▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
เรื่องเล่าสยองขวัญ
สิ่งลี้ลับ (mystery)
ความเชื่อส่วนบุคคล
ไสยศาสตร์
เรื่องเล่าจากผู้สูงอายุ
ประสบการณ์ลี้ลับในบ้าน
เหตุการณ์ที่นำมาเล่าเป็นประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก ที่ตัวเราเองและคุณแม่ได้พบเจอ และอยากจดบันทึกไว้ก่อนที่จะลืมเลือนข้อเท็จจริงบางอย่างไปตามอายุที่มากขึ้น
1. บ้านเช่าหลังที่หนึ่ง จ.อุดรธานี
เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ในช่วงวัยประถม ประสบการณ์เรื่องแรกที่จำได้ เริ่มขึ้นเมื่อคุณพ่อและคุณแม่ไปรับราชการที่จังหวัดอุดรธานี
ภูมิลำเนาคุณพ่อเป็นคนกรุงเทพมหานคร ส่วนคุณแม่เป็นคนจังหวัดเชียงราย
พอเรียนจบคุณพ่อก็ได้บรรจุงานที่จังหวัดอุดรธานี ส่วนคุณแม่ก็ขอติดตามคู่สมรสไปบรรจุที่เดียวกัน
ตอนนั้นก็ได้เช่าบ้านอยู่หลายหลัง
แต่หลังที่อยู่นานและเราจำได้ดี คือ บ้านหลังที่ 3 ซึ่งเราย้ายมาอยู่ในช่วงอนุบาลและอยู่จนถึงมัธยมต้น
บ้านหลังนี้อยู่ในซอย ใกล้ๆกับหนองประจักษ์
มีการดัดแปลงจากบ้านไม้ยกพื้นสูง ให้เป็นบ้าน 2 ชั้น ลักษณะครึ่งปูนครีงไม้ ชั้นล่างเป็นพื้นปูนขัดมัน และชั้นบนเป็นพื้นไม้ปูเสื่อน้ำมัน
พื้นที่ชั้นบนจะแบ่งเป็น 1 ห้องโถง ใช้ดูทีวีพักผ่อน และเก็บตู้เย็น มี 3 ห้องนอน
( ตอนนั้นสมาชิกในบ้านมี 5 คน ประกอบไปด้วย คุณพ่อ คุณแม่ ตัวเรา น้องสาว และพี่เลี้ยง)
ห้องนอน 1 เป็นของคุณพ่อคุณแม่และน้องสาว , ห้องนอน 2 เป็นของเราเองและเก็บตู้เสื้อผ้าทั้งหมด ห้องนอน 3 เป็นของพี่เลี้ยง
ด้วยความที่อากาศร้อนมาก สมาชิกในบ้านจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ อยู่ห้องรับแขกและห้องทานข้าวที่ชั้นล่างในเวลากลางวัน
เพราะมีอุณหภูมิเย็นกว่า และจะขึ้นชั้นสองเฉพาะเวลาพักผ่อนช่วงหัวค่ำ
ในละแวกนี้ บ้านหลังนี้เป็นบ้านเช่าขนาดใหญ่ที่สุด โดยในรั้วบ้านทั้งหมด 9 หลัง
แบ่งเป็นบ้านเช่า 6 หลัง อีก 3 หลังเป็นของเจ้าของบ้านเช่าและเครือญาติ
ต่อมาเจ้าของบ้านซึ่งเป็นคู่สามีภรรยาเกิดอุบัติเหตุ รถคว่ำเสียชีวิต
และทิ้งให้ลูกๆ 3 คน รวมทั้งธุรกิจบ้านเช่าจึงอยู่ในการดูแลของน้องสาว
เพื่อรอจนกว่าหลาน 3 คน ซึ่งกำลังเรียนมหาวิทยาลัยและมัธยม จะบรรลุนิติภาวะ
ในช่วงเวลาที่เช่าอยู่ คุณแม่เราก็เอ็นดูจ้างให้พี่ๆมาสอนพิเศษเรา เป็นค่าขนมส่วนตัวอีกทาง
