ดูแล้ว ชอบมาก เขาไม่ได้ดูผิดเลย แต่ “ดูถูก” แล้วเขานำเสนอในแนวขำๆ หยอกๆ จากคนที่รักเมืองไทย มีความทรงจำดีๆ จากการท่องเที่ยวไทย
ในยุคเก่า ที่เป็นการท่องเที่ยวที่มันสอนให้คนๆ นี้ (ผู้จัดทำ คนคิด ผู้กำกับ) ได้เติบโตขึ้น ได้รู้จักวัฒนธรรมที่แตกต่างจากการที่เขามาเที่ยวไทย
(ที่ส่วนใหญ่เป็นพวกฝรั่งมีการศึกษาที่เที่ยว Gap Year ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ฝรั่งเด็กๆ วัยรุ่น เที่ยวแบบโลวบัดเจ็ทยุค 20-30 ปีที่แล้วขึ้นไป
ที่สมัยนี้เป็นพ่อเป็นแม่คน อายุรุ่นปู่ย่าตายายแล้ว และเป็นใหญ่เป็นโต มีงานดีๆ ระดับสูงๆ ทำกันแทบจะทั้งหมดแล้ว ที่เขาเป็นใหญ่เป็นโต มีงานดีๆ ทำ
ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็เพราะเขาได้ออกเดินทางไปเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง ได้พบเจอผู้คนนานาชาติ ได้ฝึกการแก้ปัญหา หรือบางคน
ก็พบเนื้อคู่ระหว่างเดินทางนั่นเอง
สมัยก่อนการท่องเที่ยวแบบนี้ฮิตมาก สำหรับคนประเทศพัฒนาแล้ว อเมริกัน อังกฤษ สแกนดิเนเวีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น…มันเป็นสมัยที่โลวคอสท์แอร์ไลน์
ยังไม่แพร่หลาย กรุ๊ปทัวร์จีน ทัวร์รัสเซีย ยังไม่ครองโลก คนประเทศกำลังพัฒนายังไม่ออกเดินทางกันมากนักนอกจากคนที่มีเงินจริงๆ
หรือ ชอบเที่ยวจริงๆ)
ดูแล้วรู้เลยว่า คนที่เป็นคนหลักในการจัดทำโปรดัคชั่น เป็นมันสมองคิดทุกสิ่งทุกอย่าง กำกับหนังสั้นนี้ คือคนที่อายุ 50+ เป็นคนอเมริกัน
ที่เคยมาเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเก้อร์ในไทยตั้งแต่ยุค 80s 90s ประมาณ 25-30 ปีที่แล้วขึ้นไป ตั้งแต่ก่อนที่หนังเรื่องเดอะบีช จะทำให้วงการแบ็คแพ็คเก้อร์
เปลี่ยนไป หลายๆ อย่างของไทยยุคนั้นสำหรับพวกแบ็คแพ็คเก้อร์มันอยู่ในหนังสั้นนี้เอง
หลายๆ อย่างมันจริง และ น่ารักมากๆ ขนาดเครื่องบินยังเป็นการบินไทย มีแอร์ มีสจ๊วต มีเบาะสีๆ ของการบินไทย
(แต่เบาะสีๆ ในชั้นประหยัด นี่คือเบาะยุคหลัง ที่ส่วนใหญ่จะมีบนเครื่องเก่าๆ เช่น พวกแอร์บัสเอ 330 แต่หลังๆ การบินไทยก็ไม่ได้ใช้เบาะสีๆ แบบนี้
แล้วในชั้นประหยัดบนเครื่องใหม่ๆ)
ตรง ต.ม. ตรงศุลกากรตรงที่รับกระเป๋า คนขับแท็กซี่ การพาไปส่งโรงแรม แล้วมีการเจอแขกคนอื่นตากผ้าในห้องน้ำ ฉากที่สถานีรถไฟ การกินอาหาร ท่าเรือ การติดต่องาน ทุกอย่างมันจริงหมด หลายๆ ฉากฮาจริงๆ แต่ส่วนใหญ่มันคือสิ่งที่เกิดในยุค 25 ปีเป็นอย่างน้อย
การจัดฉากที่สนามบินมันคือ สนามบินดอนเมืองยุค 25-30 กว่าปีที่แล้วมาก ตั้งแต่ก่อนที่จะมีสนามบินสุวรรณภูมินานเลย (55 แต่มีอยู่ฉากนึง
