JJNY : โชห่วยปิด ซูเปอร์มาร์เก็ตจีนเปิด│พิษศก.กำลังซื้อวูบ│ทสท.อัดรัฐ ทุ่มงบดิจิทัลวอลเล็ต│โลกร้อนทุบสถิติเป็นครั้งที่ 2

วิตกกังวล ร้านโชห่วยปิดแน่ ซูเปอร์มาร์เก็ตจีนเปิด กระทบหนัก กิจการเตรียมเจ๊งหลายราย
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_777777853033
 
 
นครราชสีมา วิตกกังวล เจ้าของโชว์ห่วยยัน “ซูเปอร์มาเก็ตจีน” เปิดกระทบแน่ เตรียมปิดตัวลงหลายราย จี้รัฐเร่งอุ้มโชว์ห่วยไทย ก่อนหมดลมหายใจ
 
25 ก.ค. 67 – จากกรณีที่มีป้ายโฆษณาภาษาจีน โผล่ใจกลางเมืองนครราชสีมา โดยเป็นป้ายไวนิลขนาดใหญ่ ติดอยู่บนอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 2 คูหา ริมถนนราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
 
ห่างจากลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี หรือลานย่าโม ประมาณ 500 เมตร โดยในป้ายมีข้อความภาษาจีน ซึ่งแปลออกมาเป็นภาษาไทยว่า “ซูเปอร์มาเก็ตจีน ธุรกิจหลัก อาหารจีน ขนม เครื่องปรุงรส อาหารแห้ง อาหารแช่แข็ง และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
 
พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ทิ้งท้าย โดยมีภาษาไทยแค่คำว่า “ซูเปอร์มาเก็ตจีน” เท่านั้น ซึ่งชาวโคราช ต่างพากันถ่ายภาพและแชร์ต่อๆ กันในโลกโซเชี่ยล พร้อมกับวิพากษ์วิจารกันอย่างกว้างขวาง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
 
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครราชสีมา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวนครราชสีมา ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบซุปเปอร์มาร์เก็ตจีนดังกล่าว แต่พบว่าช่วงเช้ายังปิดประตูอยู่ จึงยังไม่สามารถเข้าไปดูภายในร้านได้ โดยทราบว่า ร้านมีเวลาเปิด ระหว่างเวลา 10.00 – 21.00 น.
 
โดยจะมีพนักงานดูแลอยู่ 1 คน ภายในร้านมีการจัดชั้นวางสินค้าหลากหลาย โดยเฉพาะเครื่องปรุงรส เครื่องปรุงหม่าล่า อาหารแห้ง และขนมขบเคี้ยว 
เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดเป็นสินค้านำเข้าจากประเทศจีน แต่มีบริษัทไทยเป็นตัวแทนนำเข้าสินค้า และยังพบว่า ซูเปอร์มาเก็ตจีนยี่ห้อนี้ มีมาเปิดสาขาที่ จ.นครราชสีมาแล้ว 2 สาขา โดยอีกหนึ่งสาขาอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง และยังมีสาขาอีกหลายสิบสาขาอยู่ใจกลางเมืองของจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ
 
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นของผู้ค้ารายย่อย ในตลาดสดแม่กิมเฮง ซึ่งอยู่ในละแวกใกล้กันกับจุดที่เปิดซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน พบว่าบรรดาพ่อค้า แม่ค้า ต่างรู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนายเพชร ลานอก อายุ 52 ปี ซึ่งเปิดร้านโชว์ห่วยอยู่ในตลาดแม่กิมเฮง ที่มีสินค้าอุปโภคบริโภคคล้ายกับสินค้าที่ซูเปอร์มาเก็ตจีนมาเปิด เช่น อาหาร, บะหมี่จีน, ขนม, เครื่องปรุงรส, อาหารแห้ง, อาหารแช่แข็ง และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
 
เมื่อทราบข่าวก็รู้สึกวิตกกังวลกลัวว่า จะได้รับผลกระทบโดยตรง จนลูกค้าหายไปหมด โดยนายเพชร กล่าวว่า ตอนนี้เศรษฐกิจในพื้นที่ก็แย่อยู่แล้ว แต่ละวันในตลาดเงียบมาก พ่อค้า แม่ค้า ต่างก็บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า เศรษฐกิจซบเซา ถ้าร้านซูเปอร์มาเก็ตจีน นำสินค้าจากประเทศจีนเข้ามาขายแข่งอีก ร้านค้าของคนไทยจะตายกันหมดแน่ เพราะต้นทุนของเขาถูกกว่าเรามาก สินค้าประเภทเดียวกันสามารถขายในราคาถูกกว่า คนก็จะแห่ไปซื้อของจีนหมด
 