บ้านที่เราเช่าอาศัยอยู่เป็นบ้านส่วนตัวของเจ้าของบ้านเช่าเอง
หลังจากที่เสียชีวิตได้ไม่นาน น้องสาวจึงประกาศหาคนเช่าบ้าน
ก่อนที่ครอบครัวเราจะทำสัญญาเช่าบ้าน ก็ได้มีการถามไถ่กันก่อนว่า
"รับได้ไหมที่บ้านเช่ามีประวัติแบบนี้"
แต่พื้นฐานที่คุณพ่อเราเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก
คุณพ่อไม่เคยเชื่อเรื่องลี้ลับ ไม่มีศรัทธาทางศาสนา เป็นคนที่วัดไม่เข้าและไม่ไหว้พระ หรือสวดมนต์
คุณพ่อยังพูดอยู่เสมอว่า “ผีไม่มีในโลก” เรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเพราะได้บ้านหลังใหญ่ราคาถูก
ตรงกันข้ามกับบุคลิกของคุณแม่ที่ศรัทธาในศาสนามากๆ ชอบทำวัตร สวดมนต์และเชื่อในเรื่องลี้ลับ
หลังจากที่มาอยู่ คุณแม่มักจะบอกว่าบ้านหลังนี้มักมีเสียงอะไรแปลกๆลักษณะเสียงเหมือนมีคนเดินไปเดินมาชั้นบน ทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่บนบ้าน แต่คุณพ่อมองว่าเป็นเสียงแมวที่เราเลี้ยงแมว อาจจะเดินไปมาชั้นบน
บ่อยครั้งที่มีการคุยกันเมื่อเสียงชั้นบนดังขึ้น และจบด้วยการให้เรา ขึ้นว่าดูว่ามีแมวอยู่บนนั้นหรือไม่
หากไม่มีแมวเดิน ก็เป็นเพราะเสียงไม้ลั่น
เนื่องจากอากาศที่ร้อนเย็นไม่เท่ากัน ทำให้ไม้หดและขยายตัว เกิดเสียงเหมือนคนเดินได้
จากประสบการณ์ส่วนตัวของเราซึ่งตอนนั้นยังเด็กมาก เรามองว่าเสียงไม้ลั่น มันไม่มีเงื่อนไขที่แน่นอน และเสียงที่ได้ยินก็เหมือนมีคนเดินอยู่บนนั้นจริงๆ เกิดขึ้นทั้งตอนกลางวันและกลางคืน
บางครั้งตัวเราเองก็สับสนว่าเป็นคนจริงๆหรือเสียงไม้
เพราะเวลาที่เราอยู่ในห้องนอนเวลากลางคืน เราได้ยินเสียงเหมือนคุณพ่อเดินอยู่ที่ห้องโถงและเปิดตู้เย็น
แต่พอเปิดประตูออกไปดู กลับพบว่าห้องมืดและไม่มีใครบริเวณนั้นเลย
เหล่านี้เกิดเป็นประจำและหาคำตอบไม่ได้ ก็เกิดความกลัวแบบไม่มีเหตุผลอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร
ชีวิตในบ้านเช่าหลังนั้น ก็ดำเนินผ่านไปหลายปี
นอกจากเสียงคนในบ้านที่ไม่เคยพบตัวเป็นๆแล้ว สมาชิกในบ้านก็ไม่ได้เจออะไรเพิ่มเติม
แต่บ่อยครั้งที่เพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นเครือญาติกับเจ้าของบ้านหลังเดิม มักจะมาเล่าให้ฟังบ่อยๆว่า
"เจ้าของบ้านหลังนี้ มักจะมาเข้าฝันและให้เลขเด็ด ได้ลาภลอยอยู่เป็นประจำ"
ต่างกับครอบครัวเราที่ไม่ฝันอะไรเลย
