เริ่มเลยนะ จำได้ว่าประมาณ ตี 3 ตี 3 กว่าๆ รู้สึกปวดท้องแบบ ปวดๆหายๆ อาการคล้ายๆ ที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ คุณสามีจะพาไปหาหมอ แต่เรายังไม่ได้เป็นอะไรมาก เลยพยายามไม่คิดอะไร ทำใจให้สบายๆ แต่ก็อดกังวลไม่ได้ เช็คตลอดว่ามีน้ำอะไรไหลออกมาโดยที่เราไม่รู้ตัวรึป่าว พยายามนอนให้หลับ แต่รอบนี้นอนไม่หลับ นอนราบไม่ได้รู้สึกอึดอัด ต้องนั่งหลับตาจนถึงประมาณ 6 โมงเช้า รู้สึกเป็นถี่มากขึ้นเรื่อยๆ ลองจับเวลาดูว่าภายในครึ่ง ชม. ปวดถี่มากแค่ไหน ก็ปวดถี่แบบ 3 นาที / 5 นาทีครั้ง เลยบอกกับคุณสามีว่าไปหาหมอดีกว่า(วันนี้ลาป่วยแล้วกัน) จากนั้นก็ติดต่อไปที่ห้องคลอดของทางโรงพยาบาล เล่าอาการให้พยาบาลฟัง พยาบาลแจ้งว่าให้อาบน้ำ สระผม เตรียมโน่น นี่ นั่นมาให้เรียบร้อย แต่ไม่ต้องรีบ คุณหมอมา 9 โมง ศูนย์สุขภาพสตรีเปิด 8 โมง เราก็จัดการตัวเองให้เรียบร้อย ไม่แน่ใจว่าไปถึงโรงพยาบาลกี่โมง แต่น่าจะประมาณ 7 โมงกว่าๆ 8 โมง ดีที่บ้านกับโรงพยาบาลอยู่ใกล้กันขับรถไม่เกิน 15 นาทีถึง เลยไม่ค่อยตื่นเต้นมาก
พอถึงโรงพยาบาลก็ไปที่ศูนย์สุขภาพสตรี พยาบาลก็สอบถามอาการ ตรวจโน่น วัดนี่ ตามสเต็ป จากนั้นพยาบาลก็ให้เจ้าหน้าที่พาขึ้นไปห้องเตรียมคลอดเพื่อเช็คความถี่การบีบตัวของมดลูก และบันทึกการเต้นของหัวใจเบบี้ ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที พยาบาลก็โทรหาคุณหมอแจ้งอาการประมาณว่าความถี่การบีบตัวของมดลูกมีความถื่ จะให้ตรวจปากมดลูกเลยมั้ยว่าเปิดกี่ซม.แล้ว สรุปคุณหมอจะมาตรวจเอง แต่พยาบาลแจ้งว่าน่าจะได้คลอดวันนี้ พอคุณหมอมาตรวจปากมดลูกเปิดแล้วประมาณ 3 ซม.ได้มั้งถ้าจำไม่ผิดนะ เบบี้ยังศรีษะลอยอยู่ ยังไม่เข้าตำแหน่ง แต่ได้คลอดวันนี้แหละ คุณหมอก็ให้พยาบาลทำการจัดการเคลีย์ตัวอิชั้นก่อนพาไปห้องคลอด ส่วนคุณหมอก็ลงไปตรวจคนไข้คนอื่นๆ ก่อน (พยาบาลคาดว่าเบบี้น่าจะออกมาช่วงบ่ายๆ) บรรยายกาศในห้องคลอดคือโอเคมากๆ ไม่ได้ทำให้กลัวหรือตื่นตระหนกเท่าไหร่ มีทีวีให้ดูรอเวลา สามารถเปิด YT ได้ อารมณ์นั้นเอาจริงๆ ก็ไม่รู้จะเปิดอะไร พยาบาลก็เลยเปิดเพลงที่มีสถานที่สวยๆ ให้ดูให้ฟังเพื่อให้ผ่อนคลาย ไม่นานคุณสามีก็เดินเข้ามา จะมีมุมข้างๆ เป็นที่นั่งเบาะยาวประมาณ 1 เมตรให้นั่งอยู่เป็นเพื่อน พยาบาลก็เดินเข้าๆ ออกๆ เป็นระยะ บางทีก็ทิ้งช่วงนาน เราก็ปวดท้องถี่ขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ ก็บอกคุณสามีตลอด(เตงปวด ไม่ไหวแล้วอ่ะ สักพักก็หายปวด ก็หายใจเข้าลึก หายใจตามที่ศึกษาจากคลิปมา ทำได้บ้าง ลืมบ้างสลับๆ กันไป) ถ้ารู้สึกเป็นมากก็ให้คุณสามีไปบอกพยาบาล ก็จะมีพยาบาลเข้ามาคุยเข้ามาดูการเต้นของหัวใจเบบี้ พยาบาลบอกว่าถ้าเรารู้สึกปวดมาก มากแบบคิดว่าไม่ไหวก็สามารถขอยาแก้ปวดได้นะ จะให้ผ่านน้ำเกลือ(ใช่ตอนนี้ รับน้ำเกลืออยู่) แต่ถ้าไหว(อดทนได้)ไม่รับก็จะดีกว่า ก็ลองดูเอาเท่าที่ไหว แต่ต้องขอก่อนอะไรสักอย่างจำไม่ได้ สุดท้ายเราก็ขอนะ แต่พยาบาลบอกว่าไม่ทันแล้ว อารมณ์ประมาณว่าเลยจุดที่จะให้ยาแล้วทำนองนั้น(อาจจะแบบว่าถ้าให้ยาตอนนี้ก็ไม่สามารถช่วยระงับการปวดแล้วประมาณนี้แหละมั้ง) และการเช็คปากมดลูกว่าเปิดกี่ซม.