ไอลอว์ ยื่นกมธ.มั่นคง สอบเพกาซัสสปายแวร์ หลังได้รบ.ใหม่ แล้วการตรวจสอบชะงัก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4685456
‘ไอลอว์’ ร้อง ‘กมธ.มั่นคง’ ตรวจสอบ ‘เพกาซัสสปายแวร์’ หลังเคยยื่นในสภาชุดที่แล้ว แต่การตรวจสอบหยุดชะงักลง หลังจากมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่ ด้าน ‘โรม’ จ่อบรรจุวาระเข้าที่ประชุม-เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจง
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 17 กรกฎาคม ที่รัฐสภา กลุ่มไอลอว์ นำโดย นาย
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ และเหยื่อที่เคยถูกหน่วยงานของรัฐไทยใช้เพกาซัสสปายแวร์ (Pegasus Spyware) เจาะระบบเพื่อเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ เข้ายื่นหนังสือต่อ นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีละเมิดสิทธิประชาชน
นาย
ยิ่งชีพกล่าวว่า ในปี 2565 ไอลอว์พบว่า มีประชาชนไทย ทั้งนักศึกษา นักกิจกรรม เอ็นจีโอ นักวิชาการ และนักการเมืองรวม 35 คน ถูกเจาะระบบโทรศัพท์มือถือเพื่อขโมยข้อมูลโดยเทคโนโลยีที่เรียกว่า เพกาซัสสปายแวร์ (Pegasus Spyware) ซึ่งเป็นอาวุธไซเบอร์ที่ผลิตโดยบริษัท เอ็นเอสโอ จากประเทศอิสราเอล และมีขึ้นเพื่อขายให้กับรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งยังมีรายงานจาก CitizenLab ถึงการตรวจสอบความเชื่อมโยงบนโลกอินเตอร์เน็ตว่า มีหน่วยงานของไทยชื่อว่า ISOC หรือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่มีกิจกรรมบนโลกอินเตอร์เน็ตเชื่อมโยงกับบริษัท เอ็นเอสโอ
เพกาซัสสปายแวร์ เป็นอาวุธไซเบอร์ที่ร้ายแรงออกแบบมาเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายและการค้ามนุษย์ มีความสามารถในการเจาะและล้วงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือโดยเจ้าของเครื่องไม่รู้ตัว เมื่อถูกเพกาซัสแฝงตัวเข้ามาในเครื่องแล้ว ข้อมูลทั้งหมดในโทรศัพท์จะถูกเข้าถึงได้โดยผู้ควบคุมสปายแวร์ และโทรศัพท์จะถูกควบคุมกลายเป็นเครื่องดักฟังหรือเครื่องติดตามตัวได้ ซึ่งการใช้งานต่อประชาชนที่เห็นต่างทางการเมืองเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวขั้นร้ายแรง รัฐบาลหลายประเทศบนโลกถูกประชาชนฟ้องร้องฐานใช้งานสปายแวร์นี้เพื่อขโมยข้อมูล ละเมิดความเป็นส่วนตัว
สำหรับในประเทศไทย มีคดีที่ยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐไทยรวมทั้ง กอ.รมน. ต่อศาลปกครองแล้ว และยังอยู่ระหว่างรอคำสั่ง รับฟ้องจากศาล ส่วนคดีที่นักกิจกรรมไทยยื่นฟ้องบริษัท เอ็นเอสโอ จากอิสราเอลเป็นคดีแพ่ง ศาลแพ่งนัดสืบพยานวันที่ 3-6 และ 10 ก.ย.2567
นาย
