วุ่นทั้งอำเภอ แม่ค้าโพสต์ขายปลาหมอคางดำ เร่งตรวจสอบ หวั่นหลุดลงแหล่งน้ำ ขยายพันธุ์ปัญหาลุกลาม.
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_777777852955
นครราชสีมา วุ่นทั้งจังหวัด แม่ค้าโพสต์ขายปลาหมอคางดำ เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบ หวั่นหลุดลงแหล่งน้ำ ขยายพันธุ์ เกิดปัญหาลุกลาม ย้ำห้ามนำเข้าโคราชเด็ดขาด
24 ก.ค. 67 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์รูปภาพปลาหมอคางดำจำนวนหนึ่งถูกเทใส่กะลามัง พร้อมข้อความว่า “ปลาหมอคางดำมาแรง หนูมิ้นเองก็มีมาขายให้กับลูกค้าที่อยากทานนะคะ”
ก่อนที่จะแชร์โพสต์ลงไปในกลุ่มเฟซบุ๊ก ใช้ชื่อกลุ่มว่า “
ครบุรีที่รัก V.3” เป็นกลุ่มเฟซบุ๊กที่เปิดให้โพสต์แชร์เรื่องราวต่างๆ ในพื้นที่อำเภอครบุรี จ.นครราชสีมา อย่างอิสระ มีสมาชิกในกลุ่มกว่า 8 หมื่นคน
จนทำให้เกิดเป็นประแสข้อความคอมเมนต์เข้าไปในโพสต์อย่างหลากหลาย ซึ่งมีทั้งโพสต์ที่อยากจะติดต่อซื้อ และโพสต์ที่แสดงความวิตกกังวลและสงสัยเกี่ยวกับการนำปลาหมอคางดำมาจำหน่าย ว่าเป็นปลาหมอที่ได้มาจากในพื้นที่หรือต่างพื้นที่ มีชีวิตหรือไม่มี และอาจจะเกิดปัญหาหาทำให้เกิดหลุดไปในแหล่งน้ำในพื้นที่และขยายพันธุ์จนเป็นปัญหาลุกลามได้หรือไม่
นาย
พีรวัฒน์ ธีระวัฒนา นายอำเภอครบุรี จ.นครราชสีมา มอบหมายให้ทาง นาย
นรินทร์ อติวีไร และนาย
ขจรศักดิ์ ญวนกระโทก ปลัดอำเภอครบุรี ตรวจสอบหาตัวบุคคลที่โพสต์ขายปลาหมอคางดำดังกล่าว ทราบชื่อ คือ น.ส.มินตรา น้อยจริง อายุ 35 ปี ชาวบ้านหนองสาระเสร็จ หมู่ที่ 18 ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา
ก่อนจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่บ้านพัก เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง และได้รับคำตอบจากตัวผู้โพสต์ว่า ได้เห็นมีการโพสต์ขายปลาหมอคางดำตัวที่ตายแล้วมาจากกลุ่มการซื้อขายอาหารทะเลในกลุ่มเฟสบุ๊กกลุ่มหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี ในราคากิโลกรัมละ 15 บาท จึงคิดว่าอยากจะติดต่อมาทดลองขายในพื้นที่ จึงได้ก๊อปปี้รูปภาพจากกลุ่มดังกล่าวมาโพสต์ เพื่อรับออเดอร์ แต่เมื่อจะติดต่อรับมาขายกลับได้รับคำตอบว่าของหมดแล้ว จึงยังไม่ได้นำปลาหมอคางดำเข้ามาในพื้นที่แต่อย่างใด
น.ส.