แล้วพยาบาลก็จะเข้ามาเช็คเป็นระยะ แต่ไม่แน่ใจว่าพยาบาลเข้ามาเช็ค 2 หรือ 3 รอบ และมีรอบนึงที่คุณหมอเข้ามาเช็คเอง ตอนนั้นคุณหมอจะเจาะถุงน้ำคร่ำให้ด้วยแต่เหมือนมันติดกับหน้าผากเบบี้ ต้องใช้เครื่องมือช่วย คุณหมอเลยเลือกที่จะยังไม่เจาะ(พอมานั่งคิดแล้วก็ดีนะที่คุณหมอเลือกที่จะยังไม่เจาะ รอให้ระบบธรรมชาติทำงานเอง) รอบนี้เหมือนศรีษะเบบี้จะลงมาที่ตำแหน่งแล้ว จากนั้นคุณหมอก็ลงไปตรวจคนไข้คนอื่นต่อ และการเช็คปากมดลูกรอบสุดท้ายก่อนจะคลอดคือบอกพยาบาลว่าปวดมากๆ ปวดมากกว่าเดิมแล้ว พยาบาลก็เตรียมตัวเช็คปากมดลูก โดยรอบนี้พยาบาลรอเราปวด ซึ่งตอนที่เราปวดจะเป็นตอนที่มดลูกบีบตัวพยาบาลบอกว่าคือการเช็คแบบว่าปากมดลูกเราเปิดแล้วเต็มที่จริงๆ กี่ซม. และจังหวะนี้แหละทำให้ถุงน้ำคร่ำแตก ความรู้สึกตอนนั้นคือแบบโป๊ะ และโล่งระดับนึง ซึ่งถ้าจำไม่ผิดพยาบาลแจ้งว่าเปิดแล้ว 5-6 ซม. จากนั้นพยาบาลก็โทรแจ้งคุณหมอ และก็พากันเตรียมโน่น จัดนี่อะไรกันวุ่นวายประมาณนึง อาการเราก็เจ็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการคลอดธรรมชาติกว่าเบบี้จะออกมาได้ต้องผ่านช่องคลอดออกมาประมาณ 3 ชั้น ถ้าเข้าใจที่คุณหมอกับพยาบาลสื่อสารออกมาให้ฟังไม่ผิดอ่ะนะ เรารู้ว่าศรีษะเบบี้มาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถคลอดเองได้แล้ว แต่เบบี้จะต้องใช้เวลาค่อยๆ เคลื่อนตัวมาจ่อที่ปากมดลูกศรีษะต้องต่ำ ซึ่งตอนนี้ศรีษะต่ำแล้ว เวลาเรารู้สึกปวดมากๆ เราก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะเคยอ่านมาว่าอย่าเบ่งสุ่มสี่สุ่มห้า เดี๋ยวมดลูกแตกก็จะไม่สามารถคลอดเองได้ ต้องเบ่งตอนช่วงที่ควรเบ่ง ซึ่งช่วงที่ควรเบ่งคือตอนไหนก็ไม่รู้ เราแบบก็บอกพยาบาลตลอดว่าปวดอ่ะ ปวดมากแล้ว ปวดมากกว่าเดิมแล้ว ต้องทำยังไง พยาบาลอยู่เป็นเพื่อนด้วยนะ อย่าทิ้งเราไปไหน เพราะเราไม่รู้ว่าถ้าเราปวดเราต้องทำยังไง คุณสามีก็อยู่ข้างๆ นะ ทีนี้คุณสามีจะมาอยู่อีกมุมนึง เป็นมุมลับ ที่มีแค่เก้าอี้ 1 ตัว ไม่เกะกะการทำงานของทีมหมอและพยาบาลแน่นอน คอยจับมือ คอยเอาใจช่วยอยู่ใกล้ๆ ช่วงเวลานั้นเป็นเวลา 10 โมงใกล้ 11 โมง หรือ 11 โมงกว่าๆ จำไม่ได้ เป็นช่วงที่ปวดมากๆ พยาบาลก็บอกว่าถ้ารู้สึกปวดก็เบ่งได้เลย เราก็เบ่งเลย พยาบาลก็เช็คปากมดลูกว่าน้องมาอยู่ตำแหน่งไหนแล้ว แล้วก็โทรแจ้งหมอ และพยาบาลก็บอกอีกว่าถ้ารู้สึกมีลมเบ่งก็เบ่งได้เลย ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจว่าอาการมีลมเบ่งคือยังไง แค่รู้สึกว่าปวดมาก รู้สึกว่าอยากเบ่งก็เบ่งเลยมันจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นแค่นั้น