ยิ่งชีพกล่าวว่า ในปี 2565 ไอลอว์เคยยื่นหนังสือให้ กมธ.ของสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบข้อมูล และเคยตรวจพบเอกสารการซื้อขายเทคโนโลยีคล้ายเพกาซัสสปายแวร์ของกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติดมาแล้ว แต่หลังจากมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่การตรวจสอบโดยสภาผู้แทนราษฎรหยุดชะงักลง ขณะที่การใช้เทคโนโลยีสอดแนมประชาชนยังไม่หมดไป ประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อของสปายแวร์นี้จึงยื่นเรื่องเพื่อขอให้ กมธ.ความมั่นคงฯ ทำงานเพื่อสืบสวนหาความจริงต่อว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐไทยยังคงใช้งานสปายแวร์นี้อยู่หรือไม่ ใช้กับผู้ใด ใช้เพื่อสืบสวนหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใด และเป็นการกระทำที่มีกฎหมายใดรองรับหรือไม่
นาย
รังสิมันต์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องให้สำคัญ ซึ่งเคยมีการอภิปรายอย่างกว้างขวางในสภาชุดที่แล้ว เบื้องต้นจะนำเรื่องมาบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมใน กมธ. รวมทั้งเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล แต่หากเรื่องนี้ไม่สามารถคลี่คลายได้โดยเร็วคงต้องคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าว เครื่องมือทางการทหารเช่นนี้ไม่ควรที่จะถูกใช้กับ นักการเมือง นักกิจกรรมที่ต่อสู้ด้านประชาธิปไตย
"ชัยธวัช" มั่นใจหายห่วงคดียุบพรรค หลังศาล รธน.นัดชี้ขาด 7 ส.ค.นี้ ลั่น 8 ส.ค.มาทำงานที่สภาฯชัวร์
https://siamrath.co.th/n/551528
วันที่ 17 ก.ค.2567 เวลา 14.00 น. ที่รัฐสภา นาย
ชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ โดยไม่ได้เปิดไต่สวนตามที่พรรคร้องขอ ว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่าตอนนี้เหลือประเด็นที่ต้องพิจารณาเป็นปัญหาในข้อกฎหมายเท่านั้น ส่วนปัญหาเรื่องข้อเท็จจริงนั้นศาลเห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอแล้ว จึงไม่เปิดไต่สวนอีก อย่างไรก็ตามศาลมีความเห็นให้ผนวกเอาคำร้องของคู่กรณีเข้ามาอยู่ในสำนวนด้วย น่าจะหมายถึงในส่วนของพรรคก้าวไกลคือ คำร้องที่ยื่นความเห็นของพยานคือ นาย
สุรพล นิติไกรพจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน เข้าไปด้วย และน่าจะรวมคำร้องที่เมื่อวานนี้ พรรคก้าวไกลได้ยื่นเป็นการโต้แย้งพยานหลักฐานทั้งที่เป็นพยานหลักฐานของ กกต. และพยานหลักฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญได้นำเข้าสู่คดีนี้ด้วย
นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า อย่างน้อยแม้จะไม่มีการไต่สวน เราก็ได้มีพยานเพิ่มเติมเข้าไป แต่ในความเห็นของพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องต้องเรียกว่า น่าเสียดายที่ไม่มีการเปิดไต่สวน เพราะในมุมมองของเรา ยังเห็นว่าเรื่องข้อเท็จจริงยังมีประเด็นปัญหาที่ควรมีการไต่สวนให้ถึงที่สุดก่อน ส่วนประเด็นปัญหาเรื่องข้อกฎหมายซึ่งศาลเห็นว่าเหลือแค่เรื่องข้อกฎหมายเท่านั้นที่ต้องพิจารณา เรายังมั่นใจในข้อต่อสู้ทางกฎหมายที่เราต่อสู้ไป ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่เราต่อสู้ว่า กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต.นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ตนแถลงรายละเอียดเพิ่มเติมในการโต้แย้ง เราอาศัยเอกสารหลักฐานของ กกต.เองมาเพิ่มน้ำหนักในการต่อสู้ในประเด็นนี้ว่า พยานหลักฐานของ กกต.เองตอกย้ำว่า กระบวนการยื่นคำร้องยุบพรรคในคดีนี้มิชอบด้วยกฎหมายอย่างไร
