้าเปิด แล้วจึงบังเกิด ความงดงาม
ว้าว!? นั่นสินะ…น้ำตกปิตุ๊โกร
ออกจากดอย12,000มา ก็มุ่งหน้าสู่ดอย15,000ต่อ ไอ้ทางที่เคยคิดว่าชันแล้วโหดแล้ว ทางเส้นนี้มันยิ่งกว่า บางช่วงถึงกับต้องใช้มือปีนป่าย ความลาดเอียงน่าจะเกิน45องศาไปแล้ว
และแล้วเราก็ถึง ดอย15,000 ครึ่งทางของ30,000แล้ว
ด้วยหมอกที่ปกคลุมตลอด เลยบรรยายไม่ได้ว่าวิวข้างล่างสวยขนาดไหน แต่จากคำบอกเล่าของไกด์ผู้เจนจัด
จุดนี้คนส่วนใหญ่จะเลือกหันหลังกลับ เดินไปที่น้ำตก นักเดินป่า 1 ใน 4 เท่านั้นที่จะเลือกไปต่อ ผมไม่แปลกใจเลยเมื่อได้ฟัง ก็ทางมันดุเดือดซะขนาดนั้น
หน่วยซีลทั้ง4(ปลาซีล) ไม่มีใครบ่นว่าอยากกลับ เราถูกฝึกมาแล้ว ทั้งกายและใจ เพื่อรับมือกับสถานะการณ์ที่ยากลำบาก(โม้ไปเรื่อย55)
หากให้พูดถึงบรรยากาศโดยรอบ ผมเห็นแต่สีเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า สีขาวของเมฆหมอกลอยไปมา และสายฝนที่คอยเติมความชุ่มฉ่ำตลอดเวลา มันสวยงามเกินกว่าจะบรรยายเป็นตัวอักษรได้จริงๆ
“สูงที่สุดนั้น ไม่ใช่เส้นขอบฟ้า แต่มันคือความทะเยอทะยาน”
คำนี้จริงที่สุด ทำงานเหนื่อยมาทั้งสัปดาห์แล้ว ทำไมไม่นอนอยู่บ้าน นอนเปิดเน็ตฟลิกดูสบายๆ พาตัวเองมาลำบากทำไม อยู่ๆก็เกิดคำถามขึ้นมากมายในหัว เหมือนความคิดฝั่งสีขาวกับสีดำกำลังทะเลาะกัน
แม้จะแข็งแกร่งปานกอริล่า ก็ต้องโรยราเมื่อเจอกับเขาลูกนี้
ผมเคยแบกกระเป๋าหนัก17กิโล ขึ้นเขาสันหนอกวัว จ.กาญฯ สาบานได้ว่ามัน ใช้ความทรหดไม่เปลืองเท่านี้ ทั้งที่กระเป๋าบนหลัง หนักไม่ถึง5กิโลด้วยซ้ำ
ในที่สุด!!!
ในที่สุด!!!
ในที่สุด!!!
เราก็มาถึงยอดดอยมะม่วงสามหมื่น หลังจากที่ปีนเขามา4กิโลเมตร ใช้เวลาไป4ชั่วโมง
กองหินสามกองตรงนั้น เป็นตัวยืนยันว่าเรา พิชิตมันได้แล้ว!!!
