วิโรจน์ กังวลป้ายชวนซื้อพาสปอร์ตเด่นหรา เหมือนตบหน้ารบ. ห่วงไทยศูนย์กลางอาชญากรจีน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4693679
‘วิโรจน์’ ชี้ป้ายชวนซื้อพาสปอร์ตจีน หากเป็นจริงถือเป็นการตบหน้ารัฐบาล ห่วงประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางที่พักพิง ‘มาเฟีย-อาชญากรข้ามชาติ’ มองเรื่องใหญ่มาก
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีป้ายโฆษณาภาษาจีนชวนซื้อพาสปอร์ตย้ายประเทศ ย่านรัชดาว่า ต้องตรวจสอบก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่หากเป็นไปตามป้าย สามารถติดต่อและทำได้จริง มีความเป็นไปได้สูงที่มีการทำผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจและกังวลใจมาก เพราะปกติแล้วธุรกิจผิดกฎหมายและการทำพาสปอร์ตปลอมมีอยู่แล้ว แต่จะทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่มีประชาสัมพันธ์โฆษณาแบบเอิกเกริกอย่างนี้ ต้องทำแบบใช้ระบบใต้ดิน ติดต่อคนนั้นคนนี้แล้วพากันไปทำ แต่ครั้งนี้ถึงขั้นขึ้นป้ายเลย คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก หากเป็นเรื่องจริง
“
ถ้าเป็นความจริงก็ถือเป็นการตบหน้ารัฐบาลไปด้วย เพราะสะท้อนว่าขึ้นป้ายตัวใหญ่ๆ ที่ไม่ใช่ภาษาไทย คนไทยก็คงไม่สนใจหรอก รัฐบาลไทยหรือตำรวจไทยก็คงไม่สนใจหรอก เราต้องยอมรับจริงๆ ว่าตรงย่านนั้น รัชดา ห้วยขวาง มีชาวจีนอาศัยอยู่เยอะ ดังนั้น เขาต้องการสื่อสารกับคนจีนจริงๆ ที่เข้าใจภาษานั้นจริงๆ แสดงว่าประเทศเรากำลังกลายเป็นศูนย์กลางภัยคุกคามของโลกแล้วสิ” นาย
วิโรจน์กล่าว
นาย
วิโรจน์กล่าวว่า หากเป็นจริงจะทำให้ภาพลักษณ์ เกียรติภูมิของประเทศเสื่อมเสียไปด้วย แล้วจะทำให้ดึงดูดมาเฟียข้ามชาติ อาชญากรจากต่างประเทศที่เข้ามาหลบพักในไทยก่อนจะไปประเทศอื่น ประเทศเรากำลังกลายเป็นศูนย์กลางของอาชญากรจีนหรือไม่ กรณีนี้ถือเป็นการทำผิดในราชอาณาจักรไทย ผิดกฎหมายไทย ต้องดำเนินคดีอาญา ถ้าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ก็สามารถที่จะสืบเสาะและขยายผลได้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า เบื้องหลังยังมีอีกเยอะหรือไม่ นาย
วิโรจน์กล่าวว่า คงมีอีกเยอะ ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลจีนด้วย เพราะมาเฟียจีน อาจชญากรจีนจำนวนมาก มีหมายจับที่ประเทศจีนแล้วหลบหนีออกมา โดยมีเป้าหมายคือประเทศไทย
“
ตามที่เขาร่ำลือกันจนลงหลักปักฐานแล้ว มีเครือข่าย มีฮับ มีศูนย์ประสานงานของเครือข่ายอาชญากรจีนในประเทศไทยว่าหลบมาพักก่อน แล้วเดี๋ยวจะมีทีมงานคอยประสานงานที่จะให้หนีไปยังประเทศนั้น ออกไปยังประเทศนี้ได้ ตอนนี้มันกลายเป็นเครือข่ายแล้ว มาเฟียจีนสีเทา ต่อให้คุณมีเงินหนีคดีมาจากประเทศจีน ที่นี่จะเป็นแหล่งพักพิง ที่นี่สามารถติดสินบนได้ ที่นี่สามารถยัดใต้โต๊ะได้ ที่นี่สามารถซื้อข้าราชการบางคนได้ มันกลายเป็นศูนย์รวมของการกระทำความผิดกฎหมายไปแล้วสิ” นาย
วิโรจน์กล่าว
‘นักวิชาการ’ ชี้ความเหลื่อมล้ำทำประเทศติดหล่ม ชง5ข้อปฏิรูปการศึกษา