มินตรา เล่าว่า ตัวเองเพียงแค่ก๊อปปี้ภาพจากกลุ่มซื้อขายอาหารทะเลสด มาลองโพสต์สอบถามความเห็น เพื่อจะลองรับออเดอร์ปลาหมอคางดำมาทดลองจำหน่ายในพื้นที่ เพื่อหารายได้ตามประสาแม่ค้าทั่วไป เพราะเห็นว่า ราคาถูกอาจจะทำกำไรได้บ้าง ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในกระแสความสนใจของประชาชน
อีกทั้งเห็นว่าเป็นปลาเอเลี่ยนสปีซี่ส์ที่ทุกคนกำลังต้องการจะกำจัด จึงอยากช่วยระบายปลาอีกทางหนึ่ง เพราะตัวเอง รับอาหารสดต่างๆ มาขายเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ จึงอยากขอโทษ ที่ทำให้หลายฝ่ายกังวล ยืนยันว่า ไม่มีเจตนาจะนำมาสร้างความเดือดร้อนให้กับพื้นที่ และยังไม่ไดรับมาแม้แต่ตัวเดียว
นาย
นรินทร์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ไม่พบว่ามีการนำปลาหมอคางดำเข้ามาในพื้นที่แต่อย่างได้ ซึ่งจากการสอบถามผู้โพสต์ขายปลาหมอคางดำคนดังกล่าวทราบว่า กำลังจะติดต่อสั่งซื้อซากปลาหมอคางดำจากกลุ่มขายอาหารสด แต่ยังไม่ได้ตกลงซื้อขายกันหรือนำเข้ามา
ดังนั้นให้สังคมและคนในพื้นที่อำเภอครบุรีสบายใจได้ ว่าตอนนี้ยังไม่มีใครนำปลาหมอคางดำเข้ามาในพื้นที่ รวมถึงจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการพบปลาหมอชนิดนี้ทั้งตามตลาดหรือแหล่งน้ำในพื้นที่แต่อย่างใด
อยากจะขอความร่วมมือไปยังบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทุกๆ คนว่า อย่าได้นำปลาหมอคางดำเข้ามาในพื้นที่อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม จนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้ออกมา ทั้งนี้ก็เพื่อความสบายใจของทุกๆคน
หนุ่มจีน ขึ้นป้ายโฆษณาขายพาสปอร์ต มีหมายจับจีน ตร.เร่งส่งกลับ คุกเมีย 4 เดือน ไร้ใบอนุญาตทำงาน
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4698969
หนุ่มจีน ขึ้นป้ายโฆษณาขายพาสปอร์ต มีหมายจับที่จีน ตร.เร่งส่งกลับ คุกเมีย 4 เดือน ไร้ใบอนุญาตทำงาน
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.
อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ท.
ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.
พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.
นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.
ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พล.ต.ต.
ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.
รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.
ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.
ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. ร่วมกันสั่งการให้ ชุดสืบสวน บก.สส.สตม. และชุดสืบสวน บก.สส.บช.น. สืบสวนขยายผล กรณีมีผู้ติดตั้งป้ายโฆษณาภาษาจีนที่บริเวณแยกห้วยขวาง กรุงเทพฯ
ต่อมาพบว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องคือ นาย
ซิน หลิง (MR.QIN LIN) อายุ 33 ปี สัญชาติจีน ซึ่งเกี่ยวข้องเป็นสามีของ นาง
ซู น่า (MRS.XU NA) อายุ 35 ปี สัญชาติจีน จากการสืบสวนทราบว่า นายซิน หลิง เป็นบุคคลตามหมายจับของประเทศจีน
ข้อหา ซื้อขายบัตรประจำตัว และเป็นบุคคลที่ทางการประเทศจีนต้องการตัวเพื่อดำเนินคดี ชุดสืบสวน สตม. จึงลงระบบเฝ้าระวังของ สตม. และขออนุมัติเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวของ นาย
ซิน หลิง ไว้แล้ว
ต่อมาตรวจพบว่า นาย