และนี่คือสภาพของผู้พิชิต
พี่เค๊อะชี้ให้ดู ว่าภูเขาลูกข้างหน้าที่ห่างไปไม่ถึง100เมตร คือประเทศพม่า แต่ผมไม่ได้ถ่ายมา ผมหิวข้าว555
[11.00น.โดยประมาณ] ไม่พูดพร่ำทำเพลง เราต่างช่วยกันคุ้ยหาอาหารในกระเป๋าขึ้นมากินอย่างรวดเร็ว เพราะความหิว และสะบักสะบอม ทำให้ปลากระป๋องกับข้าวสวยเย็นๆ กลายเป็นมื้อที่วิเศษที่สุด ไม่เคยคิดเลยว่าปลากระป๋องจะอร่อยได้ขนาดนี้
ดั้นด้นกันมาแทบตาย แต่สุดท้าย บนยอดเขานั้น ไม่มีอะไรเลย นอกจากพื้นหลังสีขาวและความว่างเปล่า
บันทึกการเดินทาง พิชิตดอยมะม่วงสามหมื่นสุดโหด กับน้ำตกกลางป่าสูงที่สุดในไทย(ปิตุ๊โกร)
มันเริ่มขึ้นจาก คนบ้าพลัง4คน รวมตัวกันบนรถเก๋งคันน้อยหลังเลิกงาน
[16.00น.] ล้อหมุนจาก มหาชัย สมุทรสาคร สู่ปลายทาง หมู่บ้านกุยเลอตอ จ.ตาก
ผ่านไปครึ่งทาง ยังยิ้มกันได้ เพราะทุกคนไม่รู้ 1,219โค้งแห่งอุ้มผาง คืออะไร555
ตัดภาพมาอีกที ไม่รู้ว่าหลุดเข้ามาในโค้งที่เท่าไหร่ของจำนวนพันกว่า มันขดคดโค้งเหมือนลำไส้ก็ไม่ปาน บวกกับความมืด ความไม่ชินทาง ความเพลียจากการทำงานแล้วขับรถไกล
ยิ่งตกดึก ก็ยิ่งเหนื่อยล้า คนขับตาจะปิด สองข้างทางเป็นเหว หมอกลงหนาจัดบดบังวิสัย ความสว่างเดียวที่มีคือ ไฟหน้ารถที่มองผ่านกระจกฟิมล์ทึบ มองเห็นแค่ระยะไม่เกิน50เมตรข้างหน้า ผมนั่งข้างคนขับ ต้องคอยเปิดgpsนำทางในทุกๆโค้ง เพราะถ้าพลาดนิดเดียวคือตกเขา
ถ้ายังไม่ตื่นเต้นพอ มีเรื่องให้ต้องคอยลุ้นอีกว่า โค้งหักศอกลงเขาข้างหน้า จะมีฝูงวัวมาดักทาง ให้คอยหักหลบอีกมั้ย
เรียกว่า..ยากตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินเลย
[9.30น.] กว่า17ชั่วโมงของการนั่งอัดอยู่ในรถ เท้าก็เเตะถึงพื้นที่หมู่บ้านกุยเลยตอ
ขอแนะนำให้รู้จัก ไกด์นำทางของเรา…..พี่เค๊อะ
คนอื่นบอกหน้าเหมือนพี่ตูน แต่ผมว่าเหมือนคุณวิกรม (ขอโทษครับพี่เค๊อะ55)
หน่วยซีลทั้ง4 ออกเดินทางได้
ถึงผมจะเคยมีประสบการณ์เดินป่ามาบ้างและมากสุดในกลุ่ม แต่เราทุกคนล้วนเป็นมือใหม่
Item และ skill ต่างๆก็เป็นระดับ beginer รวมถึงกล้อง กับ การถ่ายภาพด้วย
เพราะเป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุดยาว เรามากันเองไม่ได้ซื้อทัวร์ ตลอดเส้นทางเดิน จึงมีแค่เรา4-5คน
ในช่วงเดินระยะแรกเป็นทางราบ แต่แฉะไปด้วยพื้นโคลน สลับกับลุยน้ำเท่าตาตุ่ม มีบางช่วงที่โคลนเละๆหนาๆ แต่ด้วยการลัดเลาะตามไหล่ทางพร้อมไม้ trekking pole จึงผ่านไปได้ด้วยดี
สองข้างทางสวยมาก แต่ต้องระวังรั้วที่เป็นลวดผูกผ้าไว้ อย่าได้เผลอไปจับ พี่เค๊อะบอกว่า มันเป็นรั้วไฟฟ้า เอาไว้กัน วัว ควาย หลุดออกมา
