การตกลงมาของหุ้นที่เคยปรับตัวขึ้นไปสูงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในช่วงเร็ว ๆ นี้ ผมคิดว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยควรจะต้องปรับ “Mindset” ในการลงทุนใหม่ถ้าหวังที่จะลงทุนแล้วประสบความสำเร็จในระยะยาวต่อจากนี้
คำว่า Mindset นั้น แปลง่าย ๆ ก็คือ กรอบความคิดหรือทัศนคติทางจิตใจที่เกิดขึ้นจากสมองของเรา ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการลงทุนของเรา การลงทุนของเราจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับการที่เราจะมี Mindset ที่ถูกต้องในระยะยาวค่อนข้างมาก บางทีอาจจะสำคัญยิ่งกว่าความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นด้วยซ้ำ คำพูดที่ว่า “เก่งแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับว่ามี Mindset หรือกรอบคิดในการลงทุนอย่างไร” นั้น ผมว่าเป็นเรื่องจริง
และต่อไปนี้ก็คือ Mindset ที่นักลงทุนควรจะสร้างขึ้นในใจและยึดถือเป็นหลักในการลงทุนเพื่อหวังผลระยะยาวถึงยาวมากตลอดชีวิต
ข้อแรกก็คือ ปรับความคิดใหม่เรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น จากการเก็งกำไรระยะสั้นเป็น การลงทุนระยะยาวใน “บริษัท” ซึ่งจะต้องมั่นใจว่าเป็นบริษัทที่ดี สามารถขายสินค้าหรือบริการที่แข่งขันได้ หรือที่ยิ่งดีก็คือ เหนือกว่าคู่แข่งเพราะมีความได้เปรียบทางธุรกิจที่ยั่งยืนไปอีกหลาย ๆ หรืออย่างน้อยสิบปีขึ้นไป และหุ้นของบริษัทมีราคาถูกหรือยุติธรรม มีผู้บริหารที่มีความซื่อสัตย์ต่อผู้ถือหุ้นทุกคน
ถ้าเราไม่เข้าใจธุรกิจของบริษัท เราจะไม่ลงทุน ไม่ว่าเราจะคิดว่าเดี๋ยวหุ้นจะขึ้นหรือไม่ ซึ่งนั่นก็อาจจะทำให้เราไม่ลงทุนในหุ้นจำนวนมากที่อาจจะกำลังร้อนแรงและเรามั่นใจว่าหุ้นจะวิ่งขึ้นไปแน่ในเวลาอันสั้น ว่าที่จริง ถ้าเรามี Mindset แบบนี้เต็มเปี่ยมจริง ๆ เราก็อาจจะไม่จองซื้อแม้แต่หุ้น IPO ที่เราไม่รู้จักอะไรเลยเกี่ยวกับบริษัทแต่มั่นใจว่าหุ้นจะวิ่งขึ้นแน่ในยามที่ตลาดหุ้นกำลังบูมสุดขีด
ข้อสอง Mindset ที่ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น สามารถที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีมากในระดับปีละอย่างน้อย 20% ขึ้นไป ถ้าเก่งก็จะทำได้ปีละ 40-50% แบบทบต้น นี่ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในสมองของคนที่เล่นหรือลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก
เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่ามีกูรูหรือ “เซียนหุ้น” ที่สามารถทำผลตอบแทนที่ดีเลิศผิดปกติมากในระดับดังกล่าวหรือมากกว่าได้ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยกำลังเติบโตในระดับ “ปีทองหรือทศวรรษทอง” และมีหุ้นจำนวนไม่น้อยที่กำลังเติบโตมากที่ถูกซื้อโดยกลุ่มคนดังกล่าวจนทำให้พวกเขา “รวยไปเลย” และข้อมูลนั้นถูกถ่ายทอดสู่สาธารณชนจนเกิดความคิดว่าผลตอบแทนระดับ 20% นั้นใคร ๆ ก็ทำได้ ซึ่งเราก็มักจะเจอคอมเม้นต์ในเว็ปเกี่ยวกับหุ้นว่า “ผมมักน้อยมาก ขอผลตอบแทนปีละ 25% ก็พอแล้ว”