ปัจจุบันนี้ เฉพาะมีร้านสะดวกซื้อมาเปิดใกล้ๆ ร้านของตนเองก็ถูกแย่งลูกค้าไปมากแล้ว เพราะทุนของเราก็มีน้อย ถ้าร้านขายของจีนมาเปิดอีกลูกค้าคงจะหายไปหมดแน่
 
จึงอยากให้รัฐบาลช่วยควบคุมดูแลไม่ให้ทุนจีนเหล่านี้เข้ามาแบบเสรีแบบนี้ เช่น อาจจะมีการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ช่วยให้เขาขายสินค้าได้เฉพาะบางประเภทเท่านั้น อย่าให้ขายสินค้าเหมือนกับคนไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยคนไทยสามารถอยู่ได้ แต่ถ้าปล่อยให้มาขายสินค้าเหมือนคนไทยทั้งหมด สงสัยตนเองคงจะต้องปิดร้าน แล้วไปเป็นลูกน้องคนจีนจะดีกว่า



พิษเศรษฐกิจ กำลังซื้อวูบ ครึ่งปี’67 อสังหาฯ แบกสต๊อกอ่วม เปิดตัวลดลง 30%
https://www.matichon.co.th/economy/news_4698985

พิษเศรษฐกิจ กำลังซื้อวูบ ครึ่งปี’67 อสังหาฯ แบกสต๊อกอ่วม เปิดตัวลดลง 30%
 
เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอ สเตท แอฟแฟร์ส จำกัด(AREA)เปิดเผยว่าภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยในครึ่งปีแรก 2567 การเปิดตัวโครงการใหม่ มีจำนวนโครงการลดลง มูลค่าโครงการลดลง ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น แต่จำนวนหน่วยขายลดลง โดยการพัฒนาแยกเป็น 2 กลุ่มหลักคือ กลุ่มระดับกลางถึงค่อนข้างสูงที่มีระดับราคาขายไม่เกิน 5 ล้านบาท และกลุ่มที่มีระดับราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป

นายโสภณกล่าวว่า โดยพบว่าตั้งแต่มกราคม-มิถุนายน 2567 มีจำนวนโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด 191 โครงการ เป็นโครงการประเภทที่อยู่อาศัย 189 โครงการ และโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ 2 โครงการ มีจำนวนหน่วยขายในตลาดรวมกันทั้งหมด 33,461 หน่วย มูลค่าการพัฒนารวม 211,516 ล้านบาท มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยที่ 6.321 ล้านบาท โดยเดือนมีนาคมเป็นเดือนที่มีจำนวนโครงการมากที่สุด 55 โครงการ จำนวน 8,998 หน่วย และมูลค่าโครงการ 58,481 ล้านบาท เนื่องจากมีการเปิดขายแนวราบและอาคารชุดราคาปานกลางไปถึงราคาสูงเป็นจำนวนมาก
 
ส่วนราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 มีราคาขายเฉลี่ยที่ 6.321 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ราคาเฉลี่ย 5.531 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.3% หากพิจารณาเฉพาะราคาเฉลี่ยของกลุ่มที่อยู่อาศัยจะมีราคาเฉลี่ยที่ 6.317 ล้านบาท และถ้าเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ จะมีราคาเฉลี่ยที่ 14.713 ล้านบาท” นายโสภณกล่าว

นายโสภณกล่าวว่า ทั้งนี้มีข้อสังเกตสำคัญ คือ 1.การเปิดตัวใหม่ของที่อยู่อาศัยกลางปี 2567 นี้มีจำนวนหน่วยขายลดลง 14,446 หน่วย เมื่อเปรียบเทียบกับกลางปี 2566 หรือลดลง -30.2% เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว ดีมานด์ไม่มีกำลังซื้อ มีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง เลยทำให้ผู้ประกอบการเปิดโครงการใหม่จำนวนเฉลี่ยต่อโครงการเล็กลง จำนวนหน่วยขายในครึ่งปีแรกจึงลดลง
 
2. มูลค่าของโครงการที่เปิดใหม่กลางปี 2567 มีมูลค่าโครงการรวม 211,279 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าลดลงจากกลางปี 2566 ที่จำนวน 214,075 ล้านบาท หรือลดลง -1.3% ของมูลค่าโครงการที่เปิดใหม่กลางปี 2567 และราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 14.6% โดยกลางปี 2566 มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วย 4.470 ล้านบาท และกลางปี 2567 ราคาเฉลี่ยต่อหน่วยอยู่ที่ 6.317 ล้านบาท
 
การปรับเพิ่มขึ้นของราคาขายเฉลี่ยมากถึง 41.3% เนื่องจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้หันมาพัฒนาสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวราคาแพงมากขึ้น เพื่อรองรับดีมานด์ที่มีกำลังจ่ายสูง ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่หันมาสนใจซื้อบ้านแพงในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

3. จำนวนหน่วยที่เปิดขายมีจำนวนลดลง 30.2% แต่สัดส่วนมูลค่าการลงทุนลดลงเพียง 1.3% ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 41.3% ส่วนยอดขายก็ลดจากกลางปี 2566 ประมาณ 31.3% เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อหดตัว ทำให้คนซื้อบ้านชะลอการตัดสินใจซื้อ
 
ยังพบอีกว่าเฉพาะที่เปิดใหม่กลางปี 2567 บริษัทมหาชนเปิดตัวโครงการใหม่รวมกันมีมูลค่า 113,897 ล้านบาท คิดเป็น 54% และบริษัทในเครืออีก 54,303 ล้านบาท คิดเป็น 26% แสดงว่าบริษัทมหาชนรวมกับบริษัทในเครือมีมูลค่ามากถึง 168,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 80% ”นายโสภณกล่าว
 
นายโสภณ กล่าวว่า ขณะที่หน่วยรอขายอยู่ในมือของผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินทั้งหมดในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ณ กลางปี 2567 มีจำนวน 234,628 หน่วย เพิ่มขึ้นจากกลางปี 2566 ที่มียอดคงค้าง 219,652 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 14,976 หน่วยหรือ 6.8% ในแง่ของมูลค่าการพัฒนาของโครงการที่ยังรอการขายกลางปี 2566 มีมูลค่ารวมกัน 1,018,581 ล้านบาท พอมาถึงกลางปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 1,230,512 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20.8% การที่ตัวเลขของมูลค่าสินค้าเหลือขายเพิ่มสูงขึ้น เป็นเพราะราคาที่อยู่อาศัยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 13% และราคาที่อยู่อาศัยที่เปิดใหม่ในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2567 เฉลี่ยสูงถึง 6.217 ล้านบาท จึงทำให้มูลค่าเหลือขายสูงขึ้น
 
“เมื่อพิจารณาหน่วยรอขายสะสม ณ กลางปี 2567 แบ่งเป็นห้องชุด 80,507 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์ 77,422 หน่วย บ้านเดี่ยว 47,699 หน่วย บ้านแฝด 25,632 หน่วย ตึกแถว 2,760 หน่วย ที่ดินจัดสรร 608 หน่วย โดยราคา 2-3 ล้านบาทเหลือมากสุด 71,886 หน่วย รองลงมาราคา 3-5 ล้านบาท 54,857 หน่วย และคาดว่าจะใช้ระยะเวลาขาย 45-47 เดือน” นายโสภณกล่าว.



ไทยสร้างไทย อัดรัฐ ทุ่มงบดิจิทัลวอลเล็ต สร้างหนี้มหาศาล
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_751133/

ไทยสร้างไทย อัดรัฐ ทุ่มงบดิจิทัลวอลเล็ต สร้างหนี้มหาศาลระยะยาว จี้กระตุ้นจีดีพี ขยายตัวโดยรัฐเท่าเม็ดเงินที่แจก
 
นายนพดล มังกรชัย รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย มองว่าการนำเงินงบประมาณ  450,000 ล้านบาท ไปใช้ลงทุนในโครงการเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท จะก่อให้เกิดภาระทางการคลังมหาศาลในระยะยาว ทำให้หนี้สาธารณะคงค้างในอนาคตของไทยพุ่งเกินกรอบวินัยการเงินการคลัง หรือเกินกว่า 70% ของ GDP
 