“
เรายังมั่นใจ ส่วนข้อกฎหมายสำคัญเรื่องอื่น เราก็มั่นใจไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ว่า การกระทำของพรรคก้าวไกลที่ถูกกล่าวหา ไม่ใช่การล้มล้างหรือปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ทำไมไม่มีเหตุในการยุบพรรคก้าวไกล เป็นต้น สิ่งที่พรรคก้าวไกลทำได้หลังจากนี้คือ เตรียมคำแถลงปิดคดี ภายใน 24 ก.ค.นี้ โดยศาลให้ส่งในเอกสาร เนื่องจากไม่มีการเปิดไต่สวนหน้าบัลลังก์ คือไม่ได้แถลงปิดคดีด้วยวาจา คงส่งเป็นเอกสาร” นาย
ชัยธวัช กล่าว
เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะมีการหารือกันในพรรคอีกหรือไม่ นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันเลย เพราะว่าวันที่ 7 ส.ค.เป็นวันพุธ มีการประชุมสภาฯ ยังไม่ได้คุยกันว่าจะอย่างไร
เมื่อถามว่า มีความกังวลในคำวินิจฉัยหรือไม่ นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า อย่างที่เรียนว่า ถ้าเกิดการเปิดไต่สวน เราก็เห็นว่ามันจะทำให้เรามีโอกาสต่อสู้ ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงอย่างถึงที่สุด ให้ได้สัดส่วนกับข้อกล่าวหา และโทษของคดีนี้ ซึ่งมีผลถึงยุบพรรคการเมือง แต่เมื่อไม่ได้เปิดไต่สวน อย่างน้อยก็ได้รวมคำร้องเพิ่มเติมของเรา อย่างที่กล่าวไป ทั้งพยาน ความเห็นของนายสุรพล ทั้งโต้แย้งพยานหลักฐานวานนี้ น่าจะเพิ่มน้ำหนักในการต่อสู้ของเรา ไม่ได้กังวลอะไรขนาดนัก แม้จะศาลเห็นว่าจะเหลือแต่ข้อกฎหมาย เรายังมั่นใจว่าการต่อสู้ข้อกฎหมายของเรามีน้ำหนัก ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในดุลพินิจของศาล ผู้ถูกร้องคงก้าวล่วงไม่ได้ เพียงแต่เสียดายโอกาสที่จะทำให้ มองในแง่ดีต่อทุกฝ่ายด้วยว่า ถ้าเปิดไต่ส่วนเพื่อให้คู่กรณีมีการต่อสู้อย่างเต็มที่ คงจะเป็นเรื่องดีต่อการยอมรับคำวินิจฉัย
เมื่อถามย้ำว่า พรรคได้เตรียมการอะไรไว้หรือไม่ในวันฟังคำวินิจฉัย นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ได้เตรียมอะไร เดี๋ยวคงต้องหารือกันในพรรคว่า ในวันที่ 7 ส.ค.จะอย่างไร เตรียมว่าเราจะจัดการอย่างไรในการฟังคำวินิจฉัยซึ่งจะชนกับวันประชุมสภาฯ
“
ตอนนี้ยังไม่ได้มีปัญหาภายในอะไรกัน ส่วนใหญ่ที่เตรียมคือ เตรียมทำงานปกติตามแผนที่วางไว้” นาย
ชัยธวัช กล่าว
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวอีกว่า ขณะนี้ระยะเวลาผ่านมานานแล้ว ทุกอย่างนิ่งหมดแล้ว ตกผลึกหมดแล้ว คือคดีนี้มันมาถึงนี่หลายเดือนแล้ว ทุกอย่างนิ่งหมดแล้วภายในพรรค
เมื่อถามอีกว่า พูดแบบนี้หมายความว่าเต็มใจยอมรับ หากพรรคถูกยุบใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ไม่ใช่เต็มใจยอมรับ ยังเตรียมมาทำงานอยู่วันที่ 8 ส.ค.