ซึ่งจากการศึกษาและพยาบาลบอกคือจะรู้สึกเหมือนปวดอึ ถ้ารู้สึกก็ให้เบ่งลงก้น แล้วเบ่งลงก้นนี้ต้องยังไงนะ ไม่รู้แล้วเบ่งไปก่อน พอเราเบ่งถูกพยาบาลก็บอกว่า ใช่ค่ะคุณแม่เบ่งแบบนี้ถูกต้องค่ะ ไม่ต้องกลัวหรือกังวลนะคะปล่อยออกมาเลย ถ้ามีลม มีฉี่ หรือมีอึ พอได้ยินพยาบาลบอกแบบนี้ก็รู้สึกเบาใจหน่อย เพราะมันต้องใช้แรงเบ่งแรงมากๆ เราก็แอบกังวลแล้วรู้สึกเหมือนไม่ค่อยกล้าเบ่งเท่าไหร่ และพอเวลาเราเบ่งเสร็จถ้าเราพอจะถามไหวเราก็จะถามพยาบาล เบ่งแบบนี้ถูกไหมๆ ซึ่งก็ผิดๆ ถูกๆ บ้างช่วงแรกๆ และสักพักพยาบาลก็แจ้งว่าเห็นผมน้องแล้วค่ะคุณแม่ ถ้ามีลมเบ่งก็เบ่งเลยนะคะ ตอนนั้นรู้สึกดีใจมากๆ ความเจ็บปวดนี้ใกล้จะจบแล้ว แต่ๆๆ มันไม่ได้จะออกเร็วตามที่เราคิดไว้ขนาดนั้น ไม่นานคุณหมอก็เข้ามา (แอบได้ยินพยาบาลบอกว่านึกว่าคุณหมอจะมาไม่ทันสักแล้ว) พออยู่ครบทีมแล้วก็มาเลยจ้าาาาา พอลมเบ่งมาทุกคนก็ช่วยกัน สูด กลั้น เบ่ง อื้ออออออออ คุณสามีแรกๆ เหมือนจะไม่ค่อยกล้าช่วยเบ่ง แต่พอเข้าครั้งที่ 3, 4 ก็เหมือนจะแอบช่วย ความรู้สึกตอนนั้นคือ ลูกออกมาเร็วๆ นะ อย่าให้มี้เจ็บนานนะลูก ไม่ต้องรอบ่ายนะลูก นี่จะเที่ยงแล้ว เที่ยงเป็นเวลาพักเที่ยงนะลูก ออกมาได้แล้วลูก คุณหมอกับพี่พยาบาลจะได้ไปพัก(ซึ่งจริงๆ คุณหมอกับพี่พยาบาลไม่ได้พักตอนเที่ยง เขาจะอยู่เคียงข้างพวกเราจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย^^)
คุณหมอ : เห็นผมน้องแล้วค่ะคุณแม่ ผมเยอะนะเนี่ย
เรา : น้องออกมาแล้วหรอค่ะ
*คุณหมอ : ยังค่ะ ถ้ามีลมเบ่ง เบ่งนะคะคุณแม่ เบ่งค่ะคุณแม่ ใกล้แล้วค่ะ อีกนิดนึงค่ะ
*เรา : สูด กลั้น เบ่ง อื้ออออออออ
(*ซ้ำประมาณ 2-3 รอบได้)
คุณหมอ : น้องออกมาแล้วค่ะ
เรา : (รู้สึกโล่งมากขึ้น) ออกมาเรียบร้อยแล้วยังค่ะ
**คุณหมอ : ยังค่ะ เหลือตัวค่ะ ถ้ามีลมเบ่ง เบ่งนะคะคุณแม่ เบ่งค่ะคุณแม่ อีกทีไหวมั้ยค่ะ เอาค่ะ
**เรา : ห๊ะเหลือตัว สูด กลั้น เบ่ง อื้ออออออออ (ถ้าจำไม่ผิดช่วงนี้เป็นช่วงที่พยาบาลกดท้องช่วย)
(**ซ้ำประมาณ 2-3 รอบได้)
คุณหมอ : คุณแม่เก่งมากค่ะ น้องออกมาแล้วค่ะ 11.50 น. นี่น้องนะคะ(คุณหมอโชว์น้องให้ดูแปปนึง)
จากนั้นก็เป็นการคลอดรก และเย็บแผลตามสเต็ป (ลืมบอกอีกเรื่อง พอพยาบาลเห็นว่าเบบี้ใกล้จะออกเต็มทีแล้ว เขาจะทำการปิดแอร์ในห้องคลอด เพราะกลัวเบบี้หนาว และโทรตามหมอเด็กให้มา Stand by ไว้) พอเคลีย์ตัวเบบี้เสร็จเรียบร้อย พยาบาลก็พามาเข้าเฟรมกับคุณพ่อคุณแม่ เพื่อทำการเก็บภาพ แล้วให้เบบี้จุ๊บๆ คุณแม่เพื่อให้คุ้นเคยกลิ่น ก่อนจะพาเบบี้ขึ้นไปห้อง Nursery ส่วนคุณพ่อให้ขึ้นไปรอที่ห้องพัก กลับมาที่คุณแม่ต่อค่ะ ตอนเจ็บท้องจะคลอดว่าเจ็บแล้ว ตอนคุณหมอเย็บแผลให้เจ็บกว่าอีก ไม่ได้เจ็บฝีเข็มคุณหมอนะ เจ็บตอนที่คุณหมอซับเลือดแล้วอุดๆ ไม่ให้เลอะบริเวณที่จะเย็บมากกว่า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนหมดแรง(แอบถามคุณหมอด้วยว่าได้ตัดมั้ย คุณหมอบอกว่าต้องตัดค่ะ ถ้าไม่ตัดปล่อยให้ฉีกเองแผลจะไม่สวย^^') พยาบาลก็เอาน้ำแดง น้ำเปล่ามาให้ดื่ม พอคุณหมอเย็บเสร็จ ทำอะไรเสร็จก็ให้เรานอนพักดูอาการที่ห้องคลอด 2 ชม. ก่อนพาไปที่ห้องพัก จำได้ว่าแค่นอนพักสายตาไม่ถึงขั้นนอนหลับนะ แต่จริงๆ อาจจะหลับไปโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้
พอครบ 2 ชม. พยาบาลก็ให้เจ้าหน้าที่มารับขึ้นไปที่ห้องพัก ไม่นานก็มีอาหาร ยา มาให้ พยาบาลที่รับช่วงดูแลต่อแจ้งว่าให้ปัสสาวะภายในเวลา 2 หรือ 3 ชม. จำไม่ได้ ถ้าเลยช่วงนี้แล้วไม่ปัสสาวะจะต้องทำการสวน และถ้าหากต้องการปัสสาวะในครั้งแรกให้เรียกพยาบาลเท่านั้น ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่พอจะไปก็รู้เลย แค่ยืนก็หน้ามืดแล้ว และตอนฉี่พยาบาลบอกว่าฉี่ให้หมดนะคะ ก็งง (เอาจริงๆ แอบไม่กล้าฉี่อยู่นะ เพราะกลัวเจ็บแผล แต่ก็ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิดนะ) พยาบาลช่วยเปิดก๊อกน้ำให้มีเสียงน้ำเพราะช่วยให้เราฉี่ได้ง่ายขึ้น อาการปวดฉี่ปวดนะ แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนปกติ พยาบาลถามว่าฉี่สุดหรือยัง เราก็ไม่สามารถตอบพยาบาลได้เพราะมันรู้สึกไม่เหมือนเดิม (มันไม่ใช่เรื่องแปลกนะคะ เราพึ่งผ่านการคลอดลูก ผ่านการเย็บแผลมา) พยาบาลก็ให้เรานั่งสักพัก จนเราคิดว่าน่าจะโอเคแล้วถึงเดินกลับมาที่เตียง อาการที่พบหลังจากคลอดลูกเสร็จคือหน้ามีเม็ดแดงๆ ขึ้นในผิวหนัง ปวดเมื่อยตัว สาเหตุหลักๆ ก็น่าจะเกิดจากการเบ่ง เพราะต้องรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีเบ่ง เจ็บแผลฝีเย็บแต่รู้สึกว่าไม่มากเท่าไหร่ ปวดมดลูกโดยเฉพาะตอนที่เบบี้เข้าเต้า ใช่หลังจากอยู่ในห้องพักไม่นานมาก พยาบาลก็พาเบบี้มาเข้าเต้า ที่โรงพยาบาลจะทำนมเสริมมาให้พร้อมสลิงป้อน แรกๆ น้ำนมเรายังไม่เยอะ หรือมีเยอะแล้วแต่เราเอาออกไม่เป็น รูยังตันอยู่ พยาบาลให้เราใช้สลิงดูดน้ำนมแล้วทำการหยดบริเวณเต้าในขณะที่เบบี้เข้าเต้า เพื่อเป็นการกระตุ้น และก็ฝึกการดูดของเบบี้การจับเข้าเต้าของหม่ามี้ พยาบาลให้เข้าเต้าข้างละ 15-20 นาที หากเรียบร้อยแล้วก็สามารถให้เบบี้อยู่กับเราต่อได้จนกว่าอยากจะส่งเบบี้คืนให้พยาบาลช่วยดูแลต่อ และทุกๆ 2 หรือ 3 ชั่วโมง(จำไม่ได้) พยาบาลจะพาเบบี้มาเข้าเต้าแบบนี้ แต่ช่วงตอนกลางคืนหากเราไม่ไหวพยาบาลก็จะไม่พาเบบี้มา เจออีกทีก็ช่วงเช้าเลย