ซิน หลิง กำลังจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรทางช่องทางท่าอากาศยานดอนเมือง ชุดสืบสวนจึงเข้าตรวจสอบ พบนาย
ซิน หลิง จึงแจ้งให้ นาย
ซิน หลิง ทราบว่า ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวแล้ว จากนั้นจึงนำตัว นาย
ซิน หลิง
ส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
จากการขยายผลพบว่า นาย
ซิน หลิง เกี่ยวข้องเป็นสามีของ นาง
ซู น่า โดยจากการตรวจสอบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ในโทรศัพท์ของนาย
ซิน หลิง พบว่ามีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับหมายเลขโทรศัพท์ที่ประกาศบนป้ายโฆษณาภาษาจีนที่บริเวณแยกห้วยขวาง กรุงเทพฯ อีกทั้งจากการซักถามปากคำ นาง
ซู น่า รับว่านำโทรศัพท์มือถือของสามีไปใช้เพื่อเตรียมตัวติดต่อกับลูกค้าที่จะมาใช้บริการทำหนังสือเดินทางตามที่ประกาศไว้บนป้ายโฆษณา แต่ยังไม่มีลูกค้าติดต่อมาแต่อย่างใด
ส่วนของนาง
ซู น่า เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พนักงานสอบสวน บก.สส.สตม. นำตัวฟ้องดำเนินคดีต่อ ศาลแขวงพระนครเหนือ ข้อหา “
เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษา ลงโทษจำคุก 4 เดือน ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุก รอลงอาญา 1 ปี ตามคดีดำที่ อ.4242/2567 คดีแดงที่ อ.4259/2567 จากนั้นจึงได้ทำการลงระบบบุคคลต้องห้ามของ สตม. (Blacklist) ห้ามเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ส่วนนาย
ซิน หลิง ขณะนี้อยู่ระหว่างผลักดันออกนอกราชอาณาจักร
ค่าไฟโรงเรียนพุ่ง ยอดสูงเดือนละ 1 ล้านบาท ศธ.เร่งหารือติดโซลาเซลล์ลดค่าใช้จ่าย
https://ch3plus.com/news/economy/ch3onlinenews/409883
ค่าไฟหลายโรงเรียนพุ่ง ยอดสูงเดือนละ 1 ล้านบาท เร่งแก้ปัญหาติดโซลาเซลล์ ลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค
นาย
สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า พบปัญหาค่าสาธารณูปโภคของโรงเรียนหลายแห่งพุ่งสูงมาก เช่น โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ มียอดค่าไฟฟ้าสูงถึงเดือนละกว่า 1 ล้านบาท ขณะนี้กำลังรวบรวมปัญหาค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้านสาธารณูปโภคของสถาบันการศึกษา เนื่องจากมีการตั้งคำขอเบิกจ่ายงบประมาณชำระหนี้ในหมวดนี้จากโรงเรียนหลายแห่ง ซึ่งพบยอดรวมถึง 10 ล้านบาท
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า โรงเรียนขนาดใหญ่บางแห่งได้รับเงินอุดหนุนปีละ 15 ล้านบาท แต่ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายอยู่ที่ปีละประมาณ 12 ล้านบาท จึงทำให้เหลือเงินที่จะใช้พัฒนาคุณภาพการศึกษาไม่กี่ล้านบาท ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กแทบไม่เหลือเงินใช้จ่ายในด้านอื่นๆเลย ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ปัญหาให้ได้
สำหรับการตัดลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคของโรงเรียนไม่ใช่เพียงแค่การลดค่าไฟฟ้าเท่านั้น แต่รวมไปถึงค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ระบบน้ำประปา น้ำดื่มสะอาดในโรงเรียน ค่าโทรศัพท์ และระบบสัญญาณอินเตอร์เน็ตโรงเรียน รวมไปถึงการดูแลระบบไฟฟ้าในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลตามเกาะแก่งต่างๆ ด้วย