แต่เสียงในบ้านก็รุนแรงมากขึ้น ในช่วงที่คุณพ่อคุณแม่ได้คำสั่งย้ายกลับภูมิลำเนาจังหวัดเชียงรายและเตรียมตัวย้ายออกจากบ้านเช่า
เวลานั้นเราก็อยู่ชั้นมัธยมต้นปี 1
เราพบว่าบ้านมีเสียงดัง แบบไม่ทราบสาเหตุตลอดเวลา
มีหลายๆครั้งที่ได้ยินเสียงคนเดินอึกทึกอยู่ชั้นบน และคุณพ่อก็ใช้ให้เราขึ้นไปหาแมวที่เลี้ยงไว้บ่อยๆ
"แต่เราก็ไม่พบแมวหรือพี่เลี้ยงอยู่ชั้นบนนั้น"
บางครั้งคุณพ่อก็ใช้ให้เราลองเดินไปมาชั้นบน เพื่อเปรียบเทียบเสียงเดินของคนกับเสียงไม้ลั่นเวลา ว่าต่างกันไหม
เคยมีครั้งนึงที่คุณพ่อใช้ให้เราขึ้นไปดูแมวเหมือนเช่นเคย พอเราขึ้นไปก็ไม่พบอะไร
แถมเสียงนั้นก็ยังดังอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด จนเรารู้สึกกลัวมากและรีบเดินลงมาชั้นล่าง
จนคุณพ่อต้องเดินขึ้นไปดูด้วยตัวเองอีกครั้ง
ในช่วงเวลานั้น เพื่อนบ้านที่ฝันถึงเจ้าของบ้านหลังนี้บ่อยๆ เล่าให้ฟังว่า
“เค้าฝันเห็นเจ้าของบ้าน ทั้งสามีและภรรยา บอกว่ากำลังย้ายของกลับเข้าบ้านหลังนี้เหมือนเดิม เพราะคนเช่ากำลังจะย้ายออกจากบ้านนี้”
พอจบบทสนทนา เราและคุณแม่มองหน้ากันอย่างเงียบๆ
และแอบคุยกันว่าเสียงดังที่เกิดขึ้นช่วงนี้เป็นเพราะเจ้าของบ้านซึ่งเป็นผี กำลังย้ายเข้าบ้านจริงๆหรือไม่
แต่ไม่ว่าจะยังไง ก็ไม่สนใจที่จะหาคำอธิบายต่อ
เพราะวุ่นวายกับการเก็บของ และเตรียมขนของทั้งหมดในบ้าน ไปบ้านหลังใหม่ที่จังหวัดเชียงราย
ซึ่งต้องใช้รถสิบล้อ 1 คัน และรถกระบะอีก 2-3 คัน
ส่วนตัวเราก็ต้องอยู่ต่ออีก 1 เดือน โดยได้อาศัยอยู่กับเพื่อนบ้าน เพื่อสอบปลายภาคชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ต่อมาคุณแม่ก็นั่งรถทัวร์มารับ
วันที่เราเดินทางไปเชียงราย บ้านหลังนี้ได้ปิดว่างไว้และรอผู้เช่ารายใหม่
ตัวเรากับคุณแม่ก็โบกมือลาบ้านเช่าเป็นครั้งสุดท้าย
2 : บ้านเช่าไม้โบราณในจังหวัดเชียงราย
หลังจากย้ายมาที่จังหวัดเชียงราย ครอบครัวเราประกอบไปด้วย คุณพ่อ คุณแม่ ตัวเราและน้องสาว ก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านคุณย่า
(ส่วนพี่เลี้ยงก็ย้ายไปแต่งงานมีครอบครัว)
ตามที่เคยเล่าว่าคุณพ่อมีภูมิลำเรากรุงเทพมหานคร แต่คุณปู่ได้มารับราชการที่เชียงราย
ตอนแรกคุณปู่และคุณย่าอยู่บ้านพักราชการ
คุณย่าได้เก็บเงินซื้อที่ดินบริเวณใกล้บ้านพักราชการ และสร้างบ้านเดี่ยวซึ่งอยู่ใกล้กับตลาด