สำหรับประสบการณ์การคลอดลูกแบบธรรมชาติครั้งแรกก็มีประมาณนี้ หากคุณแม่มือใหม่ มีอะไรสงสัยอยากจะถามเพิ่มเติมก็ถามได้นะ เรายินดีและเต็มใจตอบ(ถ้าเราตอบได้) เพราะเราเข้าใจเลยตอนเราท้อง เราสงสัยอะไรเราก็หาอ่านไปเรื่อยๆ เหมือนกัน แต่คุณแม่อย่าวิตกหรือกังวลใดๆ มากไปนะคะ ทำใจให้สบายๆ และที่เขาว่ากันว่าให้นอนเยอะๆ ช่วงตอนท้อง เราจะบอกว่าควรจะนอนเยอะๆ ตั้งแต่ก่อนที่จะท้องแล้ว เพราะตอนท้องนอนเยอะไม่ค่อยได้ เพราะนอนไม่ค่อยสบาย โดยเฉพาะตอนท้องเริ่มใหญ่ พอเบบี้ออกมายิ่งนอนเยอะไม่ได้เป็นอีกเท่าเลยค่ะ ยิ่งถ้าปั๊มนมด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้คนที่กำลังจะเป็นคุณแม่ทุกคนนะคะ ต่อไปจะแชร์ประมาณการณ์เรื่องของน้ำนมแม่ ตอนแรกเราคิดว่าก็ไม่น่าจะยาก แต่มันไม่ได้ง่ายสำหรับทุกคนเนี่ยสิ แล้วเจอกันนะคะ
ครรภ์ธรรมชาติ : โรงพยาบาลนครธน (แพ็กเกจ 3 วัน 2 คืน 45,900.-)
ประสบการณ์การคลอดลูกแบบธรรมชาติครั้งแรก
พอถึงโรงพยาบาลก็ไปที่ศูนย์สุขภาพสตรี พยาบาลก็สอบถามอาการ ตรวจโน่น วัดนี่ ตามสเต็ป จากนั้นพยาบาลก็ให้เจ้าหน้าที่พาขึ้นไปห้องเตรียมคลอดเพื่อเช็คความถี่การบีบตัวของมดลูก และบันทึกการเต้นของหัวใจเบบี้ ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที พยาบาลก็โทรหาคุณหมอแจ้งอาการประมาณว่าความถี่การบีบตัวของมดลูกมีความถื่ จะให้ตรวจปากมดลูกเลยมั้ยว่าเปิดกี่ซม.แล้ว สรุปคุณหมอจะมาตรวจเอง แต่พยาบาลแจ้งว่าน่าจะได้คลอดวันนี้ พอคุณหมอมาตรวจปากมดลูกเปิดแล้วประมาณ 3 ซม.ได้มั้งถ้าจำไม่ผิดนะ เบบี้ยังศรีษะลอยอยู่ ยังไม่เข้าตำแหน่ง แต่ได้คลอดวันนี้แหละ คุณหมอก็ให้พยาบาลทำการจัดการเคลีย์ตัวอิชั้นก่อนพาไปห้องคลอด ส่วนคุณหมอก็ลงไปตรวจคนไข้คนอื่นๆ ก่อน (พยาบาลคาดว่าเบบี้น่าจะออกมาช่วงบ่ายๆ) บรรยายกาศในห้องคลอดคือโอเคมากๆ ไม่ได้ทำให้กลัวหรือตื่นตระหนกเท่าไหร่ มีทีวีให้ดูรอเวลา สามารถเปิด YT ได้ อารมณ์นั้นเอาจริงๆ ก็ไม่รู้จะเปิดอะไร พยาบาลก็เลยเปิดเพลงที่มีสถานที่สวยๆ ให้ดูให้ฟังเพื่อให้ผ่อนคลาย ไม่นานคุณสามีก็เดินเข้ามา จะมีมุมข้างๆ เป็นที่นั่งเบาะยาวประมาณ 1 เมตรให้นั่งอยู่เป็นเพื่อน พยาบาลก็เดินเข้าๆ ออกๆ เป็นระยะ บางทีก็ทิ้งช่วงนาน เราก็ปวดท้องถี่ขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ ก็บอกคุณสามีตลอด(เตงปวด ไม่ไหวแล้วอ่ะ สักพักก็หายปวด ก็หายใจเข้าลึก หายใจตามที่ศึกษาจากคลิปมา ทำได้บ้าง ลืมบ้างสลับๆ กันไป) ถ้ารู้สึกเป็นมากก็ให้คุณสามีไปบอกพยาบาล ก็จะมีพยาบาลเข้ามาคุยเข้ามาดูการเต้นของหัวใจเบบี้ พยาบาลบอกว่าถ้าเรารู้สึกปวดมาก มากแบบคิดว่าไม่ไหวก็สามารถขอยาแก้ปวดได้นะ จะให้ผ่านน้ำเกลือ(ใช่ตอนนี้ รับน้ำเกลืออยู่) แต่ถ้าไหว(อดทนได้)ไม่รับก็จะดีกว่า ก็ลองดูเอาเท่าที่ไหว แต่ต้องขอก่อนอะไรสักอย่างจำไม่ได้ สุดท้ายเราก็ขอนะ แต่พยาบาลบอกว่าไม่ทันแล้ว อารมณ์ประมาณว่าเลยจุดที่จะให้ยาแล้วทำนองนั้น(อาจจะแบบว่าถ้าให้ยาตอนนี้ก็ไม่สามารถช่วยระงับการปวดแล้วประมาณนี้แหละมั้ง) และการเช็คปากมดลูกว่าเปิดกี่ซม.