https://www.matichon.co.th/education/news_4690146
นักวิชาการชี้ ความเหลื่อมล้ำทำประเทศติดหล่ม จบประถมขายแรงงานกว่า20ล้านคน ชง5ข้อปฏิรูปการศึกษา
นาย
สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา ในฐานะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยว่า ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เป็นปัญหาเรื้อรังที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปจัดการ เป็นต้นตอของความยากจนและทำให้ประเทศติดหล่ม ไม่เจริญก้าวหน้า และยังเป็นรากฐานของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความแตกต่างในเชิงโครงสร้างของสังคมไทย ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานี้เป็นสิ่งที่มีมายาวนาน ปัจจุบันนี้ครอบครัวที่มีฐานะยากจนที่สุดที่จบการศึกษาประมาณชั้นประถมฯ จะมีรายได้เพียง 1,036 บาทต่อเดือน มีประมาณร้อยละ 15 ของประชากร ขณะที่ครอบครัวชนชั้นกลางที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปจะมีรายได้อยู่ที่ 46,110 – 57,000 บาทต่อเดือน ส่วนครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยจะมีรายได้ประมาณ 290,000 บาทต่อเดือน แสดงให้เห็นว่าการศึกษา ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นทางสังคมอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องการมีรายได้และเรื่องอื่นๆ
นาย
สมพงษ์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กว่า 29,449 แห่ง เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก 14,777 แห่ง ขนาดกลาง-ใหญ่กว่า 9,600 แห่ง ส่วนมากจะอยู่ในตัวเมืองและจังหวัดที่มีความเจริญ แต่โรงเรียนขนาดเล็กที่มีมากจะอยู่ในพื้นที่ชนบทและยังขาดแคลนงบประมาณ รวมถึงทรัพยากรต่างๆ จนเกิดการด้อยคุณภาพ ทำให้การต่อยอดด้านการศึกษาเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้เกิดปัญหาออกกลางคัน
“
ในปัจจุบันมีเด็กที่ออกจากการเรียนในช่วงรอยต่อระหว่างประถมศึกษาไปมัธยม เพื่อขายแรงงานกว่า 20 ล้านคน ซึ่งถ้านำมาเปรียบเทียบกับตัวเลขเด็กออกกลางคันจะเห็นความสัมพันธ์กันคือ บุคคลเหล่านี้จะจบการศึกษาเพียงแค่ระดับชั้นประถมหรือมัธยมต้น หารายได้ได้เพียง 8,000-10,000 ต่อเดือนเท่านั้น ตลอดชีวิตและบางส่วนยังไม่มีทางที่จะเปลี่ยนสถานภาพทางการเงินหรือสังคมให้ดีขึ้นได้และสิ่งที่น่าตกใจคือพวกเขาเหล่านี้ไม่เห็นประโยชน์ของการศึกษาที่จะนำมาพัฒนาตัวเองปัญหาต่อมาคือเรื่องครู ซึ่งทุกๆ 2 ปี ครูผู้ช่วยจะมีการย้ายออก โรงเรียนในชนบทขาดแคลนครู 6-8 เดือนเพราะไม่มีครูที่บรรจุทดแทนและครูส่วนใหญ่จะไปกระจุกกันอยู่โรงเรียนในเมืองกับโรงเรียนขนาดใหญ่ ทำให้ครูที่เหลือต้องทำงานหนักขึ้น จนเกิดความเหลื่อมล้ำในเรื่องของภาระหน้าที่ เมื่อครู 1 คนต้องทำทุกอย่างก็ไม่สามารถทุ่มเทกับเรื่องการเรียนการสอนได้เท่าที่ควร” นายสมพงษ์ กล่าว
นาย
