KEY POINTS
จับสัญญาณงบบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/68 ย่อตัว กำไรไตรมาส 2/68 อ่อนแอ
บัวหลวงแนะวางกลยุทธ์ Highly Selective Strategy ชู 4 กลุ่มหุ้นโดดเด่นสู้วิกฤติ
กำไรสุทธิรวมของหุ้นใน SET ในไตรมาส 1 ปี 2568 ปรับตัวลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 58% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยกลุ่มที่รายงานกำไรเติบโต เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่
1. กลุ่มอาหาร : ราคาหมูไทยและต่างประเทศเพิ่มขึ้นและต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง เครื่องดื่มชูกำลังก็ได้อานิสงส์จากต้นทุนน้ำตาล เศษแก้ว และราคาก๊าซธรรมชาติลดลง
2. กลุ่มสื่อสาร : รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจมือถือและธุรกิจบรอดแบนด์
3. กลุ่มค้าปลีก :กลุ่มค้าปลีกของใช้จำเป็นยังดี ในขณะที่กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้างยังอ่อนแอ
4. กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ : อุปสงค์ส่งออกสินค้าเกี่ยวกับ AI/Data center ยังเติบโตดี ในขณะที่หมวดอื่นยังอ่อนแอ
5. กลุ่มธนาคาร : รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย/รายได้จากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น และต้นทุนดำเนินงานที่ลดลง
ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่รายงานกำไรลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่
1.กลุ่มปิโตรเคมี : ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ยังอ่อนแอ
2.กลุ่มสื่อ : เม็ดเงินโฆษณาลดลง โดยเฉพาะกลุ่มทีวี
3.กลุ่มบรรจุภัณฑ์ : ปริมาณขายและราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ลดลง
4.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : ธุรกิจปิโตรเคมีของ SCC อ่อนแอ
5.กลุ่มพลังงาน : ค่าการกลั่นลดลง และราคาขายพลังงานเฉลี่ยของ PTTEP ลดลง
6.กลุ่มอสังหาฯ :ยอดโอนโครงการชะลอตัว ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสูงขึ้น และการลดราคาเพื่อเคลียร์โครงการพร้อมขาย
7.กลุ่มยานยนต์ :อุปสงค์อ่อนแอจากหนี้ครัวเรือนสูงและธนาคารคุมเข้มในการปล่อยสินเชื่อ
อย่างไรก็ดีกำไรสุทธิออกมาดีกว่าตลาดคาด 6.5% โดยค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 0.8% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงาน (หลัก) ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า กำไรสุทธิรวมดีกว่าที่เราคาด 8.3% (กำไรหลักรวมดีกว่าที่เราคาด 5.8% จากกลุ่มอาหารที่รายงานกำไรดีกว่าคาด)
ทั้งนี้สัดส่วนบริษัทจดทะเบียนใน SET ที่กำไรดีกว่าที่ตลาดคาด (เกิน 5%) อยู่ที่ 48% เพิ่มขึ้นจาก 32% ในไตรมาส 4 ปี 67 (ค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 38%) โดยบริษัทราว 18% รายงานผลประกอบการที่อ่อนแอกว่าคาด ลดลงอย่างมากจาก 39% ในไตรมาส 4 ปี 67 (ค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 35%) สัดส่วน Beat-to-miss ratio ในไตรมาส 1 ปี 68 อยู่ที่ 2.7 เพิ่มขึ้นจาก 0.8 ในไตรมาส 4 ปี 67 และสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 55 (ค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 1.1) สัดส่วน Beat-to-miss ที่สูงอาจสะท้อนว่าความคาดหวังของตลาดอยู่ในระดับต่ำมากและอาจเป็นสัญญาณเชิงบวกแสดงว่าความเสี่ยงอาจถูกสะท้อนไปมากพอสมควรแล้ว
หากย้อนดู Trade War 1.0 ก่อนภาษีบังคับใช้มักเห็นการเร่งสั่งซื้อสินค้าชั่วคราว (front-loaded demand แต่การค้าทั่วโลกกลับลดลงเร็วหลังภาษีใช้จริง ส่งผลให้เศรษฐกิจของทั้งสหรัฐฯ และจีนชะลอลงเร็ว การใช้จ่ายลดลง และเงินเฟ้อไม่ได้เร่งตัว
ทั้งนี้ ระหว่างสงครามการค้า 2561–2562 เงินเฟ้อสหรัฐฯ ลดลงจาก 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ใน ก.ค. 2561 เหลือ 1.9% ใน ธ.ค. 2561 เพราะผู้นำเข้าสหรัฐฯต้องแบกรับต้นทุนภาษีเองเพื่อรักษายอดขาย ส่งผลให้อัตรากำไรลดลง
ทางทีม Research ของหลักทรัพย์บัวหลวง มองว่า ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจำกัด และเฟดน่าจะสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปีนี้ เหลือ 4% ณ สิ้นปี 2568 (จาก 4.5% ณ สิ้นปี 2568) เพื่อหนุนอุปสงค์ผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากสงครามการค้าจะกดดันกำไรของ SET ในไตรมาส 2–3 ปี 68 ก่อนเริ่มฟื้นตัวไตรมาส 4 ปี 68
แม้มีสัญญาณผ่อนคลายจากสงครามการค้าโลกที่จะช่วยหนุนความเชื่อมั่นในระยะต่อไป แต่ในประเทศยังเผชิญแรงกดดันหลายด้าน เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟสที่ 3 (ถ้ามี) (อัดฉีด 27,000 ล้านบาท), โครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน", มาตรการ LTV ผ่อนคลายชั่วคราว และการอุดหนุนค่าไฟและเชื้อเพลิง อาจช่วยพยุงเศรษฐกิจระยะสั้น ดอกเบี้ยนโยบายของธปท. อาจลดเหลือ 1.5% ภายในสิ้นปี 2568 (จาก 1.75% ในเดือน เม.ย.)
