การที่จิตเดิมแท้ถูกเรียกว่า "อสังขตะ" มีเหตุผลสำคัญดังนี้:
1. ความหมายของอสังขตะ: คำว่า "อสังขตะ" ในภาษาบาลีหมายถึง "ไม่ถูกปรุงแต่ง" หรือ "ไม่ถูกประกอบขึ้น" ซึ่งตรงกับลักษณะของจิตเดิมแท้
2. ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง: จิตเดิมแท้ไม่ได้เกิดจากการประกอบขึ้นของเหตุปัจจัยต่างๆ แต่มีอยู่โดยธรรมชาติ
3. ไม่มีการเกิดดับ: อสังขตะไม่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เช่นเดียวกับจิตเดิมแท้ที่ไม่มีการเริ่มต้นหรือสิ้นสุด
4. ไม่ขึ้นกับเงื่อนไข: จิตเดิมแท้ไม่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหรือปัจจัยภายนอกใดๆ จึงเป็นอิสระจากการปรุงแต่ง
5. ความบริสุทธิ์ดั้งเดิม: อสังขตะสื่อถึงสภาวะที่บริสุทธิ์โดยธรรมชาติ ไม่ถูกปนเปื้อนด้วยกิเลสหรือความคิดปรุงแต่ง
การเรียกจิตเดิมแท้ว่าอสังขตะจึงเน้นย้ำถึงธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ไม่ถูกปรุงแต่ง และเป็นอิสระจากเงื่อนไขทั้งปวงของสภาวะจิตนี้
6. ความเป็นอมตะ: อสังขตะสื่อถึงสภาวะที่ไม่ตาย ไม่สลาย ซึ่งสอดคล้องกับจิตเดิมแท้ที่ไม่มีการเสื่อมสลายหรือเปลี่ยนแปลง
7. ความเป็นสัจจะสูงสุด: ในพุทธปรัชญา อสังขตะถือเป็นสัจจะสูงสุด เช่นเดียวกับจิตเดิมแท้ที่เป็นความจริงแท้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
8. ไม่มีการเคลื่อนไหว: อสังขตะไม่มีการเคลื่อนไหวหรือการกระทำใดๆ สอดคล้องกับจิตเดิมแท้ที่เป็นสภาวะนิ่ง ไม่มีการกระทำหรือปฏิกิริยา
9. ความเป็นอิสระจากเวลา: อสังขตะอยู่นอกเหนือกาลเวลา ไม่ขึ้นกับอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เช่นเดียวกับจิตเดิมแท้ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบของเวลา
10. ไม่มีลักษณะเฉพาะ: อสังขตะไม่มีลักษณะเฉพาะที่จะกำหนดหรือระบุได้ สอดคล้องกับจิตเดิมแท้ที่ไม่สามารถอธิบายหรือกำหนดด้วยคุณลักษณะใดๆ ได้อย่างสมบูรณ์
11. ความเป็นที่สุดแห่งทุกข์: ในพุทธศาสนา อสังขตะถือเป็นจุดสิ้นสุดแห่งความทุกข์ เช่นเดียวกับการเข้าถึงจิตเดิมแท้ที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
12. ไม่มีการสร้างหรือทำลาย: อสังขตะไม่ถูกสร้างขึ้นและไม่ถูกทำลาย สอดคล้องกับจิตเดิมแท้ที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นและไม่สามารถถูกทำลายได้
การเข้าใจความเป็นอสังขตะของจิตเดิมแท้ช่วยให้เราเห็นถึงธรรมชาติที่ลึกซึ้งและเหนือการปรุงแต่งของสภาวะจิตนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าแนวคิดนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและยากที่จะเข้าใจด้วยเหตุผลหรือตรรกะธรรมดา การเข้าถึงประสบการณ์ตรงผ่านการปฏิบัติจึงเป็นวิธีที่สำคัญในการเข้าใจสภาวะนี้อย่างแท้จริง