“
เรียนตามตรง เอางี้ ยืนยันว่าทุกอย่างภายในพรรคนิ่งหมด เราบริหารจัดการได้ แต่เรายังเชื่อมั่นว่า แม้ศาลจะวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมาย เราเชื่อว่าข้อกฎหมายมีน้ำหนัก ถ้าใครได้เห็นเอกสารหลักฐานที่ผมแถลงไปวานนี้ ซึ่งไม่ได้เผยแพร่ ยิ่งมั่นใจ” นาย
ชัยธวัช กล่าว
เมื่อถามย้ำว่า ถ้ามีการยุบพรรคเกิดขึ้น ได้เตรียมการอะไรไว้หรือไม่ นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลา เรารอฟังคำวินิจฉัยก่อน ยังไม่ถึงเวลาคุยกันเรื่องนั้นในพรรค
เมื่อถามว่า ยังมีแนวโน้มพรรคจะถูกยุบอยู่หรือไม่ นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า ตอนหลังเขาบอกว่า น่าจะไม่ยุบแล้วมั้ง
เมื่อถามว่า ใครเป็นคนบอก นาย
ชัยธวัช หัวเราะ แต่ไม่ได้ตอบคำถาม ก่อนกล่าวว่า ตอนนี้มีโอกาส อย่าเพิ่งสรุป เรายิ่งต่อสู้คดีไป เรายิ่งมั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ ทุกอย่างตกผลึกหมดแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น เตรียมทำงานอย่างเดียว
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวทิ้งท้ายพร้อมหัวเราะว่า เจอกันวันที่ 8 ส.ค. เป็นวันทำงาน เราตั้งกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรี จะมาในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน
ส.อ.ท. แนะ 2 ทางรอด ตรึงค่าไฟ 4.18 บ. ช่วยประชาชน – ศก.ไทย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4685472
ส.อ.ท. บี้พลังงานตรึงค่าไฟ 4.18 บ. แนะ 2 ทางรอดช่วยประชาชน-ศก.ไทย พร้อมผ่าตัดพีดีพี2024เปิดเสรีทั้งระบบ
นาย
อิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานคำนวณค่าไฟงวดปลายปี(กันยายน-ธันวาคม2567)พุ่งระดับ 4.65-6.01 บาทต่อหน่วยว่า ขอยืนยันว่าราคาค่าไฟงวดปลายที่เหมาะสม คือ 4.18 บาทต่อหน่วยเท่ากับงวดปัจจุบัน(พฤษภาคม-สิงหาคม2567) รัฐบาลควรตรึงต่อไป เพราะเป็นทางรอดของประชาชน เป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเวลานี้ที่ยังชะลอตัว กำลังหดหายจากหนี้ครัวเรือนระดับสูง และยังเหมาะสมกับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวลานี้ด้วย
สาเหตุที่ส.อ.ท.มั่นใจเพราะระดับราคา 4.18 บาทต่อสามารถบริหารจัดการได้ ไม่จำเป็นต้องขึ้นราคาตามภาระที่สำนักงานกกพ.ระบุ โดยระดับ 4.18 บาทต่อหน่วย เมื่อคำนวณต้นทุนอย่างละเอียดแล้วพบว่ายังสามารถชำระหนี้คืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้บางส่วน จากหนี้รวม 98,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลเองสามารถช่วยสภาพคล่อง กฟผ. ได้ โดยให้ กฟผ. ชะลอหรือลดเงินนำส่งรัฐ
นอกจากนี้รัฐบาลควรชะลอการชำระคืนค่าก๊าซที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซที่เรียกเก็บเดือนกันยายน-ธันวาคม2566 ตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อตรึงค่าไฟไว้ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย หรือ AFGAS วงเงิน 15,083.79 ล้านบาท ออกไปก่อน โดยที่มาค่าของ AF Gas มาจากการที่รัฐบาลชุดนี้เมื่อเข้ามาบริหารได้สั่งลดค่าไฟฟ้างวดปลายปี 2566(กันยายน-ธันวาคม) เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย จาก 4.69 บาทต่อหน่วย ในงวดกลางปี(พฤษภาคม-สิงหาคม2566) มีมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)รองรับ โดยไม่ได้ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าแต่อย่างใด เพียงแต่สั่งให้ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และ กฟผ. คุมค่าก๊าซไว้ และให้นำส่วนต่างค่าก๊าซธรรมชาติ (AF-Gas) ไปทยอยเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟคืนให้ ปตท. และ กฟผ. ส่วนนี้จึงคิดเป็นเงิน 15,084 ล้านบาท หรือ 25.02 สตางค์ต่อหน่วย ที่จะนำมาเรียกเก็บจากประชาชนคืนในงวดปลายปีนี้
JJNY : 5in1 ไอลอว์ยื่นกมธ.สอบเพกาซัส│"ชัยธวัช" มั่นใจหายห่วง│ส.อ.ท.แนะ2ทางรอด│เจอพิษ‘ค่าระวางเรือ’พุ่ง│จีน-รัสเซียซ้อมรบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4685456
‘ไอลอว์’ ร้อง ‘กมธ.มั่นคง’ ตรวจสอบ ‘เพกาซัสสปายแวร์’ หลังเคยยื่นในสภาชุดที่แล้ว แต่การตรวจสอบหยุดชะงักลง หลังจากมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่ ด้าน ‘โรม’ จ่อบรรจุวาระเข้าที่ประชุม-เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจง
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 17 กรกฎาคม ที่รัฐสภา กลุ่มไอลอว์ นำโดย นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ และเหยื่อที่เคยถูกหน่วยงานของรัฐไทยใช้เพกาซัสสปายแวร์ (Pegasus Spyware) เจาะระบบเพื่อเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ เข้ายื่นหนังสือต่อ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีละเมิดสิทธิประชาชน
นายยิ่งชีพกล่าวว่า ในปี 2565 ไอลอว์พบว่า มีประชาชนไทย ทั้งนักศึกษา นักกิจกรรม เอ็นจีโอ นักวิชาการ และนักการเมืองรวม 35 คน ถูกเจาะระบบโทรศัพท์มือถือเพื่อขโมยข้อมูลโดยเทคโนโลยีที่เรียกว่า เพกาซัสสปายแวร์ (Pegasus Spyware) ซึ่งเป็นอาวุธไซเบอร์ที่ผลิตโดยบริษัท เอ็นเอสโอ จากประเทศอิสราเอล และมีขึ้นเพื่อขายให้กับรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งยังมีรายงานจาก CitizenLab ถึงการตรวจสอบความเชื่อมโยงบนโลกอินเตอร์เน็ตว่า มีหน่วยงานของไทยชื่อว่า ISOC หรือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่มีกิจกรรมบนโลกอินเตอร์เน็ตเชื่อมโยงกับบริษัท เอ็นเอสโอ
เพกาซัสสปายแวร์ เป็นอาวุธไซเบอร์ที่ร้ายแรงออกแบบมาเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายและการค้ามนุษย์ มีความสามารถในการเจาะและล้วงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือโดยเจ้าของเครื่องไม่รู้ตัว เมื่อถูกเพกาซัสแฝงตัวเข้ามาในเครื่องแล้ว ข้อมูลทั้งหมดในโทรศัพท์จะถูกเข้าถึงได้โดยผู้ควบคุมสปายแวร์ และโทรศัพท์จะถูกควบคุมกลายเป็นเครื่องดักฟังหรือเครื่องติดตามตัวได้ ซึ่งการใช้งานต่อประชาชนที่เห็นต่างทางการเมืองเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวขั้นร้ายแรง รัฐบาลหลายประเทศบนโลกถูกประชาชนฟ้องร้องฐานใช้งานสปายแวร์นี้เพื่อขโมยข้อมูล ละเมิดความเป็นส่วนตัว