“ทางดี มีเซเว่น”
เดินแบกเป้มาเหนื่อยๆ ได้จิบเบียร์เย็นๆสักป๋อง พร้อมกับชมวิวดีๆ จะมีอะไรฟิลกว่านี้อีก
ในช่วงระยะกลาง ทางเดินง่ายมาก เป็นทางเรียบ พื้นแห้ง ลุยน้ำเท่าเข่าบ้าง แต่ก็ไม่ยากอะไร
จนมาถึงด่านตรวจตั๋ว(70บาท)
จึงได้รู้ว่าเดินมาเกินครึ่งทางแล้ว 3 กิโลเมตรจาก 5 เดินอีกไม่เกินชม.ก็ถึงจุดแคมป์
จากจุดตรวจมา เจออีก 1 เซเว่นและเป็นเซเว่นสุดท้าย ก่อนจะเดินเข้าป่าทึบ มีดันขึ้นเนินนิดหน่อย ให้พอได้เหงื่อ สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำแล้ว เส้นทางไปแคมป์นี้ เหมือนเดินอยู่สวนหลังบ้านเลย 5555(ขิง)
ถึงแคมป์แล้ว
จากจุดที่จอดรถ เราเดินแบกเป้มาชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็ถึงจุดแคมป์ เพราะอดนอนตั้งแต่เมื่อวาน บวกกับความบู๊ระห่ำป่า ไม่ได้กินข้าวกินปลา เมนูเย็นวันนั้นจึงเกิดจากความลวกๆง่ายๆ อย่างเช่น ไข่เจียวชาโคล กับ หมึกแห้งและหมูยอทอด คลุกน้ำมันทุกคำที่เข้าปาก
พอกินข้าวเสร็จ เราพากันไปอาบน้ำที่น้ำตกใกล้แคมป์ ก่อนจะเลือกผูกเปลนอนที่มุมใครมุมมันตามอัธยาศัย
หลังจากที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน หนังท้องเริ่มตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน การซุกตัวเข้าไปในถุงนอนบนเปลอุ่นๆ ฟังเสียงฝนที่โปรยปรายผ่านใบไม้ลงสู่พื้น สูดกลิ่นไอดินจากแหล่งผลิตออกซิเจนให้เต็มปอด หยิบหนังสือเล่มโปรดขึ้นมาอ่านสัก2-3หน้าก่อนตาจะปิดลง
นั่น!!คงบรรเทาความเหนื่อยล้าได้ดีที่สุดแล้ว
[5.00น.] เช้าวันที่2 เริ่มขึ้นด้วยความรู้สึก ฉ่ำที่แผ่นหลัง เพราะน้ำไหลเข้าตามสายเปล จากฝนที่ไม่เคยหยุดตั้งแต่เมื่อเย็นวาน
ผมห้อยตัวลงจากคอนโดชั้น2 ก่อนจะมาตั้งหม้อหุงข้าว ต้มน้ำ ชงกาแฟ ให้เพื่อนกิน
[7.00น.] เอาละ!!! พี่เค๊อะ ในชุดเสื้อกันฝนมายืนรอแล้ว
พร้อมออกเดินเท้า ด้วยแผนการ พิชิตยอดดอยมะม่วงสามหมื่นที่ความสูง1650เมตร แล้วปิดฉากด้วยน้ำตกปิตุ๊โกรหรือเปรโต๊ะลอซูอันแสนอลังการ
หากจะหาเหตุผลว่า การเที่ยวป่าท่องไพร นั้นดีอย่างไร ผมคงจะตอบเป็นหลักแน่ชัดไม่ได้ รู้แต่ว่าทุกย่างก้าวที่เดิน มันช่างสงบ และเรียบง่าย วิวบนยอดเขาแม้จะสวยงามเพียงใด คงเป็นแค่รางวัลเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการได้อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง
แค่เดิน เดิน เดิน แล้วก็เดินไป ชื่นชมทุกสิ่งอย่าง รอบกาย โดยไม่ต้องเร่งรีบทำเวลา