โดยกั้นห้องกระจกข้างหน้าบ้านเป็นร้านขายของชำ เพื่อเป็นรายได้เสริมเพิ่มเติม
พอย้ายมาอยู่ได้ไม่นานก็เกิดความอึดอัดใจ เพราะมีสมาชิกมากเกินไป มีปัญหาที่คุยกันไม่รู้เรื่อง
ในที่สุดก็ตัดสินใจย้ายไปเช่าบ้านคนรู้จักเพื่อความสบายใจของแต่ละฝ่าย
บ้านเช่าหลังใหม่ ตั้งอยู่บนนถนนใหญ่ไม่ไกลจากห้าแยกพ่อขุน
มีลักษณะเป็นบ้านไม้อายุ 40 ปี ยกพื้นสูง ใต้ถุนเทปูนเป็นพื้นที่เอนกประสงค์
บ้านมีทีดินประมาณ 2 งาน แต่นอกเหนือตัวบ้าน ส่วนที่เป็นพื้นดินค่อนข้างรก มีไม้เลื้อยขึ้นคลุมดินสูงมาก
ชั้นบนของบ้านแบ่งเป็น 1 ห้องโถงใหญ่ และมี 3 ห้องนอน มีขนาดห้องเป็นเล็ก กลางและใหญ่ โดยที่ห้องนอนใหญ่สุด จะมีหน้าต่าง 2 ด้าน อยู่หลังบ้าน มองหลังไปจะเห็นต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน
มุมห้องมีเสาตกน้ำมัน พันผ้าสีต่างๆเต็มไปหมด
อีกฟากจะเป็นห้องนอนขนาดกลางและเล็กอยู่ติดกัน
ตอนนั้นคุณแม่ให้คุณตามาอยู่ด้วยช่วงแรกๆ ตกลงให้นอนห้องนอนใหญ่
ส่วนคุณแม่และน้องสาวนอนห้องกลาง ตัวเราเองนอนห้องเล็กสุด
ในขณะที่คุณพ่อจะไปทำงานจังหวัดพะเยา ซึ่งมีบ้านพักข้าราชการอยู่ประจำ และกลับบ้านช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
คุณตาช่วยเราถางต้นไม้ที่รกออก ปรับภูมิทัศน์ให้โล่ง
ป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆที่อาจจะมาอยู่บริเวณนั้น และวางแผนปลูกผักสวนครัว
แต่คุณตาก็พบว่าเนินดินที่ปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อยนั้น เป็นซากเจดีย์โบราณซึ่งมีอายุนับร้อยปี
รวมทั้งพบโครงกระดูกขนาดใหญ่ (คุณตาคาดว่าเป็นกระดูกช้าง) กระจายอยู่บนซากนั้น
นอกจากนี้ พื้นดินที่ขุดลึกลงไปก็พบก้อนอิฐโบราณขนาดใหญ่ ลักษณะสีเหมือนอิฐของกำแพงเมืองโบราณ
พวกเราจึงไม่กล้าจะถางต่อ เพราะเกรงว่าจะไปทำลายโบราณสถานให้เสียหาย
อีกอย่างทางบ้านแม่ก็มีความเชื่อว่าไม่เป็นมงคลที่จะทำอะไรกับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
ทำได้แค่ทำความสะอาดพื้นที่อยู่อาศัย และหลีกเลี่ยงที่จะเดินไปบริเวณซากเจดีย์เก่าหลังบ้าน
ปล่อยให้รกร้างเช่นเดิม
"บ้านเช่าหลังนี้ ก็มีเหตุการณ์แปลกเช่นเดียวกับบ้านเช่าหลังแรก
คือ มักมีเสียงไม้ลั่น เหมือนมีคนอยู่บนบ้านตลอดเวลา”
ช่วงแรกที่คุณตามาอยู่ด้วย
เวลานอนในห้องนอนใหญ่ก็มักจะมีคนมาตีที่แขนเวลานอนหลับ
พอเจอหลายครั้งเข้า คุณตาก็ตะวาดเสียงดัง และไล่ให้ออกไป