แอบเห็นหางแอร์เอเชียด้วย)
ชอบที่เขาจัดแต่งฉากให้สีแปร๋นๆ พร็อพเยอะ คือแบ็คแพ็คเก้อร์คนนี้ นอกจากจะคุ้นเคยกับไทยในยุคนั้นแล้ว เขาน่าจะเที่ยวอินเดียเยอะด้วย
แล้วก็คงเที่ยวเวียตนาม เพราะรถมอเตอร์ไซค์สีฟ้า มีคนนั่งเยอะๆ บรรทุกของเยอะๆ นั่งคือภาพของเวียตนามในยุค 20-30 ปีที่แล้วขึ้นไป
เห็นได้ทั่วไปในฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้
คือนี่มันคนรุ่นนั้นยุคนั้นมาทำจริงๆ เพราะถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ทำ จะไม่มีการเล่าเรื่องและฉากที่ออกมาแบบนี้แน่นอน
ในปัจจุบันนี้ในไทย หลายๆ อย่าง ไม่ค่อยเป็นแบบนี้แล้ว เพราะต่างชาติมา มาเจอสนามบินสุวรรณภูมิ มันใหญ่มาก และทันสมัยกว่า
แท็กซี่สมัยนี้ไม่น่าจะพาไปส่งผิดที่แล้ว แต่สิ่งที่จะยังมีคือจะขอราคาเหมา หรือ ชวนให้เหมาเที่ยวต่อ
ส่วนเรื่องการดีลกับคนตามร้าน สมัยนี้ตามร้านอาหาร ตามโรงแรม สำหรับย่านท่องเที่ยว น่าจะแทบไม่เจอคนไทยแล้ว แต่เจอพม่า เขมร
กัมพูชา ปากีฯ เนปาล เวียตนาม ฟิลิปปินส์ (คนไทยในวงการท่องเที่ยวทำอย่างอื่น…ไม่อยากลงรายละเอียด หรือ ไปเป็นผีน้อย ตปท ได้เงินดีกว่า)
และ ถ้าเป็นฉากสมัยนี้ มันต้องมี เลดี้บอย กับ ร้านขายกัญชาด้วย แต่ยุคนั้นมันไม่เป็นแบบนี้ไง (ลืมสังเกตว่ามีสายไฟรุงรังไหม และ ฟุตบาธแย่ๆ ด้วย)
รักหนังสั้นเรื่องนี้ จะแชร์ให้เพื่อนๆ ฝรั่งคนร่วมสมัย และ คนไทยในยุคนั้นพวก Baby Boomer, Gen X, Gen Y ดู
คนแก่อย่างเราดูแล้วมันเกิดอาการ Nostalgia (อาการคุ้นเคยกับอดีต) จริงๆ
คนที่จะเข้าใจหนังสั้นเรื่องนี้มากๆ ต้องเป็นพวก Baby Boomer และ Gen X คนที่อายุ 50+ ขึ้นไป ถึงจะ Get สุดๆ
โดยเฉพาะพวกแบ็คแพ็คเก้อร์ฝรั่งจากยุค 80s, 90s หรือคนไทยจากยุคนั้นที่คุ้นเคยกับสังคมฝรั่ง
คนฝรั่งแบ็คแพ็คเก้อร์ Gen Y หรือ คนไทย Gen Y ที่คุ้นเคยกับฝรั่ง ( พวกอายุประมาณ 45+) บางคนดูแล้วก็น่าจะเข้าถึงอยู่
แต่ถ้าเป็นคนอายุน้อยๆ คน Gen ใหม่ๆ เด็กรุ่นหลังๆ ดูจะไม่เก็ต ก็อาจจะเกิดอาการดราม่าได้ คิดว่าเขาดูถูกแบบลบๆ
จริงๆ เขา “ดูถูก” แต่ดูถูกจากความทรงจำ ด้วยความรัก และ เข้าใจเมืองไทย จากในแง่มุมของฝรั่ง จากสิ่งที่เขาประสบมา
ซึ่งหลายๆ อย่างในสมัยนี้มันยังเป็นแบบนั้นจริงๆ (อย่างน้อยก็การนั่งตุ๊กๆ ที่อัดๆ กันเข้าไป นักท่องเที่ยวสมัยนี้ยังนั่งอยู่ และ อีกหลายๆ อย่าง
ที่เห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน ที่มีจริง ไม่ต้องเซ็ตฉาก)