แล้วพยาบาลก็จะเข้ามาเช็คเป็นระยะ แต่ไม่แน่ใจว่าพยาบาลเข้ามาเช็ค 2 หรือ 3 รอบ และมีรอบนึงที่คุณหมอเข้ามาเช็คเอง ตอนนั้นคุณหมอจะเจาะถุงน้ำคร่ำให้ด้วยแต่เหมือนมันติดกับหน้าผากเบบี้ ต้องใช้เครื่องมือช่วย คุณหมอเลยเลือกที่จะยังไม่เจาะ(พอมานั่งคิดแล้วก็ดีนะที่คุณหมอเลือกที่จะยังไม่เจาะ รอให้ระบบธรรมชาติทำงานเอง) รอบนี้เหมือนศรีษะเบบี้จะลงมาที่ตำแหน่งแล้ว จากนั้นคุณหมอก็ลงไปตรวจคนไข้คนอื่นต่อ และการเช็คปากมดลูกรอบสุดท้ายก่อนจะคลอดคือบอกพยาบาลว่าปวดมากๆ ปวดมากกว่าเดิมแล้ว พยาบาลก็เตรียมตัวเช็คปากมดลูก โดยรอบนี้พยาบาลรอเราปวด ซึ่งตอนที่เราปวดจะเป็นตอนที่มดลูกบีบตัวพยาบาลบอกว่าคือการเช็คแบบว่าปากมดลูกเราเปิดแล้วเต็มที่จริงๆ กี่ซม. และจังหวะนี้แหละทำให้ถุงน้ำคร่ำแตก ความรู้สึกตอนนั้นคือแบบโป๊ะ และโล่งระดับนึง ซึ่งถ้าจำไม่ผิดพยาบาลแจ้งว่าเปิดแล้ว 5-6 ซม. จากนั้นพยาบาลก็โทรแจ้งคุณหมอ และก็พากันเตรียมโน่น จัดนี่อะไรกันวุ่นวายประมาณนึง อาการเราก็เจ็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการคลอดธรรมชาติกว่าเบบี้จะออกมาได้ต้องผ่านช่องคลอดออกมาประมาณ 3 ชั้น ถ้าเข้าใจที่คุณหมอกับพยาบาลสื่อสารออกมาให้ฟังไม่ผิดอ่ะนะ เรารู้ว่าศรีษะเบบี้มาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถคลอดเองได้แล้ว แต่เบบี้จะต้องใช้เวลาค่อยๆ เคลื่อนตัวมาจ่อที่ปากมดลูกศรีษะต้องต่ำ ซึ่งตอนนี้ศรีษะต่ำแล้ว เวลาเรารู้สึกปวดมากๆ เราก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะเคยอ่านมาว่าอย่าเบ่งสุ่มสี่สุ่มห้า เดี๋ยวมดลูกแตกก็จะไม่สามารถคลอดเองได้ ต้องเบ่งตอนช่วงที่ควรเบ่ง ซึ่งช่วงที่ควรเบ่งคือตอนไหนก็ไม่รู้ เราแบบก็บอกพยาบาลตลอดว่าปวดอ่ะ ปวดมากแล้ว ปวดมากกว่าเดิมแล้ว ต้องทำยังไง พยาบาลอยู่เป็นเพื่อนด้วยนะ อย่าทิ้งเราไปไหน เพราะเราไม่รู้ว่าถ้าเราปวดเราต้องทำยังไง คุณสามีก็อยู่ข้างๆ นะ ทีนี้คุณสามีจะมาอยู่อีกมุมนึง เป็นมุมลับ ที่มีแค่เก้าอี้ 1 ตัว ไม่เกะกะการทำงานของทีมหมอและพยาบาลแน่นอน คอยจับมือ คอยเอาใจช่วยอยู่ใกล้ๆ ช่วงเวลานั้นเป็นเวลา 10 โมงใกล้ 11 โมง หรือ 11 โมงกว่าๆ จำไม่ได้ เป็นช่วงที่ปวดมากๆ พยาบาลก็บอกว่าถ้ารู้สึกปวดก็เบ่งได้เลย เราก็เบ่งเลย พยาบาลก็เช็คปากมดลูกว่าน้องมาอยู่ตำแหน่งไหนแล้ว แล้วก็โทรแจ้งหมอ และพยาบาลก็บอกอีกว่าถ้ารู้สึกมีลมเบ่งก็เบ่งได้เลย ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจว่าอาการมีลมเบ่งคือยังไง แค่รู้สึกว่าปวดมาก รู้สึกว่าอยากเบ่งก็เบ่งเลยมันจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นแค่นั้น ซึ่งจากการศึกษาและพยาบาลบอกคือจะรู้สึกเหมือนปวดอึ ถ้ารู้สึกก็ให้เบ่งลงก้น แล้วเบ่งลงก้นนี้ต้องยังไงนะ ไม่รู้แล้วเบ่งไปก่อน พอเราเบ่งถูกพยาบาลก็บอกว่า ใช่ค่ะคุณแม่เบ่งแบบนี้ถูกต้องค่ะ ไม่ต้องกลัวหรือกังวลนะคะปล่อยออกมาเลย ถ้ามีลม มีฉี่ หรือมีอึ พอได้ยินพยาบาลบอกแบบนี้ก็รู้สึกเบาใจหน่อย เพราะมันต้องใช้แรงเบ่งแรงมากๆ เราก็แอบกังวลแล้วรู้สึกเหมือนไม่ค่อยกล้าเบ่งเท่าไหร่ และพอเวลาเราเบ่งเสร็จถ้าเราพอจะถามไหวเราก็จะถามพยาบาล