สำหรับการนำพลังงานสะอาด หรือโซลาเซลล์มาใช้ เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้าในโรงเรียนต่างๆ เพราะสามารถลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคได้ถึง 25-30% ในโรงเรียนย่อมส่งผลให้เงินค่าสาธารณูปโภคที่จะต้องจ่ายไปอุดหนุนให้แก่นักเรียน และพัฒนาการสอนเพิ่มเติมได้ด้วย
คณะทำงานกำลังรวบรวมรายเอียดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคในหมวดค่าไฟฟ้าของโรงเรียนแต่ละขนาด หลังจากนั้นจะนำข้อมูลมารวมกันเพื่อจัดทำแบบฟอร์มการบริหารจัดการด้านค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค โดยแบ่งเป็นกลุ่มโรงเรียนสีแดง สีเหลือง และสีเขียว ในการลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้อย่างตรงจุดพร้อมกับจัดลำดับความสำคัญว่าโรงเรียนไหนมีความจำเป็นเร่งด่วนในการขอความร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการติดตั้งพลังงานสะอาดหรือโซลาเซลล์เป็นลำดับแรกด้วย
JJNY : วุ่นทั้งอำเภอ แม่ค้าโพสต์ขายปลาหมอคางดำ│หนุ่มจีนขึ้นป้าย มีหมายจับจีน│ค่าไฟโรงเรียนพุ่ง│ลาวไฟเขียวโครงการทางด่วน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_777777852955
นครราชสีมา วุ่นทั้งจังหวัด แม่ค้าโพสต์ขายปลาหมอคางดำ เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบ หวั่นหลุดลงแหล่งน้ำ ขยายพันธุ์ เกิดปัญหาลุกลาม ย้ำห้ามนำเข้าโคราชเด็ดขาด
24 ก.ค. 67 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์รูปภาพปลาหมอคางดำจำนวนหนึ่งถูกเทใส่กะลามัง พร้อมข้อความว่า “ปลาหมอคางดำมาแรง หนูมิ้นเองก็มีมาขายให้กับลูกค้าที่อยากทานนะคะ”
ก่อนที่จะแชร์โพสต์ลงไปในกลุ่มเฟซบุ๊ก ใช้ชื่อกลุ่มว่า “ครบุรีที่รัก V.3” เป็นกลุ่มเฟซบุ๊กที่เปิดให้โพสต์แชร์เรื่องราวต่างๆ ในพื้นที่อำเภอครบุรี จ.นครราชสีมา อย่างอิสระ มีสมาชิกในกลุ่มกว่า 8 หมื่นคน
จนทำให้เกิดเป็นประแสข้อความคอมเมนต์เข้าไปในโพสต์อย่างหลากหลาย ซึ่งมีทั้งโพสต์ที่อยากจะติดต่อซื้อ และโพสต์ที่แสดงความวิตกกังวลและสงสัยเกี่ยวกับการนำปลาหมอคางดำมาจำหน่าย ว่าเป็นปลาหมอที่ได้มาจากในพื้นที่หรือต่างพื้นที่ มีชีวิตหรือไม่มี และอาจจะเกิดปัญหาหาทำให้เกิดหลุดไปในแหล่งน้ำในพื้นที่และขยายพันธุ์จนเป็นปัญหาลุกลามได้หรือไม่
นายพีรวัฒน์ ธีระวัฒนา นายอำเภอครบุรี จ.นครราชสีมา มอบหมายให้ทาง นายนรินทร์ อติวีไร และนายขจรศักดิ์ ญวนกระโทก ปลัดอำเภอครบุรี ตรวจสอบหาตัวบุคคลที่โพสต์ขายปลาหมอคางดำดังกล่าว ทราบชื่อ คือ น.ส.มินตรา น้อยจริง อายุ 35 ปี ชาวบ้านหนองสาระเสร็จ หมู่ที่ 18 ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา
ก่อนจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่บ้านพัก เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง และได้รับคำตอบจากตัวผู้โพสต์ว่า ได้เห็นมีการโพสต์ขายปลาหมอคางดำตัวที่ตายแล้วมาจากกลุ่มการซื้อขายอาหารทะเลในกลุ่มเฟสบุ๊กกลุ่มหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี ในราคากิโลกรัมละ 15 บาท จึงคิดว่าอยากจะติดต่อมาทดลองขายในพื้นที่ จึงได้ก๊อปปี้รูปภาพจากกลุ่มดังกล่าวมาโพสต์ เพื่อรับออเดอร์ แต่เมื่อจะติดต่อรับมาขายกลับได้รับคำตอบว่าของหมดแล้ว จึงยังไม่ได้นำปลาหมอคางดำเข้ามาในพื้นที่แต่อย่างใด
น.ส.มินตรา เล่าว่า ตัวเองเพียงแค่ก๊อปปี้ภาพจากกลุ่มซื้อขายอาหารทะเลสด มาลองโพสต์สอบถามความเห็น เพื่อจะลองรับออเดอร์ปลาหมอคางดำมาทดลองจำหน่ายในพื้นที่ เพื่อหารายได้ตามประสาแม่ค้าทั่วไป เพราะเห็นว่า ราคาถูกอาจจะทำกำไรได้บ้าง ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในกระแสความสนใจของประชาชน
อีกทั้งเห็นว่าเป็นปลาเอเลี่ยนสปีซี่ส์ที่ทุกคนกำลังต้องการจะกำจัด จึงอยากช่วยระบายปลาอีกทางหนึ่ง เพราะตัวเอง รับอาหารสดต่างๆ มาขายเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ จึงอยากขอโทษ ที่ทำให้หลายฝ่ายกังวล ยืนยันว่า ไม่มีเจตนาจะนำมาสร้างความเดือดร้อนให้กับพื้นที่ และยังไม่ไดรับมาแม้แต่ตัวเดียว
นายนรินทร์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ไม่พบว่ามีการนำปลาหมอคางดำเข้ามาในพื้นที่แต่อย่างได้ ซึ่งจากการสอบถามผู้โพสต์ขายปลาหมอคางดำคนดังกล่าวทราบว่า กำลังจะติดต่อสั่งซื้อซากปลาหมอคางดำจากกลุ่มขายอาหารสด แต่ยังไม่ได้ตกลงซื้อขายกันหรือนำเข้ามา
ดังนั้นให้สังคมและคนในพื้นที่อำเภอครบุรีสบายใจได้ ว่าตอนนี้ยังไม่มีใครนำปลาหมอคางดำเข้ามาในพื้นที่ รวมถึงจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการพบปลาหมอชนิดนี้ทั้งตามตลาดหรือแหล่งน้ำในพื้นที่แต่อย่างใด
อยากจะขอความร่วมมือไปยังบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทุกๆ คนว่า อย่าได้นำปลาหมอคางดำเข้ามาในพื้นที่อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม จนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้ออกมา ทั้งนี้ก็เพื่อความสบายใจของทุกๆคน
หนุ่มจีน ขึ้นป้ายโฆษณาขายพาสปอร์ต มีหมายจับจีน ตร.เร่งส่งกลับ คุกเมีย 4 เดือน ไร้ใบอนุญาตทำงาน
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4698969
หนุ่มจีน ขึ้นป้ายโฆษณาขายพาสปอร์ต มีหมายจับที่จีน ตร.เร่งส่งกลับ คุกเมีย 4 เดือน ไร้ใบอนุญาตทำงาน
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. ร่วมกันสั่งการให้ ชุดสืบสวน บก.สส.สตม. และชุดสืบสวน บก.สส.บช.น. สืบสวนขยายผล กรณีมีผู้ติดตั้งป้ายโฆษณาภาษาจีนที่บริเวณแยกห้วยขวาง กรุงเทพฯ
ต่อมาพบว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องคือ นายซิน หลิง (MR.QIN LIN) อายุ 33 ปี สัญชาติจีน ซึ่งเกี่ยวข้องเป็นสามีของ นางซู น่า (MRS.XU NA) อายุ 35 ปี สัญชาติจีน จากการสืบสวนทราบว่า นายซิน หลิง เป็นบุคคลตามหมายจับของประเทศจีน ข้อหา ซื้อขายบัตรประจำตัว และเป็นบุคคลที่ทางการประเทศจีนต้องการตัวเพื่อดำเนินคดี ชุดสืบสวน สตม. จึงลงระบบเฝ้าระวังของ สตม. และขออนุมัติเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวของ นายซิน หลิง ไว้แล้ว
ต่อมาตรวจพบว่า นายซิน หลิง กำลังจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรทางช่องทางท่าอากาศยานดอนเมือง ชุดสืบสวนจึงเข้าตรวจสอบ พบนายซิน หลิง จึงแจ้งให้ นายซิน หลิง ทราบว่า ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวแล้ว จากนั้นจึงนำตัว นายซิน หลิง
ส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
จากการขยายผลพบว่า นายซิน หลิง เกี่ยวข้องเป็นสามีของ นางซู น่า โดยจากการตรวจสอบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ในโทรศัพท์ของนายซิน หลิง พบว่ามีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับหมายเลขโทรศัพท์ที่ประกาศบนป้ายโฆษณาภาษาจีนที่บริเวณแยกห้วยขวาง กรุงเทพฯ อีกทั้งจากการซักถามปากคำ นางซู น่า รับว่านำโทรศัพท์มือถือของสามีไปใช้เพื่อเตรียมตัวติดต่อกับลูกค้าที่จะมาใช้บริการทำหนังสือเดินทางตามที่ประกาศไว้บนป้ายโฆษณา แต่ยังไม่มีลูกค้าติดต่อมาแต่อย่างใด