คงไม่ต้องพูดว่าคนที่คิดแบบนั้น ตอนนี้แทบจะหมดตัวเพราะหุ้นที่เล่นนั้น เป็นหุ้นเก็งกำไรสูงมากที่ตกลงมาแรงจนแทบเป็นหายนะ Mindset ใหม่ที่ควรจะเป็นก็คือ ตั้งผลตอบแทนการลงทุนประมาณไม่เกิน 10% ต่อปีแบบทบต้น หรือถ้าคิดว่าตนเองไม่ได้มีความสามารถพอในการเลือกหุ้นลงทุนก็ตั้งเป้าผลตอบแทนประมาณ 7-8% ต่อปีแบบทบต้นก็น่าจะเหมาะสมแล้ว
เพราะนี่คืออัตราผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นส่วนใหญ่รวมถึงตลาดหุ้นไทยในอดีต การทำผลตอบแทนระยะยาวถึง 20% แบบทบต้นที่ไม่ใช่เพราะฟลุ๊กหรือโชคดีนั้น คนที่ทำได้แบบมีข้อมูลที่ชัดเจนในโลกนี้จริง ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะมีอยู่คนเดียว คือวอเร็น บัฟเฟตต์
ข้อสาม ความคิดที่ยึดถือกันในหมู่ “นักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นอาชีพ” เรื่องหนึ่งก็คือ การกู้เงินมาเล่นหุ้นซึ่งรวมถึงการใช้มาร์จินที่กู้เงินได้หนึ่งเท่าตัวของเงินที่มีอยู่ เหตุผลก็คือ ดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ อาจจะ “แค่ 5-6%” ต่อปี เซียนหุ้นทั้งแนวเก็งกำไรและ “VI” จำนวนมากต่างก็คิดว่าตนเองสามารถทำได้ปีละ 20% ขึ้นไปอยู่แล้ว ดังนั้น การกู้เงินมาเล่นหุ้นก็จะช่วยเพิ่มกำไรหรือเพิ่มผลตอบแทนได้มาก อาจจะเป็น “เกือบเท่าตัว” คือแทนที่จะได้ผลตอบแทน 20% ก็จะได้เป็น 40% ต่อปีแบบทบต้น
Mindset ใหม่ที่ควรจะเป็นก็คือ เราจะไม่กู้เงินมาลงทุนเพราะเราเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือยาวมาก การกู้เงินมาเล่นหุ้นนั้น เวลาที่หุ้นตกลงมาใน “ระยะสั้น” มากพอ เราอาจจะถูก “Forced Sale” หรือถูกโบรกเกอร์บังคับขาย ซึ่งทำให้หุ้นตกลงมาต่อเนื่องและอาจจะทำให้เราต้องขายหุ้นที่ขาดทุนหนักในระดับ “หายนะ” ได้
และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าหุ้นเราดีและไม่น่าจะตกลงมามาก ๆ ที่จะทำให้ถูกฟอร์ซเซลได้ หุ้นและตลาดหุ้นในบางครั้งก็เกิดอาการ “ตกใจ” ที่ทำให้นักลงทุนขายหุ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงมูลค่า
กรอบความคิดเรื่องที่ 4 โดยเฉพาะของนักลงทุนรายย่อยก็คือ “เล่นหุ้นตามเซียน” หรือตามรายใหญ่ที่มีเม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก พวกเขาเชื่อว่าหุ้นที่ “เซียนเข้า” โดยเฉพาะที่ปรากฎชื่อเป็น “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” นั้น “อย่างน้อยเขาคงเห็นอะไรดี ๆ ที่เราไม่เห็น” หรือ “เซียนเข้ามาเล่นแล้ว” ดังนั้น เดี๋ยวหุ้นก็ต้องวิ่ง “เราต้องรีบเข้าไปซื้อก่อน” และ ดังนั้น ราคาหุ้นในวันรุ่งขึ้นก็มักจะวิ่งขึ้นไปอย่างแรง ตาม “พลังของเซียน” ที่วัดจาก “เม็ดเงิน” และ “ผลงานในอดีต”