เบ่งแบบนี้ถูกไหมๆ ซึ่งก็ผิดๆ ถูกๆ บ้างช่วงแรกๆ และสักพักพยาบาลก็แจ้งว่าเห็นผมน้องแล้วค่ะคุณแม่ ถ้ามีลมเบ่งก็เบ่งเลยนะคะ ตอนนั้นรู้สึกดีใจมากๆ ความเจ็บปวดนี้ใกล้จะจบแล้ว แต่ๆๆ มันไม่ได้จะออกเร็วตามที่เราคิดไว้ขนาดนั้น ไม่นานคุณหมอก็เข้ามา (แอบได้ยินพยาบาลบอกว่านึกว่าคุณหมอจะมาไม่ทันสักแล้ว) พออยู่ครบทีมแล้วก็มาเลยจ้าาาาา พอลมเบ่งมาทุกคนก็ช่วยกัน สูด กลั้น เบ่ง อื้ออออออออ คุณสามีแรกๆ เหมือนจะไม่ค่อยกล้าช่วยเบ่ง แต่พอเข้าครั้งที่ 3, 4 ก็เหมือนจะแอบช่วย ความรู้สึกตอนนั้นคือ ลูกออกมาเร็วๆ นะ อย่าให้มี้เจ็บนานนะลูก ไม่ต้องรอบ่ายนะลูก นี่จะเที่ยงแล้ว เที่ยงเป็นเวลาพักเที่ยงนะลูก ออกมาได้แล้วลูก คุณหมอกับพี่พยาบาลจะได้ไปพัก(ซึ่งจริงๆ คุณหมอกับพี่พยาบาลไม่ได้พักตอนเที่ยง เขาจะอยู่เคียงข้างพวกเราจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย^^)
คุณหมอ : เห็นผมน้องแล้วค่ะคุณแม่ ผมเยอะนะเนี่ย
เรา : น้องออกมาแล้วหรอค่ะ
*คุณหมอ : ยังค่ะ ถ้ามีลมเบ่ง เบ่งนะคะคุณแม่ เบ่งค่ะคุณแม่ ใกล้แล้วค่ะ อีกนิดนึงค่ะ
*เรา : สูด กลั้น เบ่ง อื้ออออออออ
(*ซ้ำประมาณ 2-3 รอบได้)
คุณหมอ : น้องออกมาแล้วค่ะ
เรา : (รู้สึกโล่งมากขึ้น) ออกมาเรียบร้อยแล้วยังค่ะ
**คุณหมอ : ยังค่ะ เหลือตัวค่ะ ถ้ามีลมเบ่ง เบ่งนะคะคุณแม่ เบ่งค่ะคุณแม่ อีกทีไหวมั้ยค่ะ เอาค่ะ
**เรา : ห๊ะเหลือตัว สูด กลั้น เบ่ง อื้ออออออออ (ถ้าจำไม่ผิดช่วงนี้เป็นช่วงที่พยาบาลกดท้องช่วย)
(**ซ้ำประมาณ 2-3 รอบได้)
คุณหมอ : คุณแม่เก่งมากค่ะ น้องออกมาแล้วค่ะ 11.50 น. นี่น้องนะคะ(คุณหมอโชว์น้องให้ดูแปปนึง)
จากนั้นก็เป็นการคลอดรก และเย็บแผลตามสเต็ป (ลืมบอกอีกเรื่อง พอพยาบาลเห็นว่าเบบี้ใกล้จะออกเต็มทีแล้ว เขาจะทำการปิดแอร์ในห้องคลอด เพราะกลัวเบบี้หนาว และโทรตามหมอเด็กให้มา Stand by ไว้) พอเคลีย์ตัวเบบี้เสร็จเรียบร้อย พยาบาลก็พามาเข้าเฟรมกับคุณพ่อคุณแม่ เพื่อทำการเก็บภาพ แล้วให้เบบี้จุ๊บๆ คุณแม่เพื่อให้คุ้นเคยกลิ่น ก่อนจะพาเบบี้ขึ้นไปห้อง Nursery ส่วนคุณพ่อให้ขึ้นไปรอที่ห้องพัก กลับมาที่คุณแม่ต่อค่ะ ตอนเจ็บท้องจะคลอดว่าเจ็บแล้ว ตอนคุณหมอเย็บแผลให้เจ็บกว่าอีก ไม่ได้เจ็บฝีเข็มคุณหมอนะ เจ็บตอนที่คุณหมอซับเลือดแล้วอุดๆ ไม่ให้เลอะบริเวณที่จะเย็บมากกว่า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนหมดแรง(แอบถามคุณหมอด้วยว่าได้ตัดมั้ย คุณหมอบอกว่าต้องตัดค่ะ ถ้าไม่ตัดปล่อยให้ฉีกเองแผลจะไม่สวย^^') พยาบาลก็เอาน้ำแดง น้ำเปล่ามาให้ดื่ม พอคุณหมอเย็บเสร็จ ทำอะไรเสร็จก็ให้เรานอนพักดูอาการที่ห้องคลอด 2 ชม. ก่อนพาไปที่ห้องพัก จำได้ว่าแค่นอนพักสายตาไม่ถึงขั้นนอนหลับนะ แต่จริงๆ อาจจะหลับไปโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้