นักแสดงเล่นเก่งทุกคน ทั้งคนฝรั่ง คนไทย (เป็นนักแสดงประเภทคนไทยเด็กนอกพูดอังกฤษเก่ง คงเป็นคนในวงการทำหนัง พวกแวดวงโปรดัคชั่น
คือให้นึกถึงการแสดงของน้อย วงพรู คนไทยแบบนั้น) คนที่เล่นเป็น ต.ม. น่าจะเป็นคนจีนอเมริกัน พวกฝั่งที่เล่นอยู่อเมริกาก็รั่ว คุยไปออกกำลังกายไป
เครื่องออกกำลังกายก็แบบก๊องแก๊ง ดัมเบลล์สีๆ เล่นได้ฮาทุกคน สมบทบาทมาก
นักท่องเที่ยวไม่ว่าจะยุคไหน เวลามาไทยเขาไม่ได้มาดูความทันสมัย โดยเฉพาะเมื่อ 25-30, 40 ปีที่แล้ว หลายๆ อย่างมันเป็นแบบในหนังสั้นเรื่องนี้จริงๆ
โปรดัคชั่นของหนังสั้นนี้ดีมาก มาตรฐานสากล แสง การถ่ายทำ นักแสดง ทุกอย่างมืออาชีพมากๆ เนื้อเรื่องก็สนุกลื่นไหลมีความต่อเนื่องชวนติดตาม
เป็นหนังสั้นที่เป็นงานศิลปะ
หมวกร่มแบบที่ฝรั่งใส่ เมื่อยุคสัก 20-30 ปีที่แล้ว กรุ๊ปทัวร์เกาหลีคนมีอายุชอบใส่ ส่วนสกิลล์การปอกสับปะรดของคนไทยแบบกรีดตาสับปะรด
ด้วยมีดแล้วทำเป็นเกลียวๆ แบบที่ฝรั่งในหนังสั้นนี้ถือ เป็นอีกสิ่งหนึ่งของคนไทยที่ฝรั่งทึ่งมากเวลาที่ดูคนไทยขายผลไม้ตามรถเข็นปอกสับปะรด
รถเข็นขายผลไม้แบบมีน้ำแข็งก้อนๆ แช่ ขายฝรั่ง แตงโม สับประรด มะม่วงดิบ มีพริกกะเกลือ สมัยนี้ไม่เห็นแล้ว 🍍
ฉากในหนังสั้น Apple นี้ ตอนที่ผู้ชายฝรั่งในกลุ่ม เข้าไปเจอฮิปปี้ตากผ้าอยู่ในห้องน้ำที่โรงแรม Sunrise Paradise มันทำให้พวกคุณนึกถึงตัวขโมยซีน
ใน Notting Hill ที่อยู่บ้านเดียวกันกับพระเอกไหมหล่ะ โดยเฉพาะฉากที่นางเอก นอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ แล้วตัวขโมยซีนนี้เดินปลดซิป
เข้าไปยืนทำธุระเบาในห้องน้ำ โดยที่ไม่เห็นนางเอก จนนางเอกต้องส่งเสียงแนะนำตัวขึ้นมาหน่ะ
การเดินทางในหนัง มีต่อรถ ต่อเรือ หลายต่อ ทุลักทุเล กว่าจะถึงที่หมาย นึกถึงหนังไทยเรื่องรถไฟฟ้ามาหานะเธอ ที่นางเอกเหมยลี่
เดินทางจากบ้านไปทำงานก็คล้ายๆ แบบนี้
ส่วนในหนังสั้น Apple ตอนจบ ที่ตัวละคร 3 ตัววิ่งขึ้นรถ ตอนจะกลับจากระยองไปขี้นเครื่อง ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Darjeeling Limited
ที่มี 3 พี่น้องเดินทางไปหาแม่ที่อินเดีย ต้องจำฉากนี้ได้ ที่ 3 พี่น้องวิ่งขึ้นรถไฟ แบบนั้นเลย เหมือนกัน
เราเชื่อว่า หนึ่งในทีมงานสำคัญที่เคยทำหนัง The Darjeeling Limited น่าจะมีส่วนในการทำหนังสั้น Apple นี้ด้วย เพราะสีสรรในหนัง
ฉาก การถ่ายทำ แสง มันคล้ายกันมากๆ ดูแล้วนึกถึงโฆษนาประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวอินเดียเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วด้วย โฆษนาชุด Incredible India!