ไม่นาน เหล่าชายในชุดกันฝน ก็ถึงจุดชมวิว12,000 ไม่ทราบเหมือนกันว่าตัวเลขเหล่านั้นหมายถึงอะไร แต่คงแทนค่าได้กับระดับความเหนื่อยหอบเพราะทางชันดันเนินที่พบเจอ
นั่งพักสักครู่ รอฟ้าเปิด แล้วจึงบังเกิด ความงดงาม
ว้าว!? นั่นสินะ…น้ำตกปิตุ๊โกร
ออกจากดอย12,000มา ก็มุ่งหน้าสู่ดอย15,000ต่อ ไอ้ทางที่เคยคิดว่าชันแล้วโหดแล้ว ทางเส้นนี้มันยิ่งกว่า บางช่วงถึงกับต้องใช้มือปีนป่าย ความลาดเอียงน่าจะเกิน45องศาไปแล้ว
และแล้วเราก็ถึง ดอย15,000 ครึ่งทางของ30,000แล้ว
ด้วยหมอกที่ปกคลุมตลอด เลยบรรยายไม่ได้ว่าวิวข้างล่างสวยขนาดไหน แต่จากคำบอกเล่าของไกด์ผู้เจนจัด
จุดนี้คนส่วนใหญ่จะเลือกหันหลังกลับ เดินไปที่น้ำตก นักเดินป่า 1 ใน 4 เท่านั้นที่จะเลือกไปต่อ ผมไม่แปลกใจเลยเมื่อได้ฟัง ก็ทางมันดุเดือดซะขนาดนั้น
หน่วยซีลทั้ง4(ปลาซีล) ไม่มีใครบ่นว่าอยากกลับ เราถูกฝึกมาแล้ว ทั้งกายและใจ เพื่อรับมือกับสถานะการณ์ที่ยากลำบาก(โม้ไปเรื่อย55)
หากให้พูดถึงบรรยากาศโดยรอบ ผมเห็นแต่สีเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า สีขาวของเมฆหมอกลอยไปมา และสายฝนที่คอยเติมความชุ่มฉ่ำตลอดเวลา มันสวยงามเกินกว่าจะบรรยายเป็นตัวอักษรได้จริงๆ
“สูงที่สุดนั้น ไม่ใช่เส้นขอบฟ้า แต่มันคือความทะเยอทะยาน”
คำนี้จริงที่สุด ทำงานเหนื่อยมาทั้งสัปดาห์แล้ว ทำไมไม่นอนอยู่บ้าน นอนเปิดเน็ตฟลิกดูสบายๆ พาตัวเองมาลำบากทำไม อยู่ๆก็เกิดคำถามขึ้นมากมายในหัว เหมือนความคิดฝั่งสีขาวกับสีดำกำลังทะเลาะกัน
แม้จะแข็งแกร่งปานกอริล่า ก็ต้องโรยราเมื่อเจอกับเขาลูกนี้
ผมเคยแบกกระเป๋าหนัก17กิโล ขึ้นเขาสันหนอกวัว จ.กาญฯ สาบานได้ว่ามัน ใช้ความทรหดไม่เปลืองเท่านี้ ทั้งที่กระเป๋าบนหลัง หนักไม่ถึง5กิโลด้วยซ้ำ
ในที่สุด!!!
ในที่สุด!!!
ในที่สุด!!!
เราก็มาถึงยอดดอยมะม่วงสามหมื่น หลังจากที่ปีนเขามา4กิโลเมตร ใช้เวลาไป4ชั่วโมง
กองหินสามกองตรงนั้น เป็นตัวยืนยันว่าเรา พิชิตมันได้แล้ว!!!
และนี่คือสภาพของผู้พิชิต
พี่เค๊อะชี้ให้ดู ว่าภูเขาลูกข้างหน้าที่ห่างไปไม่ถึง100เมตร คือประเทศพม่า แต่ผมไม่ได้ถ่ายมา ผมหิวข้าว555
[11.00น.โดยประมาณ] ไม่พูดพร่ำทำเพลง เราต่างช่วยกันคุ้ยหาอาหารในกระเป๋าขึ้นมากินอย่างรวดเร็ว เพราะความหิว และสะบักสะบอม ทำให้ปลากระป๋องกับข้าวสวยเย็นๆ กลายเป็นมื้อที่วิเศษที่สุด ไม่เคยคิดเลยว่าปลากระป๋องจะอร่อยได้ขนาดนี้
ดั้นด้นกันมาแทบตาย แต่สุดท้าย บนยอดเขานั้น ไม่มีอะไรเลย นอกจากพื้นหลังสีขาวและความว่างเปล่า