คนที่เน้นเล่นหุ้นตามเซียนนั้น ผมเองก็ไม่มีข้อมูลว่าที่ทำมามีกำไรหรือขาดทุนมากน้อยแค่ไหนในระยะยาว แต่ถึงวันนี้ที่พบว่าเซียนบางคนก็แทบ “เอาตัวไม่รอด” ในยามที่ตลาดหุ้นไม่เป็นใจ ดังนั้น คนที่เล่นหุ้นตามเซียนก็ไม่น่าจะได้อานิสงค์อะไร ส่วนใหญ่น่าจะขาดทุนมากกว่า ผมจึงคิดว่าในยามที่ตลาดหุ้นไทยคง “ไม่เป็นใจ” ไปอีกนาน วิธีที่ดีกว่าก็คือ ปรับ Mindset ว่า “อย่าเล่นหุ้นตามเซียน” เพราะโอกาสสูงว่าคุณจะถูกเซียน “กิน” มากกว่า เพราะเซียนอาจจะต้อง “เอาตัวรอด” ก่อน
กรอบความคิดที่ 5 ที่ผมคิดว่าควรจะต้องปรับใหม่สำหรับนักลงทุนไทยหลังจากผ่านสถาณการณ์ “คอร์เนอร์แตก” ในช่วงเร็ว ๆ นี้ ก็คือ อย่าเล่นหุ้นที่ “แพงจัด” ที่วัดค่าจาก PE จากกำไรปกติที่สูงมากระดับ 30 เท่าขึ้นไป ยิ่งสูงเท่าไรก็ต้องหลีกเลี่ยงมากขึ้นเท่านั้น อย่าไปเชื่อว่าเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วระดับ 30% ต่อปี ขึ้นไปซึ่งจะทำให้เหมาะสมที่จะมีค่า PE 30 เท่าได้
ควรจะปรับ Mindset ว่า ถ้าบริษัทไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมที่โตเร็วแต่เป็นอุตสาหกรรมที่ใกล้อิ่มตัวและมีคู่แข่งและผู้เล่นมาก ค่า PE ปกติไม่ควรจะเกิน 10-15 เท่า บริษัทที่โตได้บ้างแต่ไม่มากนัก มีความแข็งแกร่งพอประมาณ ค่า PE ไม่ควรเกิน 15-20 เท่า บริษัทที่ “ดีที่สุด” ในประเทศไทยควรมีค่า PE ไม่เกิน 20-30 เท่า ยกเว้นว่าจะเป็นกรณีพิเศษที่มีเหตุผลว่าทำไมมันจึงควรแพงกว่านั้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ มี Mindset ที่จะไม่ซื้อหุ้นแพงไม่ว่าจะมี “สตอรี่” ดีแค่ไหน เพราะสตอรี่ต่าง ๆ นั้นมักจะ “โม้ทั้งนั้น”
Mindset สุดท้ายที่ควรจะเป็นกรอบความคิดใหม่ของการลงทุนก็คือ ถ้าเราจะลงทุนระยะยาวไปเรื่อย ๆ จนเกษียณหรือตาย เราก็ควรจะเรียนรู้และฝึกฝน “ศาสตร์แห่งการลงทุน” ที่เราจะใช้และยึดถือเป็นหลัก อย่าลงทุน “มั่ว ๆ” ตามสถานการณ์และไม่รู้ว่าตนเองเป็นนักลงทุนแนวไหนและมักลงทุนแบบใด ประเภท พอ “ติดหุ้น” ก็บอกว่าปรับเป็นการลงทุนแบบ “VI” คือถือยาว บางคนบอกว่า “ตอนนี้ยังไม่รวยก็เก็งกำไรไปก่อน จะได้รวยเร็ว พอมีเงินมากพอแล้วจะลงแบบ VI เพื่อกินปันผล” เป็นต้น
ในฐานะที่ผมเป็น VI แบบ “เข้มข้น” ผมก็คิดว่าศาสตร์ของ VI เป็นแนวทางการลงทุนที่ดีที่นักลงทุนระยะยาวควรจะใช้เป็นหลัก และถ้าเราเลือกที่จะมีสไตล์การลงทุนแบบ VI แล้ว เราก็ควรจะยึดติดกับแนวทางนี้อย่างเคร่งครัด นี่ไม่ใช่เรื่องว่าความคิดเราจะไม่ยืดหยุ่นและจะทำให้ “ปรับตัวไม่ได้” เมื่อสถานการณ์ในอนาคตเปลี่ยนแปลงไป
อย่าไปเชื่อเรื่อง “VI ล้าสมัยแล้ว”หรือ “ตามไม่ทันโลก” เพราะหลักการ VI นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกาลเวลา และนี่ก็คงเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไม วอเร็น บัฟเฟตต์จึงลงทุนในหุ้นแอ็ปเปิลเป็นตัวหลักทั้ง ๆ ที่เขาอายุเกิน 90 ปี ไปแล้ว และทำไมเบิร์กไชร์แฮทเธอร์เวย์จึงยังเติบโตมาตลอดหลายสิบปีโดยที่คนรุ่นใหม่ไม่สามารถเอาชนะได้