ดูหนังสั้นนี่แล้ว นึกถึงหนังยุค 80s เรื่อง Back To The Future หรือ นึกถึงละครไทยบุพเพสันนิวาส มีอะไรเก่าๆ ใหม่ๆ ปนๆ กัน
🍎 การที่ Apple ต้องถอดหนังสั้นที่อุตส่าห์สร้างสรรค์ถ่ายทำนี้ออกไป หนังมันสนุก งี่เง่า ผจญภัย รั่ว เราคิดว่าไทยเสียโอกาสในการโปรโมตประเทศ
ผ่านแบรนด์ระดับโลกโฆษนานี้ มันอยากทำให้คนมาไทย มาแล้วเขาจะได้มาเจอทุกอย่าง ทั้งดีไม่ดี
แค่เขาเอาลงไม่กี่วัน ยอดการดูหลายล้านแล้ว ถ้ามีต่อไปเรื่อยๆ ยอดเข้าดูคงหลายร้อยล้านภายในไม่กี่เดือน
สมัยนี้ อินเตอร์เน็ตมี รีวิวมี ชาวโลกเขารู้ว่าไทยมีรถไฟฟ้า มีรถไฟใต้ดิน มีศูนย์การค้าใหญ่ๆ ทันสมัย
มีโรงแรม 4-5 ดาวดีๆ เขาไม่โง่หรอก ข้อมูลพวกนี้มันมีอยู่ทั่วไป แล้วฝรั่งที่คิดว่าคนไทยขี่ช้างไปโรงเรียน คงไม่มีแล้ว
เพราะไทยเป็นหนึ่งใน ปท อันดับต้นๆ ของโลกที่คนอยากมาเยือน ก็เพราะไทยมีครบทุกอย่างนี่แหละ ทั้งดีและไม่ดี
อะไรที่ดีๆ มันโชว์ได้เยอะ ส่วนของไม่ดี ไม่จำเป็นต้องซุกไว้ที่ไหน แต่ควรแก้ไขปรับปรุง
อยากให้คนไทยสามัคคีกัน ทุกวงการช่วยกันสร้างชาติให้ดีๆ จะได้ไม่ต้องหัวร้อน ดราม่า
เวลามีฝรั่งเขาทำโฆษนาอิงเรื่องจริง แล้วก็ไปดราม่ากับฝรั่ง แต่ไม่ดูความจริง
ขอแสดงความเสียใจกับทีมงานผู้ผลิตหนังสั้น Apple At Work : OOO : The Underdogs นี้ด้วย
🗺️พยายามศึกษาเกี่ยวกับผู้กำกับฯ เท่าที่หาเจอ พบว่าเป็นคนมีคุณภาพ มีการศึกษา มากไปด้วยประสบการณ์ทั้งเรื่องงานและชีวิต
เป็นศิลปินแท้ๆ เป็นเหมือนพวกบ้างาน พูดน้อย ชอบทำผลงานดีๆ เป็นคนที่ละเอียดมากๆ สมองดี เป็นนักคิด
เราสงสารเขา อุตส่าห์สร้างงานดีๆ ออกมา พล็อตเรื่อง ทุกอย่าง มันลื่นไหลไปหมด และมันสอดคล้องกับโฆษนาแอ๊ปเปิ้ลชุดอื่นๆ ของเขา ส่วนผลงานอื่นๆ ของเขา แสงเงา โปรดัคชั่นรายละเอียดมันก็ออกมาแนวๆ หนังสั้นนี้ แนวการทำงานคือเขาเป็นคนที่ชอบวางพล็อตเรื่องจากความทรงจำในชีวิตของเขา
✈️ ตัวผู้กำกับ เป็นตามที่เราวิเคราะห์แต่แรก คือ เป็นรุ่น Baby Boomer หรือ Gen X เป็นคนที่เคยมาแบ็คแพ็คเก้อร์เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว
จากโปรไฟล์เขา คือออสเตรเลี่ยนที่ย้ายไปทำงานที่อังกฤษราวๆ 30 ปีที่แล้ว ยุคโน้น คนออสเตรเลี่ยนที่มีบรรพบุรุษเป็นคนอังกฤษ สามารถ
ไปทำงานที่อังกฤษได้ คนออสฯ ยุคนั้นถ้าอยากอัพโปรไฟล์ อยากก้าวหน้า นิยมไปอังกฤษ รองลงมาคืออเมริกา
คนออสเตรเลี่ยนในวงการบันเทิง ไฝ่ฝันไปทำงานฮอลลีวู้ด หรือ อังกฤษ ดำเนินรอยตามพวก เมล กิ๊บสัน, เจฟฟรี่ รัช, รัสเซลส์ โคร์ว, นิโคล คิดแมน,
เคท บลานเซ็ทท์, ไคลี่ มิโน๊ค, เจสัน โดโนแวน, บ๊าซ เลอห์มานน์, ฮิวจ์ แจ็คแม, อินเอ็กซ์เอส, มิดไนท์ออยล์, รูเพิร์ท เมอร์ด็อค, เมน แอ็ท เวิร์ค…