ซึ่งจะช่วยประเมินมูลค่าสินทรัพย์เสี่ยง แต่แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและไทยยังชะลอตัว จากการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า (กระทบส่งออก), การบริโภคในประเทศที่อ่อนแอ (จากหนี้ครัวเรือนสูง), และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นช้ากว่าคาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน
นอกจากนี้ de-globalization (หรือ regionalization) และสินค้านำเข้าจากจีนที่ทะลักเข้ามายังไทย กดดันผู้ผลิตและ SME ในประเทศ ขณะที่ การลงทุนต่างชาติ FDI ยังเผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง
สำหรับประมาณการกำไรปี 2568 ของตลาด SET ปรับลดลงต่อเนื่อง 0.4% นับตั้งแต่เดือน พ.ค. จนถึงปัจจุบัน (ลดลง 6% ตั้งแต่ต้นปี) โดยเฉพาะ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี (ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีลดลง) บรรจุภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ (ชะลอตัวทั่วโลก) และ อสังหาฯ (อุปสงค์อ่อนแอ)
ในทางตรงกันข้าม กลุ่มอาหาร (ราคาเนื้อสัตว์สูงขึ้น) สื่อสาร (ARPU สูงขึ้น) และรับเหมาก่อสร้าง (ผลประกอบการไตรมาส 1/68 ดีกว่าคาด) เป็นกลุ่มที่ถูกปรับขึ้นคาดการณ์กำไร
SET earnings trend (656 companies)
ทั้งนี้จากประมาณการของนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของเรา บ่งชี้ว่ากำไรสุทธิรวมของ SET ในไตรมาส 2 ปี68 จะยังอ่อนแอ (ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและลดลง 10% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า) เราจึงเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรโดดเด่นในไตรมาสนี้ ได้แก่
1. กลุ่มอาหาร: โดยเฉพาะผู้ผลิตเนื้อสัตว์ที่ได้ประโยชน์จากราคาหมูที่สูงขึ้น และต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลง
2. กลุ่มเครื่องดื่ม: ต้นทุนน้ำตาลและอะลูมิเนียมที่ลดลง
3. หุ้นที่มีคุณภาพดีและเติบโตในระยะยาว ได้แก่ กลุ่มสื่อสารและกลุ่มโรงไฟฟ้า
4. เริ่มทยอยสะสมหุ้นกลุ่มวัฏจักร (cyclical) ในช่วงไตรมาส 2–3 ปี 68 โดยกลุ่มปิโตรเคมี ถือเป็น Best global play เพราะราคาหุ้นในกลุ่มนี้ใกล้ถึงจุดต่ำสุดของวัฏจักรแล้ว และมีความเสี่ยงด้านกำไรน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ
“เป้าหมายดัชนี SET อยู่ที่ 1,280 จุด อิงจาก EPS ปี 2568 ที่ 82 บาท การเติบโตของ EPS ปี 2568 ที่ 7.0% (จาก 76.9 บาทในปี 2567) และ PER ที่ 15.7 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีอยู่ 0.5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน” อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ Thai Market Strategy ของหลักทรัพย์บัวหลวง ฉบับวันที่ 18 พ.ค. 68
ส่องกำไรบริษัทจดทะเบียน Q2/68 อ่อนแอ ชู 4 กลุ่มหุ้นเด่นสู้วิกฤติ