สำหรับในประเทศไทย มีคดีที่ยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐไทยรวมทั้ง กอ.รมน. ต่อศาลปกครองแล้ว และยังอยู่ระหว่างรอคำสั่ง รับฟ้องจากศาล ส่วนคดีที่นักกิจกรรมไทยยื่นฟ้องบริษัท เอ็นเอสโอ จากอิสราเอลเป็นคดีแพ่ง ศาลแพ่งนัดสืบพยานวันที่ 3-6 และ 10 ก.ย.2567
นายยิ่งชีพกล่าวว่า ในปี 2565 ไอลอว์เคยยื่นหนังสือให้ กมธ.ของสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบข้อมูล และเคยตรวจพบเอกสารการซื้อขายเทคโนโลยีคล้ายเพกาซัสสปายแวร์ของกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติดมาแล้ว แต่หลังจากมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่การตรวจสอบโดยสภาผู้แทนราษฎรหยุดชะงักลง ขณะที่การใช้เทคโนโลยีสอดแนมประชาชนยังไม่หมดไป ประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อของสปายแวร์นี้จึงยื่นเรื่องเพื่อขอให้ กมธ.ความมั่นคงฯ ทำงานเพื่อสืบสวนหาความจริงต่อว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐไทยยังคงใช้งานสปายแวร์นี้อยู่หรือไม่ ใช้กับผู้ใด ใช้เพื่อสืบสวนหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใด และเป็นการกระทำที่มีกฎหมายใดรองรับหรือไม่
นายรังสิมันต์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องให้สำคัญ ซึ่งเคยมีการอภิปรายอย่างกว้างขวางในสภาชุดที่แล้ว เบื้องต้นจะนำเรื่องมาบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมใน กมธ. รวมทั้งเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล แต่หากเรื่องนี้ไม่สามารถคลี่คลายได้โดยเร็วคงต้องคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าว เครื่องมือทางการทหารเช่นนี้ไม่ควรที่จะถูกใช้กับ นักการเมือง นักกิจกรรมที่ต่อสู้ด้านประชาธิปไตย
"ชัยธวัช" มั่นใจหายห่วงคดียุบพรรค หลังศาล รธน.นัดชี้ขาด 7 ส.ค.นี้ ลั่น 8 ส.ค.มาทำงานที่สภาฯชัวร์
https://siamrath.co.th/n/551528
วันที่ 17 ก.ค.2567 เวลา 14.00 น. ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ โดยไม่ได้เปิดไต่สวนตามที่พรรคร้องขอ ว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่าตอนนี้เหลือประเด็นที่ต้องพิจารณาเป็นปัญหาในข้อกฎหมายเท่านั้น ส่วนปัญหาเรื่องข้อเท็จจริงนั้นศาลเห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอแล้ว จึงไม่เปิดไต่สวนอีก อย่างไรก็ตามศาลมีความเห็นให้ผนวกเอาคำร้องของคู่กรณีเข้ามาอยู่ในสำนวนด้วย น่าจะหมายถึงในส่วนของพรรคก้าวไกลคือ คำร้องที่ยื่นความเห็นของพยานคือ นายสุรพล นิติไกรพจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน เข้าไปด้วย และน่าจะรวมคำร้องที่เมื่อวานนี้ พรรคก้าวไกลได้ยื่นเป็นการโต้แย้งพยานหลักฐานทั้งที่เป็นพยานหลักฐานของ กกต. และพยานหลักฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญได้นำเข้าสู่คดีนี้ด้วย