(ด้วยความที่คุณตาเป็นตำรวจ ก็เลยไม่ได้ตื่นกลัวหรือตกใจอะไรกับเหตุการณ์ลี้ลับที่เกิดขึ้น)
ตัวคุณแม่เองก็เล่าให้คุณตาฟังว่า ตอนที่เข้ามาอยู่ที่นี่
ได้ฝันเห็น "คนฟ้อนรำ มีพิธีการและมีเจดีย์ใหญ่ ซึ่งความฝันของคุณแม่นี้ เราเพิ่งมารู้เรื่องเมื่อไม่นานมานี้เอง"
หลังจากที่คุณตากลับไปแล้ว บ้านหลังนี้ก็อยู่กัน 3 คน แม่ลูก
นอกจากเสียงไม้ลั่นที่เกิดขึ้นเป็นประจำแล้ว ก็มักจะมีทีวี ที่สามารถเปิด-ปิดได้เอง
รวมทั้งตู้เสื้อผ้าไม้อัดที่มักจะเปิดทิ้งไว้บ่อยๆ แรกๆก็บ่นกันว่าทำไมใช้ตู้เสื้อผ้าแล้วไม่ปิดให้เรียบร้อย
แต่มีวันหนึ่งที่เราและคุณแม่กำลังถกเถียงกันเรื่องนี้
ระหว่างคุยกันและดูโทรทัศน์อยู่ตรงห้องโถง ซึ่งมุมนี้จะสามารถมองทะลุประตู มองเห็นตู้เสื้อผ้าภายในห้องนอนคุณแม่ได้
อยู่ดีๆก็ได้ยินเสียงแอ๊ด.....ของตู้เสื้อผ้าที่ ค่อยๆขยับเปิดออกอย่างช้าๆ ต่อหน้าเราทั้ง 2 คนแม่ลูก
พอตั้งสติได้ เราก็ได้เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เพื่อเช็คว่ามีลมพัด หรือพื้นเอียง ทำให้บานตู้ขยับได้เองหรือไม่
แต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร
“แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่เหตุการณ์เหล่านี้กลับไม่เกิดขึ้น เวลาที่คุณพ่อกลับมาบ้านเลย”
ก่อนเกิดที่จะย้ายออกจากบ้านหลังนั้น น้องสาวเราเกิดอุบัติเหตุ วิ่งล้มในบ้าน
เหตุการณ์ในเย็นวันหนึ่งที่น้องสาวเราวิ่งจากห้องโถงไปในครัว โดยมีห้องน้ำคั่นตรงกลาง
พอเราก็พูดว่า “ระวัง อย่าวิ่ง” สิ้นสุดคำสุดท้ายก็เป็นเสียงร้องไห้
น้องสาวพุ่งเข้าไปนอนในห้องน้ำ นอนกองอยู่กับพื้น หัวไปชนกับเหลี่ยมห้องน้ำ
เป็นแผลลึกที่ขมับ เลือดนองเต็มมือเราไปหมด จึงรีบพาน้องโรงพยาบาลกว่าจะเย็บแผลเสร็จก็ 3 ทุ่มกว่า
จากเหตุการณ์นั้นก็รู้สึกมีความคิดไม่ดีกับความปลอดภัยของบ้านมากกว่าเดิม
“รอบบ้านก็เป็นพุ่มไม้รก มีเจดียเก่า บ้านไม้โบราณที่ไม่ปลอดภัยเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
แถมมีอะไรแปลกๆที่พิสูจน์ไม่ได้ให้ลุ้นตลอด ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยด้วยประการทั้งปวง”
ต่อมาคุณย่าวางแผนสร้างบ้านใหม่ 3 หลัง บนที่ดินแถบชานเมืองสำหรับอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่
เรื่องเล่าบ้านเช่าหลังที่สองจึงจบลงเท่านี้