คนในยุคก่อน พวก Backpacker ชาวออสเตรเลี่ยน ถ้าจะไปอังกฤษ เขาจะเดินทางด้วยเครื่องบิน "เส้นทางสายจิงโจ้ The Kangaroo Route"
มี Stop-Over แถบอาเซี่ยน
🍏วิเคราะห์หนังสั้น Apple ชุด The Underdogs : (Out Of Office) : Apple At Work ที่เกี่ยวกับเมืองไทย (*ไม่ดราม่า)
ในยุคเก่า ที่เป็นการท่องเที่ยวที่มันสอนให้คนๆ นี้ (ผู้จัดทำ คนคิด ผู้กำกับ) ได้เติบโตขึ้น ได้รู้จักวัฒนธรรมที่แตกต่างจากการที่เขามาเที่ยวไทย
(ที่ส่วนใหญ่เป็นพวกฝรั่งมีการศึกษาที่เที่ยว Gap Year ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ฝรั่งเด็กๆ วัยรุ่น เที่ยวแบบโลวบัดเจ็ทยุค 20-30 ปีที่แล้วขึ้นไป
ที่สมัยนี้เป็นพ่อเป็นแม่คน อายุรุ่นปู่ย่าตายายแล้ว และเป็นใหญ่เป็นโต มีงานดีๆ ระดับสูงๆ ทำกันแทบจะทั้งหมดแล้ว ที่เขาเป็นใหญ่เป็นโต มีงานดีๆ ทำ
ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็เพราะเขาได้ออกเดินทางไปเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง ได้พบเจอผู้คนนานาชาติ ได้ฝึกการแก้ปัญหา หรือบางคน
ก็พบเนื้อคู่ระหว่างเดินทางนั่นเอง
สมัยก่อนการท่องเที่ยวแบบนี้ฮิตมาก สำหรับคนประเทศพัฒนาแล้ว อเมริกัน อังกฤษ สแกนดิเนเวีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น…มันเป็นสมัยที่โลวคอสท์แอร์ไลน์
ยังไม่แพร่หลาย กรุ๊ปทัวร์จีน ทัวร์รัสเซีย ยังไม่ครองโลก คนประเทศกำลังพัฒนายังไม่ออกเดินทางกันมากนักนอกจากคนที่มีเงินจริงๆ
หรือ ชอบเที่ยวจริงๆ)
ดูแล้วรู้เลยว่า คนที่เป็นคนหลักในการจัดทำโปรดัคชั่น เป็นมันสมองคิดทุกสิ่งทุกอย่าง กำกับหนังสั้นนี้ คือคนที่อายุ 50+ เป็นคนอเมริกัน
ที่เคยมาเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเก้อร์ในไทยตั้งแต่ยุค 80s 90s ประมาณ 25-30 ปีที่แล้วขึ้นไป ตั้งแต่ก่อนที่หนังเรื่องเดอะบีช จะทำให้วงการแบ็คแพ็คเก้อร์
เปลี่ยนไป หลายๆ อย่างของไทยยุคนั้นสำหรับพวกแบ็คแพ็คเก้อร์มันอยู่ในหนังสั้นนี้เอง
หลายๆ อย่างมันจริง และ น่ารักมากๆ ขนาดเครื่องบินยังเป็นการบินไทย มีแอร์ มีสจ๊วต มีเบาะสีๆ ของการบินไทย
(แต่เบาะสีๆ ในชั้นประหยัด นี่คือเบาะยุคหลัง ที่ส่วนใหญ่จะมีบนเครื่องเก่าๆ เช่น พวกแอร์บัสเอ 330 แต่หลังๆ การบินไทยก็ไม่ได้ใช้เบาะสีๆ แบบนี้
แล้วในชั้นประหยัดบนเครื่องใหม่ๆ)
ตรง ต.ม. ตรงศุลกากรตรงที่รับกระเป๋า คนขับแท็กซี่ การพาไปส่งโรงแรม แล้วมีการเจอแขกคนอื่นตากผ้าในห้องน้ำ ฉากที่สถานีรถไฟ การกินอาหาร ท่าเรือ การติดต่องาน ทุกอย่างมันจริงหมด หลายๆ ฉากฮาจริงๆ แต่ส่วนใหญ่มันคือสิ่งที่เกิดในยุค 25 ปีเป็นอย่างน้อย