นายชัยธวัช กล่าวว่า อย่างน้อยแม้จะไม่มีการไต่สวน เราก็ได้มีพยานเพิ่มเติมเข้าไป แต่ในความเห็นของพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องต้องเรียกว่า น่าเสียดายที่ไม่มีการเปิดไต่สวน เพราะในมุมมองของเรา ยังเห็นว่าเรื่องข้อเท็จจริงยังมีประเด็นปัญหาที่ควรมีการไต่สวนให้ถึงที่สุดก่อน ส่วนประเด็นปัญหาเรื่องข้อกฎหมายซึ่งศาลเห็นว่าเหลือแค่เรื่องข้อกฎหมายเท่านั้นที่ต้องพิจารณา เรายังมั่นใจในข้อต่อสู้ทางกฎหมายที่เราต่อสู้ไป ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่เราต่อสู้ว่า กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต.นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ตนแถลงรายละเอียดเพิ่มเติมในการโต้แย้ง เราอาศัยเอกสารหลักฐานของ กกต.เองมาเพิ่มน้ำหนักในการต่อสู้ในประเด็นนี้ว่า พยานหลักฐานของ กกต.เองตอกย้ำว่า กระบวนการยื่นคำร้องยุบพรรคในคดีนี้มิชอบด้วยกฎหมายอย่างไร
“เรายังมั่นใจ ส่วนข้อกฎหมายสำคัญเรื่องอื่น เราก็มั่นใจไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ว่า การกระทำของพรรคก้าวไกลที่ถูกกล่าวหา ไม่ใช่การล้มล้างหรือปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ทำไมไม่มีเหตุในการยุบพรรคก้าวไกล เป็นต้น สิ่งที่พรรคก้าวไกลทำได้หลังจากนี้คือ เตรียมคำแถลงปิดคดี ภายใน 24 ก.ค.นี้ โดยศาลให้ส่งในเอกสาร เนื่องจากไม่มีการเปิดไต่สวนหน้าบัลลังก์ คือไม่ได้แถลงปิดคดีด้วยวาจา คงส่งเป็นเอกสาร” นายชัยธวัช กล่าว
เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะมีการหารือกันในพรรคอีกหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันเลย เพราะว่าวันที่ 7 ส.ค.เป็นวันพุธ มีการประชุมสภาฯ ยังไม่ได้คุยกันว่าจะอย่างไร
เมื่อถามว่า มีความกังวลในคำวินิจฉัยหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า อย่างที่เรียนว่า ถ้าเกิดการเปิดไต่สวน เราก็เห็นว่ามันจะทำให้เรามีโอกาสต่อสู้ ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงอย่างถึงที่สุด ให้ได้สัดส่วนกับข้อกล่าวหา และโทษของคดีนี้ ซึ่งมีผลถึงยุบพรรคการเมือง แต่เมื่อไม่ได้เปิดไต่สวน อย่างน้อยก็ได้รวมคำร้องเพิ่มเติมของเรา อย่างที่กล่าวไป ทั้งพยาน ความเห็นของนายสุรพล ทั้งโต้แย้งพยานหลักฐานวานนี้ น่าจะเพิ่มน้ำหนักในการต่อสู้ของเรา ไม่ได้กังวลอะไรขนาดนัก แม้จะศาลเห็นว่าจะเหลือแต่ข้อกฎหมาย เรายังมั่นใจว่าการต่อสู้ข้อกฎหมายของเรามีน้ำหนัก ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในดุลพินิจของศาล ผู้ถูกร้องคงก้าวล่วงไม่ได้ เพียงแต่เสียดายโอกาสที่จะทำให้ มองในแง่ดีต่อทุกฝ่ายด้วยว่า ถ้าเปิดไต่ส่วนเพื่อให้คู่กรณีมีการต่อสู้อย่างเต็มที่ คงจะเป็นเรื่องดีต่อการยอมรับคำวินิจฉัย
เมื่อถามย้ำว่า พรรคได้เตรียมการอะไรไว้หรือไม่ในวันฟังคำวินิจฉัย นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ได้เตรียมอะไร เดี๋ยวคงต้องหารือกันในพรรคว่า ในวันที่ 7 ส.ค.จะอย่างไร เตรียมว่าเราจะจัดการอย่างไรในการฟังคำวินิจฉัยซึ่งจะชนกับวันประชุมสภาฯ
“ตอนนี้ยังไม่ได้มีปัญหาภายในอะไรกัน ส่วนใหญ่ที่เตรียมคือ เตรียมทำงานปกติตามแผนที่วางไว้” นายชัยธวัช กล่าว
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวอีกว่า ขณะนี้ระยะเวลาผ่านมานานแล้ว ทุกอย่างนิ่งหมดแล้ว ตกผลึกหมดแล้ว คือคดีนี้มันมาถึงนี่หลายเดือนแล้ว ทุกอย่างนิ่งหมดแล้วภายในพรรค
เมื่อถามอีกว่า พูดแบบนี้หมายความว่าเต็มใจยอมรับ หากพรรคถูกยุบใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ไม่ใช่เต็มใจยอมรับ ยังเตรียมมาทำงานอยู่วันที่ 8 ส.ค.