ผมไม่ได้พูดว่าแนวความคิดการลงทุนแบบอื่น ๆ นั้นใช้ไม่ได้และไม่ควรยึดถือและปฏิบัติ ประเด็นก็คือ นักลงทุนแต่ละคนควรที่จะรู้ว่าตนเองมีสไตล์การลงทุนแบบไหนชัดเจน เพราะนั่นจะทำให้เขาสามารถเรียนรู้และฝึกฝนให้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะทำให้มี “แต้มต่อ” เมื่อเทียบกับนักลงทุนอื่น
พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง Jim Simons นักลงทุนที่ใช้โมเดล “คณิตศาสตร์” ในการเลือกหุ้นลงทุน หรือที่เรียกว่าพวก “Quant” ซึ่งเขาใช้มาต่อเนื่องยาวนานจนกระทั่งถึงวันตายเมื่อเดือนก่อนตอนอายุ 86 ปี พร้อมกับความมั่งคั่งประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 51 ของโลกที่เขาได้มาจากการลงทุนในฐานะผู้ก่อตั้งและบริหารเฮดจ์ฟันด์ Renaissance Technologies
ส่วนตัวเขาเองก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก สถานะคล้าย ๆ บัฟเฟตต์ในกลุ่มของนักลงทุนแบบ VI อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ จิม ไซมอนทำนั้น ดูเหมือนว่าจะสอนและเรียนรู้กันไม่ได้ง่าย
29 มิ.ย 2567
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อ้างอิง
https://www.blockdit.com/posts/667ff5ea71abae601df86409
Mindset ใหม่ของการลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร : โลกในมุมมองของ Value Investor โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คำว่า Mindset นั้น แปลง่าย ๆ ก็คือ กรอบความคิดหรือทัศนคติทางจิตใจที่เกิดขึ้นจากสมองของเรา ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการลงทุนของเรา การลงทุนของเราจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับการที่เราจะมี Mindset ที่ถูกต้องในระยะยาวค่อนข้างมาก บางทีอาจจะสำคัญยิ่งกว่าความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นด้วยซ้ำ คำพูดที่ว่า “เก่งแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับว่ามี Mindset หรือกรอบคิดในการลงทุนอย่างไร” นั้น ผมว่าเป็นเรื่องจริง
และต่อไปนี้ก็คือ Mindset ที่นักลงทุนควรจะสร้างขึ้นในใจและยึดถือเป็นหลักในการลงทุนเพื่อหวังผลระยะยาวถึงยาวมากตลอดชีวิต
ข้อแรกก็คือ ปรับความคิดใหม่เรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น จากการเก็งกำไรระยะสั้นเป็น การลงทุนระยะยาวใน “บริษัท” ซึ่งจะต้องมั่นใจว่าเป็นบริษัทที่ดี สามารถขายสินค้าหรือบริการที่แข่งขันได้ หรือที่ยิ่งดีก็คือ เหนือกว่าคู่แข่งเพราะมีความได้เปรียบทางธุรกิจที่ยั่งยืนไปอีกหลาย ๆ หรืออย่างน้อยสิบปีขึ้นไป และหุ้นของบริษัทมีราคาถูกหรือยุติธรรม มีผู้บริหารที่มีความซื่อสัตย์ต่อผู้ถือหุ้นทุกคน