การจัดฉากที่สนามบินมันคือ สนามบินดอนเมืองยุค 25-30 กว่าปีที่แล้วมาก ตั้งแต่ก่อนที่จะมีสนามบินสุวรรณภูมินานเลย (55 แต่มีอยู่ฉากนึง
แอบเห็นหางแอร์เอเชียด้วย)
ชอบที่เขาจัดแต่งฉากให้สีแปร๋นๆ พร็อพเยอะ คือแบ็คแพ็คเก้อร์คนนี้ นอกจากจะคุ้นเคยกับไทยในยุคนั้นแล้ว เขาน่าจะเที่ยวอินเดียเยอะด้วย
แล้วก็คงเที่ยวเวียตนาม เพราะรถมอเตอร์ไซค์สีฟ้า มีคนนั่งเยอะๆ บรรทุกของเยอะๆ นั่งคือภาพของเวียตนามในยุค 20-30 ปีที่แล้วขึ้นไป
เห็นได้ทั่วไปในฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้
คือนี่มันคนรุ่นนั้นยุคนั้นมาทำจริงๆ เพราะถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ทำ จะไม่มีการเล่าเรื่องและฉากที่ออกมาแบบนี้แน่นอน
ในปัจจุบันนี้ในไทย หลายๆ อย่าง ไม่ค่อยเป็นแบบนี้แล้ว เพราะต่างชาติมา มาเจอสนามบินสุวรรณภูมิ มันใหญ่มาก และทันสมัยกว่า
แท็กซี่สมัยนี้ไม่น่าจะพาไปส่งผิดที่แล้ว แต่สิ่งที่จะยังมีคือจะขอราคาเหมา หรือ ชวนให้เหมาเที่ยวต่อ
ส่วนเรื่องการดีลกับคนตามร้าน สมัยนี้ตามร้านอาหาร ตามโรงแรม สำหรับย่านท่องเที่ยว น่าจะแทบไม่เจอคนไทยแล้ว แต่เจอพม่า เขมร
กัมพูชา ปากีฯ เนปาล เวียตนาม ฟิลิปปินส์ (คนไทยในวงการท่องเที่ยวทำอย่างอื่น…ไม่อยากลงรายละเอียด หรือ ไปเป็นผีน้อย ตปท ได้เงินดีกว่า)
และ ถ้าเป็นฉากสมัยนี้ มันต้องมี เลดี้บอย กับ ร้านขายกัญชาด้วย แต่ยุคนั้นมันไม่เป็นแบบนี้ไง (ลืมสังเกตว่ามีสายไฟรุงรังไหม และ ฟุตบาธแย่ๆ ด้วย)
รักหนังสั้นเรื่องนี้ จะแชร์ให้เพื่อนๆ ฝรั่งคนร่วมสมัย และ คนไทยในยุคนั้นพวก Baby Boomer, Gen X, Gen Y ดู
คนแก่อย่างเราดูแล้วมันเกิดอาการ Nostalgia (อาการคุ้นเคยกับอดีต) จริงๆ
คนที่จะเข้าใจหนังสั้นเรื่องนี้มากๆ ต้องเป็นพวก Baby Boomer และ Gen X คนที่อายุ 50+ ขึ้นไป ถึงจะ Get สุดๆ
โดยเฉพาะพวกแบ็คแพ็คเก้อร์ฝรั่งจากยุค 80s, 90s หรือคนไทยจากยุคนั้นที่คุ้นเคยกับสังคมฝรั่ง
คนฝรั่งแบ็คแพ็คเก้อร์ Gen Y หรือ คนไทย Gen Y ที่คุ้นเคยกับฝรั่ง ( พวกอายุประมาณ 45+) บางคนดูแล้วก็น่าจะเข้าถึงอยู่
แต่ถ้าเป็นคนอายุน้อยๆ คน Gen ใหม่ๆ เด็กรุ่นหลังๆ ดูจะไม่เก็ต ก็อาจจะเกิดอาการดราม่าได้ คิดว่าเขาดูถูกแบบลบๆ
จริงๆ เขา “ดูถูก” แต่ดูถูกจากความทรงจำ ด้วยความรัก และ เข้าใจเมืองไทย จากในแง่มุมของฝรั่ง จากสิ่งที่เขาประสบมา
ซึ่งหลายๆ อย่างในสมัยนี้มันยังเป็นแบบนั้นจริงๆ (อย่างน้อยก็การนั่งตุ๊กๆ ที่อัดๆ กันเข้าไป นักท่องเที่ยวสมัยนี้ยังนั่งอยู่ และ อีกหลายๆ อย่าง
ที่เห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน ที่มีจริง ไม่ต้องเซ็ตฉาก)