“เรียนตามตรง เอางี้ ยืนยันว่าทุกอย่างภายในพรรคนิ่งหมด เราบริหารจัดการได้ แต่เรายังเชื่อมั่นว่า แม้ศาลจะวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมาย เราเชื่อว่าข้อกฎหมายมีน้ำหนัก ถ้าใครได้เห็นเอกสารหลักฐานที่ผมแถลงไปวานนี้ ซึ่งไม่ได้เผยแพร่ ยิ่งมั่นใจ” นายชัยธวัช กล่าว
เมื่อถามย้ำว่า ถ้ามีการยุบพรรคเกิดขึ้น ได้เตรียมการอะไรไว้หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลา เรารอฟังคำวินิจฉัยก่อน ยังไม่ถึงเวลาคุยกันเรื่องนั้นในพรรค
เมื่อถามว่า ยังมีแนวโน้มพรรคจะถูกยุบอยู่หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ตอนหลังเขาบอกว่า น่าจะไม่ยุบแล้วมั้ง
เมื่อถามว่า ใครเป็นคนบอก นายชัยธวัช หัวเราะ แต่ไม่ได้ตอบคำถาม ก่อนกล่าวว่า ตอนนี้มีโอกาส อย่าเพิ่งสรุป เรายิ่งต่อสู้คดีไป เรายิ่งมั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ ทุกอย่างตกผลึกหมดแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น เตรียมทำงานอย่างเดียว
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวทิ้งท้ายพร้อมหัวเราะว่า เจอกันวันที่ 8 ส.ค. เป็นวันทำงาน เราตั้งกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรี จะมาในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน
ส.อ.ท. แนะ 2 ทางรอด ตรึงค่าไฟ 4.18 บ. ช่วยประชาชน – ศก.ไทย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4685472
ส.อ.ท. บี้พลังงานตรึงค่าไฟ 4.18 บ. แนะ 2 ทางรอดช่วยประชาชน-ศก.ไทย พร้อมผ่าตัดพีดีพี2024เปิดเสรีทั้งระบบ
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานคำนวณค่าไฟงวดปลายปี(กันยายน-ธันวาคม2567)พุ่งระดับ 4.65-6.01 บาทต่อหน่วยว่า ขอยืนยันว่าราคาค่าไฟงวดปลายที่เหมาะสม คือ 4.18 บาทต่อหน่วยเท่ากับงวดปัจจุบัน(พฤษภาคม-สิงหาคม2567) รัฐบาลควรตรึงต่อไป เพราะเป็นทางรอดของประชาชน เป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเวลานี้ที่ยังชะลอตัว กำลังหดหายจากหนี้ครัวเรือนระดับสูง และยังเหมาะสมกับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวลานี้ด้วย
สาเหตุที่ส.อ.ท.มั่นใจเพราะระดับราคา 4.18 บาทต่อสามารถบริหารจัดการได้ ไม่จำเป็นต้องขึ้นราคาตามภาระที่สำนักงานกกพ.ระบุ โดยระดับ 4.18 บาทต่อหน่วย เมื่อคำนวณต้นทุนอย่างละเอียดแล้วพบว่ายังสามารถชำระหนี้คืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้บางส่วน จากหนี้รวม 98,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลเองสามารถช่วยสภาพคล่อง กฟผ. ได้ โดยให้ กฟผ. ชะลอหรือลดเงินนำส่งรัฐ
นอกจากนี้รัฐบาลควรชะลอการชำระคืนค่าก๊าซที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซที่เรียกเก็บเดือนกันยายน-ธันวาคม2566 ตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อตรึงค่าไฟไว้ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย หรือ AFGAS วงเงิน 15,083.79 ล้านบาท ออกไปก่อน โดยที่มาค่าของ AF Gas มาจากการที่รัฐบาลชุดนี้เมื่อเข้ามาบริหารได้สั่งลดค่าไฟฟ้างวดปลายปี 2566(กันยายน-ธันวาคม) เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย จาก 4.69 บาทต่อหน่วย ในงวดกลางปี(พฤษภาคม-สิงหาคม2566) มีมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)รองรับ โดยไม่ได้ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าแต่อย่างใด เพียงแต่สั่งให้ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และ กฟผ. คุมค่าก๊าซไว้ และให้นำส่วนต่างค่าก๊าซธรรมชาติ (AF-Gas) ไปทยอยเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟคืนให้ ปตท. และ กฟผ. ส่วนนี้จึงคิดเป็นเงิน 15,084 ล้านบาท หรือ 25.02 สตางค์ต่อหน่วย ที่จะนำมาเรียกเก็บจากประชาชนคืนในงวดปลายปีนี้