ห่างหายจากการพบปะสื่อไทยไปนาน ล่าสุด “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดงาน “Meet the Press ผู้ว่าฯ พบสื่อ” ขึ้น เพื่อชี้แจงถึงการดำเนินนโยบายการเงิน ที่หลาย ๆ เรื่องอาจจะไม่ “ตรงใจ” ฝั่งที่มีหน้าที่บริหารประเทศ ที่ต้องการเห็นทุกนโยบายร่วมกันกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เศรษฐกิจฟื้นแต่คนยังจมทุกข์
โดย “ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวว่า ตอนนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวและทยอยฟื้นกลับเข้าสู่ศักยภาพ แต่เทียบกับโลกเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้า และในภาพรวมยอมรับว่าซ่อนความลำบากและความทุกข์ของคนในหลายกลุ่ม ทั้งลูกจ้างนอกภาคเกษตร และกลุ่มอาชีพอิสระ แม้รายได้จะกลับมาสูงกว่าก่อนโควิด-19 แต่ยังพบว่ามี “หลุมรายได้” ที่หายไปมหาศาล เพราะรายจ่ายมีแต่เพิ่มขึ้นตามค่าครองชีพที่สูงขึ้น
ซึ่งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2567 ในไตรมาส 1 อยู่ที่ 1.5% ออกมาดีกว่าคาด ส่วนไตรมาส 2/2567 คาดว่าจะใกล้เคียง 2% และไตรมาส 3 น่าจะเห็นใกล้เคียง 3% และไตรมาส 4 เติบโตใกล้เคียง 4% จากนั้นในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ราว 3% เป็นระดับศักยภาพ ตามแบบจำลองของ ธปท.
“ศักยภาพเศรษฐกิจไทยลดลง จากช่วง 10 ปีก่อนโควิด-19 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3.0-3.5% หากต้องการเพิ่มระดับศักยภาพให้เกิน 3% จะต้องให้มีการลงทุนใหม่ ในโครงสร้างพื้นฐาน มีการวิจัยและพัฒนา (R&D) คุณภาพแรงงาน แต่หากมาจากการกระตุ้น ไม่มีลงทุนใหม่ จะกระตุ้นได้แป๊บเดียว หรือกระตุ้นให้ตาย ก็กลับมาที่ 3%”
แจงเงินเฟ้อต่ำ-ไม่ลดดอกเบี้ย
สำหรับที่มีคำถามกันว่า “เงินเฟ้อต่ำ ทำไม ธปท.ไม่ลดดอกเบี้ย” ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อทั่วไปที่ ธปท.ใช้ปัจจุบันเป็นกรอบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) ซึ่งการพิจารณา “ดอกเบี้ยนโยบาย” ไม่ได้ดูเพียงอัตราเงินเฟ้ออย่างเดียว แต่จะดูอย่างอื่นด้วย เช่น การเติบโตเศรษฐกิจ เสถียรภาพระบบการเงิน จึงไม่มีกรอบตายตัว ว่าเมื่อเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย จะต้องลดดอกเบี้ยทันที
อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อต่ำ ไม่ได้หมายความว่า ราคาสินค้าจะถูกลง โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้ในชีวิตเป็นประจำ โดยหากดูรายละเอียดของสินค้าปัจจุบันเทียบกับ 5 ปีก่อน พบว่า ไข่ไก่ เดิมฟองละ 4 บาท ปัจจุบันเพิ่มเป็นฟองละ 5 บาท หรือเพิ่มขึ้น 25% หรือแก๊สโซฮอล์ 95 เดิมราคาอยู่ที่ 27.70 บาทต่อลิตร เพิ่มเป็น 38.80 บาทต่อลิตร หรือเพิ่มขึ้น 40%
นอกจากนี้ ไทยยังถูกซ้ำเติมเรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่ ธปท.ค่อนข้างห่วง หากดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ก็เป็นภาระหนี้ ก็ไม่ดี หากดอกเบี้ยต่ำ ทำให้การกู้ยืมก็โตไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้เสถียรภาพฝั่งการเงินเสื่อมลง จะเห็นว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนในไตรมาส 1 อยู่ในระดับ 90.8% ของจีดีพี เพิ่มจากในอดีตที่เคยอยู่ในระดับ 60-70% และทยอยไต่เพิ่มขึ้นมาอยู่ 85% ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2558 ซึ่งเป็นช่วง “ลดดอกเบี้ย” ดังนั้น ธปท.จึงต้องชั่งน้ำหนักในเรื่องนี้
ย้ำดอกเบี้ยอยู่ระดับเหมาะสม
“ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวว่า นอกจากดอกเบี้ยนโยบาย แต่ยังมีมาตรการทางการเงินอื่น ๆ ที่จะมาช่วยเสริมมากกว่าการใช้ดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว เช่น มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ที่นำมาใช้ในช่วงสินเชื่อบ้านชะลอตัวลง การปรับโครงสร้างหนี้ผ่านมาตรการฟ้า-ส้ม และหลังครบอายุก็มีมาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) เน้นการดำเนินการ (Execution) จริงจัง
“ดอกเบี้ยตอนนี้ เราพิจารณาจาก Outlook Dependent เพราะนโยบายวันนี้จะมีผลในระยะข้างหน้า ซึ่งหาก Outlook เปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งเศรษฐกิจ และเสถียรภาพมีการปรับเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ เราก็พร้อมจะปรับนโยบาย ไม่ได้ปิดประตูแต่อย่างใด แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยเหมาะสมกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจ และเสถียรภาพการเงินและระบบการเงิน”
ปรับกรอบเงินเฟ้อต้องชั่งน้ำหนัก