นักแสดงเล่นเก่งทุกคน ทั้งคนฝรั่ง คนไทย (เป็นนักแสดงประเภทคนไทยเด็กนอกพูดอังกฤษเก่ง คงเป็นคนในวงการทำหนัง พวกแวดวงโปรดัคชั่น
คือให้นึกถึงการแสดงของน้อย วงพรู คนไทยแบบนั้น) คนที่เล่นเป็น ต.ม. น่าจะเป็นคนจีนอเมริกัน พวกฝั่งที่เล่นอยู่อเมริกาก็รั่ว คุยไปออกกำลังกายไป
เครื่องออกกำลังกายก็แบบก๊องแก๊ง ดัมเบลล์สีๆ เล่นได้ฮาทุกคน สมบทบาทมาก
นักท่องเที่ยวไม่ว่าจะยุคไหน เวลามาไทยเขาไม่ได้มาดูความทันสมัย โดยเฉพาะเมื่อ 25-30, 40 ปีที่แล้ว หลายๆ อย่างมันเป็นแบบในหนังสั้นเรื่องนี้จริงๆ
โปรดัคชั่นของหนังสั้นนี้ดีมาก มาตรฐานสากล แสง การถ่ายทำ นักแสดง ทุกอย่างมืออาชีพมากๆ เนื้อเรื่องก็สนุกลื่นไหลมีความต่อเนื่องชวนติดตาม
เป็นหนังสั้นที่เป็นงานศิลปะ
หมวกร่มแบบที่ฝรั่งใส่ เมื่อยุคสัก 20-30 ปีที่แล้ว กรุ๊ปทัวร์เกาหลีคนมีอายุชอบใส่ ส่วนสกิลล์การปอกสับปะรดของคนไทยแบบกรีดตาสับปะรด
ด้วยมีดแล้วทำเป็นเกลียวๆ แบบที่ฝรั่งในหนังสั้นนี้ถือ เป็นอีกสิ่งหนึ่งของคนไทยที่ฝรั่งทึ่งมากเวลาที่ดูคนไทยขายผลไม้ตามรถเข็นปอกสับปะรด
รถเข็นขายผลไม้แบบมีน้ำแข็งก้อนๆ แช่ ขายฝรั่ง แตงโม สับประรด มะม่วงดิบ มีพริกกะเกลือ สมัยนี้ไม่เห็นแล้ว 🍍
ฉากในหนังสั้น Apple นี้ ตอนที่ผู้ชายฝรั่งในกลุ่ม เข้าไปเจอฮิปปี้ตากผ้าอยู่ในห้องน้ำที่โรงแรม Sunrise Paradise มันทำให้พวกคุณนึกถึงตัวขโมยซีน
ใน Notting Hill ที่อยู่บ้านเดียวกันกับพระเอกไหมหล่ะ โดยเฉพาะฉากที่นางเอก นอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ แล้วตัวขโมยซีนนี้เดินปลดซิป
เข้าไปยืนทำธุระเบาในห้องน้ำ โดยที่ไม่เห็นนางเอก จนนางเอกต้องส่งเสียงแนะนำตัวขึ้นมาหน่ะ
การเดินทางในหนัง มีต่อรถ ต่อเรือ หลายต่อ ทุลักทุเล กว่าจะถึงที่หมาย นึกถึงหนังไทยเรื่องรถไฟฟ้ามาหานะเธอ ที่นางเอกเหมยลี่
เดินทางจากบ้านไปทำงานก็คล้ายๆ แบบนี้
ส่วนในหนังสั้น Apple ตอนจบ ที่ตัวละคร 3 ตัววิ่งขึ้นรถ ตอนจะกลับจากระยองไปขี้นเครื่อง ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Darjeeling Limited
ที่มี 3 พี่น้องเดินทางไปหาแม่ที่อินเดีย ต้องจำฉากนี้ได้ ที่ 3 พี่น้องวิ่งขึ้นรถไฟ แบบนั้นเลย เหมือนกัน
เราเชื่อว่า หนึ่งในทีมงานสำคัญที่เคยทำหนัง The Darjeeling Limited น่าจะมีส่วนในการทำหนังสั้น Apple นี้ด้วย เพราะสีสรรในหนัง
ฉาก การถ่ายทำ แสง มันคล้ายกันมากๆ ดูแล้วนึกถึงโฆษนาประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวอินเดียเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วด้วย โฆษนาชุด Incredible India!