สมพงษ์ กล่าวต่อว่า แนวทางที่อยากจะเสนอเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวมี 5 ข้อดังนี้ 1.ภาครัฐต้องมองว่าความเหลื่อมล้ำเป็นพื้นฐานของปัญหาต่างๆ 2.ระบบการศึกษาต้องยืดหยุ่น ปฏิรูปหลักสูตรให้เด็กได้เรียนอย่างเท่าเทียม 3.ใช้หลักการเรื่องความเหลื่อมล้ำเข้ามาประกอบการจัดสรรงบประมาณ 4.ปฏิรูปการผลิตครูและลดภาระงานให้ครู และ5.ปฏิรูปหลักสูตรการประเมินผล ไม่ใช้ระบบแข่งขันหรือระบบที่ใช้เนื้อหาสาระเป็นหลัก
เตือนเกษตรกรนากุ้งเมืองคอน สูบน้ำต้องระวังไข่ปลาหมอคางดำ ปะปนแพร่กระจายลงบ่อ
https://www.thairath.co.th/agriculture/agricultural-policy/2802375
นากุ้งมูลค่าหลายล้านบาทถูก ปลาหมอคางดำ ลอยคอประชิดในบ่อพักน้ำ เจ้าของเตือนสูบน้ำเพิ่มความระวังสูงสุด ยันทดลองปล่อยปลากะพงล่ากินคางดำวัยอ่อนยังไม่ได้ผล เหตุเกิดไวจนกินไม่ทัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่นากุ้งเนื้อที่กว่า 4 ไร่ของ นาย
โกศล แป้นเกิด เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งติดกับลำคลองท่าพญา หมู่ 9 ตำบลท่าพญา อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้ปล่อยกุ้งลงบ่อไปได้ 15 วัน 1 ล้านตัว ตัวละ 45 สตางค์ มูลค่ากว่า 4.5 แสนบาท หากผ่านการเลี้ยงและได้ขนาดจะมีมูลค่าผลผลิตไม่น้อยกว่า 3-5 ล้านบาท บ่อนี้ต้องเพิ่มความระวังสูงสุด หลังจากพบว่าหลังจากสูบน้ำเข้าบ่อไปได้ 22 วัน บ่อพักน้ำที่เตรียมน้ำสำหรับถ่ายเทหมุนเวียนมีปลาหมอคางดำเต็มบ่อพักน้ำขนาดเนื้อที่ 2 งาน มีปลาหมอคางดำทุกขนาด ขนาดใหญ่สุดมากกว่า 3-4 นิ้ว เจ้าของบ่อตั้งข้อสังเกตว่าการสูบน้ำเข้าบ่อได้ผ่านการกรองด้วยใยแก้วมีลักษณะคล้ายสำลีไม่น่าจะมีสัตว์น้ำทุกชนิดหลุดเข้ามาในบ่อได้
...
เจ้าของบ่อมั่นใจว่า การหลุดเข้ามาได้นั้นเป็นไข่ปลาหมอคางดำ ที่อยู่ปะปนอยู่ในน้ำจากลำคลองท่าพญาที่ได้สูบเข้ามาพัก และเป็นสัญญาณอันตรายกับการสูบน้ำเข้าพักในระบบปิดของอุตสาหกรรมนากุ้งในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ไม่เฉพาะเป็นตัวเท่านั้นที่มีความเสี่ยง แต่หมายความว่าไข่ปลาหมอคางดำที่ปะปนอยู่ในน้ำ มีปริมาณพอสมควร หากผิดพลาดนั่นหมายถึงการขาดทุนย่อยยับ ขนาดของปลาที่อยู่ในบ่อหลังผ่านไป 22 วัน มั่นใจว่ามาจากไข่ปลาที่อยู่ในน้ำ มีการฟักตัวในบ่อและโตเร็วมากจากอาหารที่อุดมสมบูรณ์ โดยเจ้าของบ่อได้นำปลากะพงขาวมาปล่อยเพื่อทดลองการควบคุม ขณะเดียวกันต้องป้องกันแนวบ่อกุ้งอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้มีการหลุดรอดเข้าไปได้
นาย
โกศล แป้นเกิด เจ้าของบ่อ กล่าวว่า จากบ่อพักน้ำเนื้อที่ 2 งาน ได้ซื้อปลากะพงขาวขนาด 3-4 นิ้วในราคาตัวละ 20 บาท รวม 300 ตัว มาปล่อยจนถึงวันนี้ได้ 12 วัน ได้เฝ้าสังเกตทุกวันในการล่าของปลากะพง ปรากฏว่าลูกปลาหมอคางดำที่เกิดขึ้นในบ่อพักน้ำไม่ได้ลดลงเลย กลับเพิ่มขึ้น และพบด้วยว่ามีปลากะพงขาวถูกฝูงปลาคางดำที่ใหญ่กว่าล้อมรุมกัดเจ็บไปหลายตัว ต้องคอยหลบซ่อนอยู่ในบ่อ น้ำในบ่อหากนำไปหมุนเวียนบ่อกุ้งต้องใช้กากชาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวคือจากปกติ 5 กระสอบ ต้องเพิ่มเป็น 10 กระสอบ นั่นคือต้นทุนการจัดการที่สูงขึ้นไปอีก.