ส่วนของนางซู น่า เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พนักงานสอบสวน บก.สส.สตม. นำตัวฟ้องดำเนินคดีต่อ ศาลแขวงพระนครเหนือ ข้อหา “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษา ลงโทษจำคุก 4 เดือน ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุก รอลงอาญา 1 ปี ตามคดีดำที่ อ.4242/2567 คดีแดงที่ อ.4259/2567 จากนั้นจึงได้ทำการลงระบบบุคคลต้องห้ามของ สตม. (Blacklist) ห้ามเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ส่วนนายซิน หลิง ขณะนี้อยู่ระหว่างผลักดันออกนอกราชอาณาจักร
ค่าไฟโรงเรียนพุ่ง ยอดสูงเดือนละ 1 ล้านบาท ศธ.เร่งหารือติดโซลาเซลล์ลดค่าใช้จ่าย
https://ch3plus.com/news/economy/ch3onlinenews/409883
ค่าไฟหลายโรงเรียนพุ่ง ยอดสูงเดือนละ 1 ล้านบาท เร่งแก้ปัญหาติดโซลาเซลล์ ลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า พบปัญหาค่าสาธารณูปโภคของโรงเรียนหลายแห่งพุ่งสูงมาก เช่น โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ มียอดค่าไฟฟ้าสูงถึงเดือนละกว่า 1 ล้านบาท ขณะนี้กำลังรวบรวมปัญหาค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้านสาธารณูปโภคของสถาบันการศึกษา เนื่องจากมีการตั้งคำขอเบิกจ่ายงบประมาณชำระหนี้ในหมวดนี้จากโรงเรียนหลายแห่ง ซึ่งพบยอดรวมถึง 10 ล้านบาท
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า โรงเรียนขนาดใหญ่บางแห่งได้รับเงินอุดหนุนปีละ 15 ล้านบาท แต่ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายอยู่ที่ปีละประมาณ 12 ล้านบาท จึงทำให้เหลือเงินที่จะใช้พัฒนาคุณภาพการศึกษาไม่กี่ล้านบาท ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กแทบไม่เหลือเงินใช้จ่ายในด้านอื่นๆเลย ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ปัญหาให้ได้
สำหรับการตัดลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคของโรงเรียนไม่ใช่เพียงแค่การลดค่าไฟฟ้าเท่านั้น แต่รวมไปถึงค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ระบบน้ำประปา น้ำดื่มสะอาดในโรงเรียน ค่าโทรศัพท์ และระบบสัญญาณอินเตอร์เน็ตโรงเรียน รวมไปถึงการดูแลระบบไฟฟ้าในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลตามเกาะแก่งต่างๆ ด้วย
สำหรับการนำพลังงานสะอาด หรือโซลาเซลล์มาใช้ เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้าในโรงเรียนต่างๆ เพราะสามารถลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคได้ถึง 25-30% ในโรงเรียนย่อมส่งผลให้เงินค่าสาธารณูปโภคที่จะต้องจ่ายไปอุดหนุนให้แก่นักเรียน และพัฒนาการสอนเพิ่มเติมได้ด้วย
คณะทำงานกำลังรวบรวมรายเอียดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคในหมวดค่าไฟฟ้าของโรงเรียนแต่ละขนาด หลังจากนั้นจะนำข้อมูลมารวมกันเพื่อจัดทำแบบฟอร์มการบริหารจัดการด้านค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค โดยแบ่งเป็นกลุ่มโรงเรียนสีแดง สีเหลือง และสีเขียว ในการลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้อย่างตรงจุดพร้อมกับจัดลำดับความสำคัญว่าโรงเรียนไหนมีความจำเป็นเร่งด่วนในการขอความร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการติดตั้งพลังงานสะอาดหรือโซลาเซลล์เป็นลำดับแรกด้วย