พอครบ 2 ชม. พยาบาลก็ให้เจ้าหน้าที่มารับขึ้นไปที่ห้องพัก ไม่นานก็มีอาหาร ยา มาให้ พยาบาลที่รับช่วงดูแลต่อแจ้งว่าให้ปัสสาวะภายในเวลา 2 หรือ 3 ชม. จำไม่ได้ ถ้าเลยช่วงนี้แล้วไม่ปัสสาวะจะต้องทำการสวน และถ้าหากต้องการปัสสาวะในครั้งแรกให้เรียกพยาบาลเท่านั้น ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่พอจะไปก็รู้เลย แค่ยืนก็หน้ามืดแล้ว และตอนฉี่พยาบาลบอกว่าฉี่ให้หมดนะคะ ก็งง (เอาจริงๆ แอบไม่กล้าฉี่อยู่นะ เพราะกลัวเจ็บแผล แต่ก็ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิดนะ) พยาบาลช่วยเปิดก๊อกน้ำให้มีเสียงน้ำเพราะช่วยให้เราฉี่ได้ง่ายขึ้น อาการปวดฉี่ปวดนะ แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนปกติ พยาบาลถามว่าฉี่สุดหรือยัง เราก็ไม่สามารถตอบพยาบาลได้เพราะมันรู้สึกไม่เหมือนเดิม (มันไม่ใช่เรื่องแปลกนะคะ เราพึ่งผ่านการคลอดลูก ผ่านการเย็บแผลมา) พยาบาลก็ให้เรานั่งสักพัก จนเราคิดว่าน่าจะโอเคแล้วถึงเดินกลับมาที่เตียง อาการที่พบหลังจากคลอดลูกเสร็จคือหน้ามีเม็ดแดงๆ ขึ้นในผิวหนัง ปวดเมื่อยตัว สาเหตุหลักๆ ก็น่าจะเกิดจากการเบ่ง เพราะต้องรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีเบ่ง เจ็บแผลฝีเย็บแต่รู้สึกว่าไม่มากเท่าไหร่ ปวดมดลูกโดยเฉพาะตอนที่เบบี้เข้าเต้า ใช่หลังจากอยู่ในห้องพักไม่นานมาก พยาบาลก็พาเบบี้มาเข้าเต้า ที่โรงพยาบาลจะทำนมเสริมมาให้พร้อมสลิงป้อน แรกๆ น้ำนมเรายังไม่เยอะ หรือมีเยอะแล้วแต่เราเอาออกไม่เป็น รูยังตันอยู่ พยาบาลให้เราใช้สลิงดูดน้ำนมแล้วทำการหยดบริเวณเต้าในขณะที่เบบี้เข้าเต้า เพื่อเป็นการกระตุ้น และก็ฝึกการดูดของเบบี้การจับเข้าเต้าของหม่ามี้ พยาบาลให้เข้าเต้าข้างละ 15-20 นาที หากเรียบร้อยแล้วก็สามารถให้เบบี้อยู่กับเราต่อได้จนกว่าอยากจะส่งเบบี้คืนให้พยาบาลช่วยดูแลต่อ และทุกๆ 2 หรือ 3 ชั่วโมง(จำไม่ได้) พยาบาลจะพาเบบี้มาเข้าเต้าแบบนี้ แต่ช่วงตอนกลางคืนหากเราไม่ไหวพยาบาลก็จะไม่พาเบบี้มา เจออีกทีก็ช่วงเช้าเลย
สำหรับประสบการณ์การคลอดลูกแบบธรรมชาติครั้งแรกก็มีประมาณนี้ หากคุณแม่มือใหม่ มีอะไรสงสัยอยากจะถามเพิ่มเติมก็ถามได้นะ เรายินดีและเต็มใจตอบ(ถ้าเราตอบได้) เพราะเราเข้าใจเลยตอนเราท้อง เราสงสัยอะไรเราก็หาอ่านไปเรื่อยๆ เหมือนกัน แต่คุณแม่อย่าวิตกหรือกังวลใดๆ มากไปนะคะ ทำใจให้สบายๆ และที่เขาว่ากันว่าให้นอนเยอะๆ ช่วงตอนท้อง เราจะบอกว่าควรจะนอนเยอะๆ ตั้งแต่ก่อนที่จะท้องแล้ว เพราะตอนท้องนอนเยอะไม่ค่อยได้ เพราะนอนไม่ค่อยสบาย โดยเฉพาะตอนท้องเริ่มใหญ่ พอเบบี้ออกมายิ่งนอนเยอะไม่ได้เป็นอีกเท่าเลยค่ะ ยิ่งถ้าปั๊มนมด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้คนที่กำลังจะเป็นคุณแม่ทุกคนนะคะ ต่อไปจะแชร์ประมาณการณ์เรื่องของน้ำนมแม่ ตอนแรกเราคิดว่าก็ไม่น่าจะยาก แต่มันไม่ได้ง่ายสำหรับทุกคนเนี่ยสิ แล้วเจอกันนะคะ
ครรภ์ธรรมชาติ : โรงพยาบาลนครธน (แพ็กเกจ 3 วัน 2 คืน 45,900.-)