ส่วนการปรับกรอบเงินเฟ้อนั้น ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ทาง ธปท.ก็รับข้อเสนอของกระทรวงการคลังไว้พิจารณา ซึ่งจะมีการตกลงกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อร่วมกันในไตรมาส 4/2567 อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเหตุผลของกรอบเงินเฟ้อ ว่ามีไว้ทำไม ก็คือ มีไว้ยึดเหนี่ยวคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคต และความชัดเจนของนโยบาย
“การปรับกรอบเงินเฟ้อ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องชั่งน้ำหนัก และหากดูต่างประเทศไม่มีใครปรับกรอบเงินเฟ้อ เพราะอาจจะกระทบ Credit Rating และการคาดการณ์เงินเฟ้อจะเปลี่ยนแปลง อาจส่งผลให้เงินเฟ้อขยับสูงได้ จึงต้องชั่งน้ำหนักให้ดี โดยหากมองอัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ จะอยู่ที่ 0% หรือทรงตัว และในช่วงครึ่งหลังของปีจะเฉลี่ย 1.1% จึงเป็นที่มาของทั้งปี 2567 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.6%”
สินเชื่อชะลอตามวัฏจักร
ทั้งนี้ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ยอมรับว่าแนวโน้มสินเชื่อชะลอตัวลง โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีที่ติดลบ ซึ่งเป็น “Top of Concern” ของ ธปท.
โดยจากข้อมูลกลุ่มสินเชื่อ SMEs จะพบว่าประมาณ 70% จ่ายอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 10% แต่หากพิจารณาต้นทุนของธนาคาร จะเห็นว่าต้นทุนการเงินโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3% ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ซึ่งใกล้เคียงกันทั้งรายใหญ่และรายเล็กเฉลี่ย 2-3% และค่าใช้จ่ายที่หนักสุดจะเป็นค่าใช้จ่ายค่าความเสี่ยงหนี้เสียราว 6-8%
ดังนั้น หากรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะไม่คุ้มกับผลตอบแทนที่ได้รับ ทำให้ธนาคารไม่อยากปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี ซึ่ง ธปท.พยายามผลักดันให้เอสเอ็มอีมีข้อมูล หรือการแชร์ข้อมูลด้านอื่น ๆ มากกว่างบการเงินเพียงอย่างเดียว
“การเติบโตสินเชื่อ หรือการชะลอตัวของสินเชื่อ จะเป็นช่วงเวลาหรือวัฏจักร และทั่วโลกเป็นแบบนี้ หากเศรษฐกิจไม่ดี สินเชื่อลดลง เศรษฐกิจฟื้นตัว สินเชื่อจะเพิ่มขึ้น ปัจจุบันหากดูตามวัฏจักรสินเชื่อจะต้องอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งไม่เกี่ยวกับเกณฑ์ของ ธปท. ทำให้สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ และสิ่งที่ธนาคารพิจารณา คือ ความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนที่ได้รับ”
– Website :
https://www.prachachat.net
“แบงก์ชาติ” ตอบปมร้อน “เงินเฟ้อต่ำ” ทำไม…ไม่ “ลดดอกเบี้ย”
นอกจากนี้ ไทยยังถูกซ้ำเติมเรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่ ธปท.ค่อนข้างห่วง หากดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ก็เป็นภาระหนี้ ก็ไม่ดี หากดอกเบี้ยต่ำ ทำให้การกู้ยืมก็โตไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้เสถียรภาพฝั่งการเงินเสื่อมลง จะเห็นว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนในไตรมาส 1 อยู่ในระดับ 90.8% ของจีดีพี เพิ่มจากในอดีตที่เคยอยู่ในระดับ 60-70% และทยอยไต่เพิ่มขึ้นมาอยู่ 85% ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2558 ซึ่งเป็นช่วง “ลดดอกเบี้ย” ดังนั้น ธปท.จึงต้องชั่งน้ำหนักในเรื่องนี้
ทั้งนี้ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ยอมรับว่าแนวโน้มสินเชื่อชะลอตัวลง โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีที่ติดลบ ซึ่งเป็น “Top of Concern” ของ ธปท.
ดังนั้น หากรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะไม่คุ้มกับผลตอบแทนที่ได้รับ ทำให้ธนาคารไม่อยากปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี ซึ่ง ธปท.พยายามผลักดันให้เอสเอ็มอีมีข้อมูล หรือการแชร์ข้อมูลด้านอื่น ๆ มากกว่างบการเงินเพียงอย่างเดียว
“การเติบโตสินเชื่อ หรือการชะลอตัวของสินเชื่อ จะเป็นช่วงเวลาหรือวัฏจักร และทั่วโลกเป็นแบบนี้ หากเศรษฐกิจไม่ดี สินเชื่อลดลง เศรษฐกิจฟื้นตัว สินเชื่อจะเพิ่มขึ้น ปัจจุบันหากดูตามวัฏจักรสินเชื่อจะต้องอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งไม่เกี่ยวกับเกณฑ์ของ ธปท. ทำให้สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ และสิ่งที่ธนาคารพิจารณา คือ ความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนที่ได้รับ”
– Website : https://www.prachachat.net