ข้อมูลล่าสุด 31 มี.ค. 2567 ไทยมียอดหนี้สาธารณะคงค้างอยู่ที่ 11.47 ล้านล้านบาท(หรือ 63.67% ของ GDP) หากมีการใช้เงิน 450,000 ล้านบาท เพื่อแจกในโครงการดิจิทัล วอลเล็ตไปคาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่67% ของ GDP เข้าใกล้เพดาน 70% แบบฉิวเฉียด เมื่อไปถึงจุดนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อวินัยทางการคลังของรัฐบาลที่ต้องตามชำระหนี้ในระยะยาว ส่งมอบมรดกให้ลูกหลานคนไทยต้องรับภาระหนี้ไปอีกนาน ทั้งยังส่งผลให้ความสามารถในการดำเนินนโยบายการคลังอื่นของรัฐบาลลดลงอย่างแน่นอน
 
หลายหน่วยงาน รวมถึง ธปท.เคยออกมาเตือนว่าการเดินหน้านโยบายเสี่ยงทำให้งบประมาณไม่เพียงพอในภาวะฉุกเฉิน การเพิ่มวงเงินกู้ปีงบประมาณ 2568 จนเกือบเต็มกรอบที่กฎหมายกำหนดทำให้เหลือวงเงินกู้ได้อีกราว 5,000 ล้านบาท เทียบกับวงเงินคงเหลือเฉลี่ยในปีก่อนหน้า ที่มากกว่า 100,000 ล้านบาท นอกจากนี้ การจัดสรรวงเงินจากงบประมาณปี 2567 ทำให้งบกลางสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตัวเลขลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จนอาจไม่เพียงพอรองรับกรณีฉุกเฉิน
 
นายนพดล ระบุด้วยว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจให้รายได้ประชาชาติ (GDP) ขยายตัวโดยรัฐแจกเงินจำนวน 450,000 ล้านบาท เข้าไปในระบบเป็นการคาดหวังที่เกินจริงไปมาก เพราะปัจจุบันมีข้อมูลเชิงประจักษ์จากงานวิจัย ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวทวีคูณทางการคลัง (fiscal multiplier) ที่เกิดจากการใช้จ่ายของรัฐในลักษณะเงินโอนหรือการแจกเงินมีค่าน้อยกว่า 1% ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับตัวทวีคูณของการใช้จ่ายผ่านเงินเครดิตประชาชน และการแก้หนี้เติมทุนอย่างเป็นระบบ
 
รัฐบาลแจกเงิน 10,000 บาท โดย“ต้องกู้มาแจก” แม้ว่าขณะนี้จะลดวงเงินเหลือ 450,000 ล้านบาท เพราะใกล้ชนเพดานเงินกู้ แต่เงินที่จะกู้มาแจกนี้สูงถึง 450,000 ล้านบาทหรือเท่ากับ 2.5% ของ GDP โดยรัฐบาลบอกว่าจะสามารถ เพิ่ม GDP ได้ 1.2-1.8% และจะเป็นการโตเพียงช่วงสั้นๆ เพราะเป็นการแจกเงินที่ใช้แล้วหมดไป ไม่ได้ทำให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ หรือปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน สุดท้ายอาจได้ไม่คุ้มเสีย เพราะเงินกู้จำนวน 450,000 ล้านบาท จะเป็นภาระหนี้ให้กับประเทศและคนไทยไปชั่วลูกชั่วหลาน
  
ตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลกลับมาทบทวนปัญหาที่แท้จริง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก SMEs จำนวนมาก เป็นหนี้ท่วมหัวและกำลังจะเข้าสู่ภาวะหนี้เสียและล้มละลายในที่สุด วิกฤติครั้งนี้ไม่ใช่แค่วิกฤติเศรษฐกิจ แต่เป็นวิกฤติชีวิตของคนจำนวนมาก ปัญหาชีวิตเกิดกับคนรากหญ้า คนทำมาหากินระดับล่าง ผู้ประกอบการ SMEs รายเล็กรายย่อย เศรษฐีหรือบริษัทใหญ่ๆ ไม่มีปัญหา ไม่ได้รับผลกระทบ
 
ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องให้ความสำคัญมาแก้ปัญหาให้คนตัวเล็กเหล่านั้น ทำให้เขาสามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ เข้ามาแก้ปัญหาปรับโครงสร้างหนี้ ต่อชีวิตให้เขาเหล่านั้น ทำให้สามารถทำมาหากินต่อไปได้ เอาเงินมา แก้หนี้ – เติมทุน ปรับโครงสร้างหนี้ และมอบ เครดิตให้ประชาชน ปรับเปลี่ยนกระบวนการสินเชื่อให้ผ่อนคลาย ให้ประชา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่