ดูหนังสั้นนี่แล้ว นึกถึงหนังยุค 80s เรื่อง Back To The Future หรือ นึกถึงละครไทยบุพเพสันนิวาส มีอะไรเก่าๆ ใหม่ๆ ปนๆ กัน
🍎 การที่ Apple ต้องถอดหนังสั้นที่อุตส่าห์สร้างสรรค์ถ่ายทำนี้ออกไป หนังมันสนุก งี่เง่า ผจญภัย รั่ว เราคิดว่าไทยเสียโอกาสในการโปรโมตประเทศ
ผ่านแบรนด์ระดับโลกโฆษนานี้ มันอยากทำให้คนมาไทย มาแล้วเขาจะได้มาเจอทุกอย่าง ทั้งดีไม่ดี
แค่เขาเอาลงไม่กี่วัน ยอดการดูหลายล้านแล้ว ถ้ามีต่อไปเรื่อยๆ ยอดเข้าดูคงหลายร้อยล้านภายในไม่กี่เดือน
สมัยนี้ อินเตอร์เน็ตมี รีวิวมี ชาวโลกเขารู้ว่าไทยมีรถไฟฟ้า มีรถไฟใต้ดิน มีศูนย์การค้าใหญ่ๆ ทันสมัย
มีโรงแรม 4-5 ดาวดีๆ เขาไม่โง่หรอก ข้อมูลพวกนี้มันมีอยู่ทั่วไป แล้วฝรั่งที่คิดว่าคนไทยขี่ช้างไปโรงเรียน คงไม่มีแล้ว
เพราะไทยเป็นหนึ่งใน ปท อันดับต้นๆ ของโลกที่คนอยากมาเยือน ก็เพราะไทยมีครบทุกอย่างนี่แหละ ทั้งดีและไม่ดี
อะไรที่ดีๆ มันโชว์ได้เยอะ ส่วนของไม่ดี ไม่จำเป็นต้องซุกไว้ที่ไหน แต่ควรแก้ไขปรับปรุง
อยากให้คนไทยสามัคคีกัน ทุกวงการช่วยกันสร้างชาติให้ดีๆ จะได้ไม่ต้องหัวร้อน ดราม่า
เวลามีฝรั่งเขาทำโฆษนาอิงเรื่องจริง แล้วก็ไปดราม่ากับฝรั่ง แต่ไม่ดูความจริง
ขอแสดงความเสียใจกับทีมงานผู้ผลิตหนังสั้น Apple At Work : OOO : The Underdogs นี้ด้วย
🗺️พยายามศึกษาเกี่ยวกับผู้กำกับฯ เท่าที่หาเจอ พบว่าเป็นคนมีคุณภาพ มีการศึกษา มากไปด้วยประสบการณ์ทั้งเรื่องงานและชีวิต
เป็นศิลปินแท้ๆ เป็นเหมือนพวกบ้างาน พูดน้อย ชอบทำผลงานดีๆ เป็นคนที่ละเอียดมากๆ สมองดี เป็นนักคิด
เราสงสารเขา อุตส่าห์สร้างงานดีๆ ออกมา พล็อตเรื่อง ทุกอย่าง มันลื่นไหลไปหมด และมันสอดคล้องกับโฆษนาแอ๊ปเปิ้ลชุดอื่นๆ ของเขา ส่วนผลงานอื่นๆ ของเขา แสงเงา โปรดัคชั่นรายละเอียดมันก็ออกมาแนวๆ หนังสั้นนี้ แนวการทำงานคือเขาเป็นคนที่ชอบวางพล็อตเรื่องจากความทรงจำในชีวิตของเขา
✈️ ตัวผู้กำกับ เป็นตามที่เราวิเคราะห์แต่แรก คือ เป็นรุ่น Baby Boomer หรือ Gen X เป็นคนที่เคยมาแบ็คแพ็คเก้อร์เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว
จากโปรไฟล์เขา คือออสเตรเลี่ยนที่ย้ายไปทำงานที่อังกฤษราวๆ 30 ปีที่แล้ว ยุคโน้น คนออสเตรเลี่ยนที่มีบรรพบุรุษเป็นคนอังกฤษ สามารถ
ไปทำงานที่อังกฤษได้ คนออสฯ ยุคนั้นถ้าอยากอัพโปรไฟล์ อยากก้าวหน้า นิยมไปอังกฤษ รองลงมาคืออเมริกา
คนออสเตรเลี่ยนในวงการบันเทิง ไฝ่ฝันไปทำงานฮอลลีวู้ด หรือ อังกฤษ ดำเนินรอยตามพวก เมล กิ๊บสัน, เจฟฟรี่ รัช, รัสเซลส์ โคร์ว, นิโคล คิดแมน,
เคท บลานเซ็ทท์, ไคลี่ มิโน๊ค, เจสัน โดโนแวน, บ๊าซ เลอห์มานน์, ฮิวจ์ แจ็คแม, อินเอ็กซ์เอส, มิดไนท์ออยล์, รูเพิร์ท เมอร์ด็อค, เมน แอ็ท เวิร์ค…
คนในยุคก่อน พวก Backpacker ชาวออสเตรเลี่ยน ถ้าจะไปอังกฤษ เขาจะเดินทางด้วยเครื่องบิน "เส้นทางสายจิงโจ้ The Kangaroo Route"
มี Stop-Over แถบอาเซี่ยน