JJNY : วิโรจน์ห่วงไทยศูนย์กลางอาชญากรจีน│‘นักวิชาการ’ชี้ความเหลื่อมล้ำทำปท.ติดหล่ม│เตือนระวังไข่│เซเลนสกีขอบคุณไบเดน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4693679
‘วิโรจน์’ ชี้ป้ายชวนซื้อพาสปอร์ตจีน หากเป็นจริงถือเป็นการตบหน้ารัฐบาล ห่วงประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางที่พักพิง ‘มาเฟีย-อาชญากรข้ามชาติ’ มองเรื่องใหญ่มาก
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีป้ายโฆษณาภาษาจีนชวนซื้อพาสปอร์ตย้ายประเทศ ย่านรัชดาว่า ต้องตรวจสอบก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่หากเป็นไปตามป้าย สามารถติดต่อและทำได้จริง มีความเป็นไปได้สูงที่มีการทำผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจและกังวลใจมาก เพราะปกติแล้วธุรกิจผิดกฎหมายและการทำพาสปอร์ตปลอมมีอยู่แล้ว แต่จะทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่มีประชาสัมพันธ์โฆษณาแบบเอิกเกริกอย่างนี้ ต้องทำแบบใช้ระบบใต้ดิน ติดต่อคนนั้นคนนี้แล้วพากันไปทำ แต่ครั้งนี้ถึงขั้นขึ้นป้ายเลย คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก หากเป็นเรื่องจริง
“ถ้าเป็นความจริงก็ถือเป็นการตบหน้ารัฐบาลไปด้วย เพราะสะท้อนว่าขึ้นป้ายตัวใหญ่ๆ ที่ไม่ใช่ภาษาไทย คนไทยก็คงไม่สนใจหรอก รัฐบาลไทยหรือตำรวจไทยก็คงไม่สนใจหรอก เราต้องยอมรับจริงๆ ว่าตรงย่านนั้น รัชดา ห้วยขวาง มีชาวจีนอาศัยอยู่เยอะ ดังนั้น เขาต้องการสื่อสารกับคนจีนจริงๆ ที่เข้าใจภาษานั้นจริงๆ แสดงว่าประเทศเรากำลังกลายเป็นศูนย์กลางภัยคุกคามของโลกแล้วสิ” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์กล่าวว่า หากเป็นจริงจะทำให้ภาพลักษณ์ เกียรติภูมิของประเทศเสื่อมเสียไปด้วย แล้วจะทำให้ดึงดูดมาเฟียข้ามชาติ อาชญากรจากต่างประเทศที่เข้ามาหลบพักในไทยก่อนจะไปประเทศอื่น ประเทศเรากำลังกลายเป็นศูนย์กลางของอาชญากรจีนหรือไม่ กรณีนี้ถือเป็นการทำผิดในราชอาณาจักรไทย ผิดกฎหมายไทย ต้องดำเนินคดีอาญา ถ้าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ก็สามารถที่จะสืบเสาะและขยายผลได้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า เบื้องหลังยังมีอีกเยอะหรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า คงมีอีกเยอะ ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลจีนด้วย เพราะมาเฟียจีน อาจชญากรจีนจำนวนมาก มีหมายจับที่ประเทศจีนแล้วหลบหนีออกมา โดยมีเป้าหมายคือประเทศไทย
“ตามที่เขาร่ำลือกันจนลงหลักปักฐานแล้ว มีเครือข่าย มีฮับ มีศูนย์ประสานงานของเครือข่ายอาชญากรจีนในประเทศไทยว่าหลบมาพักก่อน แล้วเดี๋ยวจะมีทีมงานคอยประสานงานที่จะให้หนีไปยังประเทศนั้น ออกไปยังประเทศนี้ได้ ตอนนี้มันกลายเป็นเครือข่ายแล้ว มาเฟียจีนสีเทา ต่อให้คุณมีเงินหนีคดีมาจากประเทศจีน ที่นี่จะเป็นแหล่งพักพิง ที่นี่สามารถติดสินบนได้ ที่นี่สามารถยัดใต้โต๊ะได้ ที่นี่สามารถซื้อข้าราชการบางคนได้ มันกลายเป็นศูนย์รวมของการกระทำความผิดกฎหมายไปแล้วสิ” นายวิโรจน์กล่าว