การที่จิตเดิมแท้ถูกเรียกว่า "อสังขตะ"
1. ความหมายของอสังขตะ: คำว่า "อสังขตะ" ในภาษาบาลีหมายถึง "ไม่ถูกปรุงแต่ง" หรือ "ไม่ถูกประกอบขึ้น" ซึ่งตรงกับลักษณะของจิตเดิมแท้
2. ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง: จิตเดิมแท้ไม่ได้เกิดจากการประกอบขึ้นของเหตุปัจจัยต่างๆ แต่มีอยู่โดยธรรมชาติ
3. ไม่มีการเกิดดับ: อสังขตะไม่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เช่นเดียวกับจิตเดิมแท้ที่ไม่มีการเริ่มต้นหรือสิ้นสุด
4. ไม่ขึ้นกับเงื่อนไข: จิตเดิมแท้ไม่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหรือปัจจัยภายนอกใดๆ จึงเป็นอิสระจากการปรุงแต่ง
5. ความบริสุทธิ์ดั้งเดิม: อสังขตะสื่อถึงสภาวะที่บริสุทธิ์โดยธรรมชาติ ไม่ถูกปนเปื้อนด้วยกิเลสหรือความคิดปรุงแต่ง
การเรียกจิตเดิมแท้ว่าอสังขตะจึงเน้นย้ำถึงธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ไม่ถูกปรุงแต่ง และเป็นอิสระจากเงื่อนไขทั้งปวงของสภาวะจิตนี้
6. ความเป็นอมตะ: อสังขตะสื่อถึงสภาวะที่ไม่ตาย ไม่สลาย ซึ่งสอดคล้องกับจิตเดิมแท้ที่ไม่มีการเสื่อมสลายหรือเปลี่ยนแปลง
7. ความเป็นสัจจะสูงสุด: ในพุทธปรัชญา อสังขตะถือเป็นสัจจะสูงสุด เช่นเดียวกับจิตเดิมแท้ที่เป็นความจริงแท้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
8. ไม่มีการเคลื่อนไหว: อสังขตะไม่มีการเคลื่อนไหวหรือการกระทำใดๆ สอดคล้องกับจิตเดิมแท้ที่เป็นสภาวะนิ่ง ไม่มีการกระทำหรือปฏิกิริยา
9. ความเป็นอิสระจากเวลา: อสังขตะอยู่นอกเหนือกาลเวลา ไม่ขึ้นกับอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เช่นเดียวกับจิตเดิมแท้ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบของเวลา
10. ไม่มีลักษณะเฉพาะ: อสังขตะไม่มีลักษณะเฉพาะที่จะกำหนดหรือระบุได้ สอดคล้องกับจิตเดิมแท้ที่ไม่สามารถอธิบายหรือกำหนดด้วยคุณลักษณะใดๆ ได้อย่างสมบูรณ์
11. ความเป็นที่สุดแห่งทุกข์: ในพุทธศาสนา อสังขตะถือเป็นจุดสิ้นสุดแห่งความทุกข์ เช่นเดียวกับการเข้าถึงจิตเดิมแท้ที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
12. ไม่มีการสร้างหรือทำลาย: อสังขตะไม่ถูกสร้างขึ้นและไม่ถูกทำลาย สอดคล้องกับจิตเดิมแท้ที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นและไม่สามารถถูกทำลายได้
การเข้าใจความเป็นอสังขตะของจิตเดิมแท้ช่วยให้เราเห็นถึงธรรมชาติที่ลึกซึ้งและเหนือการปรุงแต่งของสภาวะจิตนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าแนวคิดนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและยากที่จะเข้าใจด้วยเหตุผลหรือตรรกะธรรมดา การเข้าถึงประสบการณ์ตรงผ่านการปฏิบัติจึงเป็นวิธีที่สำคัญในการเข้าใจสภาวะนี้อย่างแท้จริง