‘นักวิชาการ’ ชี้ความเหลื่อมล้ำทำประเทศติดหล่ม ชง5ข้อปฏิรูปการศึกษา
https://www.matichon.co.th/education/news_4690146
นักวิชาการชี้ ความเหลื่อมล้ำทำประเทศติดหล่ม จบประถมขายแรงงานกว่า20ล้านคน ชง5ข้อปฏิรูปการศึกษา
นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา ในฐานะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยว่า ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เป็นปัญหาเรื้อรังที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปจัดการ เป็นต้นตอของความยากจนและทำให้ประเทศติดหล่ม ไม่เจริญก้าวหน้า และยังเป็นรากฐานของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความแตกต่างในเชิงโครงสร้างของสังคมไทย ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานี้เป็นสิ่งที่มีมายาวนาน ปัจจุบันนี้ครอบครัวที่มีฐานะยากจนที่สุดที่จบการศึกษาประมาณชั้นประถมฯ จะมีรายได้เพียง 1,036 บาทต่อเดือน มีประมาณร้อยละ 15 ของประชากร ขณะที่ครอบครัวชนชั้นกลางที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปจะมีรายได้อยู่ที่ 46,110 – 57,000 บาทต่อเดือน ส่วนครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยจะมีรายได้ประมาณ 290,000 บาทต่อเดือน แสดงให้เห็นว่าการศึกษา ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นทางสังคมอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องการมีรายได้และเรื่องอื่นๆ
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กว่า 29,449 แห่ง เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก 14,777 แห่ง ขนาดกลาง-ใหญ่กว่า 9,600 แห่ง ส่วนมากจะอยู่ในตัวเมืองและจังหวัดที่มีความเจริญ แต่โรงเรียนขนาดเล็กที่มีมากจะอยู่ในพื้นที่ชนบทและยังขาดแคลนงบประมาณ รวมถึงทรัพยากรต่างๆ จนเกิดการด้อยคุณภาพ ทำให้การต่อยอดด้านการศึกษาเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้เกิดปัญหาออกกลางคัน
“ในปัจจุบันมีเด็กที่ออกจากการเรียนในช่วงรอยต่อระหว่างประถมศึกษาไปมัธยม เพื่อขายแรงงานกว่า 20 ล้านคน ซึ่งถ้านำมาเปรียบเทียบกับตัวเลขเด็กออกกลางคันจะเห็นความสัมพันธ์กันคือ บุคคลเหล่านี้จะจบการศึกษาเพียงแค่ระดับชั้นประถมหรือมัธยมต้น หารายได้ได้เพียง 8,000-10,000 ต่อเดือนเท่านั้น ตลอดชีวิตและบางส่วนยังไม่มีทางที่จะเปลี่ยนสถานภาพทางการเงินหรือสังคมให้ดีขึ้นได้และสิ่งที่น่าตกใจคือพวกเขาเหล่านี้ไม่เห็นประโยชน์ของการศึกษาที่จะนำมาพัฒนาตัวเองปัญหาต่อมาคือเรื่องครู ซึ่งทุกๆ 2 ปี ครูผู้ช่วยจะมีการย้ายออก โรงเรียนในชนบทขาดแคลนครู 6-8 เดือนเพราะไม่มีครูที่บรรจุทดแทนและครูส่วนใหญ่จะไปกระจุกกันอยู่โรงเรียนในเมืองกับโรงเรียนขนาดใหญ่ ทำให้ครูที่เหลือต้องทำงานหนักขึ้น จนเกิดความเหลื่อมล้ำในเรื่องของภาระหน้าที่ เมื่อครู 1 คนต้องทำทุกอย่างก็ไม่สามารถทุ่มเทกับเรื่องการเรียนการสอนได้เท่าที่ควร” นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า แนวทางที่อยากจะเสนอเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวมี 5 ข้อดังนี้ 1.ภาครัฐต้องมองว่าความเหลื่อมล้ำเป็นพื้นฐานของปัญหาต่างๆ 2.ระบบการศึกษาต้องยืดหยุ่น ปฏิรูปหลักสูตรให้เด็กได้เรียนอย่างเท่าเทียม 3.ใช้หลักการเรื่องความเหลื่อมล้ำเข้ามาประกอบการจัดสรรงบประมาณ 4.ปฏิรูปการผลิตครูและลดภาระงานให้ครู และ5.ปฏิรูปหลักสูตรการประเมินผล ไม่ใช้ระบบแข่งขันหรือระบบที่ใช้เนื้อหาสาระเป็นหลัก
เตือนเกษตรกรนากุ้งเมืองคอน สูบน้ำต้องระวังไข่ปลาหมอคางดำ ปะปนแพร่กระจายลงบ่อ
https://www.thairath.co.th/agriculture/agricultural-policy/2802375
นากุ้งมูลค่าหลายล้านบาทถูก ปลาหมอคางดำ ลอยคอประชิดในบ่อพักน้ำ เจ้าของเตือนสูบน้ำเพิ่มความระวังสูงสุด ยันทดลองปล่อยปลากะพงล่ากินคางดำวัยอ่อนยังไม่ได้ผล เหตุเกิดไวจนกินไม่ทัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่นากุ้งเนื้อที่กว่า 4 ไร่ของ นายโกศล แป้นเกิด เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งติดกับลำคลองท่าพญา หมู่ 9 ตำบลท่าพญา อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้ปล่อยกุ้งลงบ่อไปได้ 15 วัน 1 ล้านตัว ตัวละ 45 สตางค์ มูลค่ากว่า 4.5 แสนบาท หากผ่านการเลี้ยงและได้ขนาดจะมีมูลค่าผลผลิตไม่น้อยกว่า 3-5 ล้านบาท บ่อนี้ต้องเพิ่มความระวังสูงสุด หลังจากพบว่าหลังจากสูบน้ำเข้าบ่อไปได้ 22 วัน บ่อพักน้ำที่เตรียมน้ำสำหรับถ่ายเทหมุนเวียนมีปลาหมอคางดำเต็มบ่อพักน้ำขนาดเนื้อที่ 2 งาน มีปลาหมอคางดำทุกขนาด ขนาดใหญ่สุดมากกว่า 3-4 นิ้ว เจ้าของบ่อตั้งข้อสังเกตว่าการสูบน้ำเข้าบ่อได้ผ่านการกรองด้วยใยแก้วมีลักษณะคล้ายสำลีไม่น่าจะมีสัตว์น้ำทุกชนิดหลุดเข้ามาในบ่อได้
...
เจ้าของบ่อมั่นใจว่า การหลุดเข้ามาได้นั้นเป็นไข่ปลาหมอคางดำ ที่อยู่ปะปนอยู่ในน้ำจากลำคลองท่าพญาที่ได้สูบเข้ามาพัก และเป็นสัญญาณอันตรายกับการสูบน้ำเข้าพักในระบบปิดของอุตสาหกรรมนากุ้งในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ไม่เฉพาะเป็นตัวเท่านั้นที่มีความเสี่ยง แต่หมายความว่าไข่ปลาหมอคางดำที่ปะปนอยู่ในน้ำ มีปริมาณพอสมควร หากผิดพลาดนั่นหมายถึงการขาดทุนย่อยยับ ขนาดของปลาที่อยู่ในบ่อหลังผ่านไป 22 วัน มั่นใจว่ามาจากไข่ปลาที่อยู่ในน้ำ มีการฟักตัวในบ่อและโตเร็วมากจากอาหารที่อุดมสมบูรณ์ โดยเจ้าของบ่อได้นำปลากะพงขาวมาปล่อยเพื่อทดลองการควบคุม ขณะเดียวกันต้องป้องกันแนวบ่อกุ้งอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้มีการหลุดรอดเข้าไปได้
นายโกศล แป้นเกิด เจ้าของบ่อ กล่าวว่า จากบ่อพักน้ำเนื้อที่ 2 งาน ได้ซื้อปลากะพงขาวขนาด 3-4 นิ้วในราคาตัวละ 20 บาท รวม 300 ตัว มาปล่อยจนถึงวันนี้ได้ 12 วัน ได้เฝ้าสังเกตทุกวันในการล่าของปลากะพง ปรากฏว่าลูกปลาหมอคางดำที่เกิดขึ้นในบ่อพักน้ำไม่ได้ลดลงเลย กลับเพิ่มขึ้น และพบด้วยว่ามีปลากะพงขาวถูกฝูงปลาคางดำที่ใหญ่กว่าล้อมรุมกัดเจ็บไปหลายตัว ต้องคอยหลบซ่อนอยู่ในบ่อ น้ำในบ่อหากนำไปหมุนเวียนบ่อกุ้งต้องใช้กากชาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวคือจากปกติ 5 กระสอบ ต้องเพิ่มเป็น 10 กระสอบ นั่นคือต้นทุนการจัดการที่สูงขึ้นไปอีก.