ถ้าเราไม่เข้าใจธุรกิจของบริษัท เราจะไม่ลงทุน ไม่ว่าเราจะคิดว่าเดี๋ยวหุ้นจะขึ้นหรือไม่ ซึ่งนั่นก็อาจจะทำให้เราไม่ลงทุนในหุ้นจำนวนมากที่อาจจะกำลังร้อนแรงและเรามั่นใจว่าหุ้นจะวิ่งขึ้นไปแน่ในเวลาอันสั้น ว่าที่จริง ถ้าเรามี Mindset แบบนี้เต็มเปี่ยมจริง ๆ เราก็อาจจะไม่จองซื้อแม้แต่หุ้น IPO ที่เราไม่รู้จักอะไรเลยเกี่ยวกับบริษัทแต่มั่นใจว่าหุ้นจะวิ่งขึ้นแน่ในยามที่ตลาดหุ้นกำลังบูมสุดขีด
ข้อสอง Mindset ที่ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น สามารถที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีมากในระดับปีละอย่างน้อย 20% ขึ้นไป ถ้าเก่งก็จะทำได้ปีละ 40-50% แบบทบต้น นี่ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในสมองของคนที่เล่นหรือลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก
เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่ามีกูรูหรือ “เซียนหุ้น” ที่สามารถทำผลตอบแทนที่ดีเลิศผิดปกติมากในระดับดังกล่าวหรือมากกว่าได้ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยกำลังเติบโตในระดับ “ปีทองหรือทศวรรษทอง” และมีหุ้นจำนวนไม่น้อยที่กำลังเติบโตมากที่ถูกซื้อโดยกลุ่มคนดังกล่าวจนทำให้พวกเขา “รวยไปเลย” และข้อมูลนั้นถูกถ่ายทอดสู่สาธารณชนจนเกิดความคิดว่าผลตอบแทนระดับ 20% นั้นใคร ๆ ก็ทำได้ ซึ่งเราก็มักจะเจอคอมเม้นต์ในเว็ปเกี่ยวกับหุ้นว่า “ผมมักน้อยมาก ขอผลตอบแทนปีละ 25% ก็พอแล้ว”
คงไม่ต้องพูดว่าคนที่คิดแบบนั้น ตอนนี้แทบจะหมดตัวเพราะหุ้นที่เล่นนั้น เป็นหุ้นเก็งกำไรสูงมากที่ตกลงมาแรงจนแทบเป็นหายนะ Mindset ใหม่ที่ควรจะเป็นก็คือ ตั้งผลตอบแทนการลงทุนประมาณไม่เกิน 10% ต่อปีแบบทบต้น หรือถ้าคิดว่าตนเองไม่ได้มีความสามารถพอในการเลือกหุ้นลงทุนก็ตั้งเป้าผลตอบแทนประมาณ 7-8% ต่อปีแบบทบต้นก็น่าจะเหมาะสมแล้ว
เพราะนี่คืออัตราผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นส่วนใหญ่รวมถึงตลาดหุ้นไทยในอดีต การทำผลตอบแทนระยะยาวถึง 20% แบบทบต้นที่ไม่ใช่เพราะฟลุ๊กหรือโชคดีนั้น คนที่ทำได้แบบมีข้อมูลที่ชัดเจนในโลกนี้จริง ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะมีอยู่คนเดียว คือวอเร็น บัฟเฟตต์
ข้อสาม ความคิดที่ยึดถือกันในหมู่ “นักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นอาชีพ” เรื่องหนึ่งก็คือ การกู้เงินมาเล่นหุ้นซึ่งรวมถึงการใช้มาร์จินที่กู้เงินได้หนึ่งเท่าตัวของเงินที่มีอยู่ เหตุผลก็คือ ดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ อาจจะ “แค่ 5-6%” ต่อปี เซียนหุ้นทั้งแนวเก็งกำไรและ “VI” จำนวนมากต่างก็คิดว่าตนเองสามารถทำได้ปีละ 20% ขึ้นไปอยู่แล้ว ดังนั้น การกู้เงินมาเล่นหุ้นก็จะช่วยเพิ่มกำไรหรือเพิ่มผลตอบแทนได้มาก อาจจะเป็น “เกือบเท่าตัว” คือแทนที่จะได้ผลตอบแทน 20% ก็จะได้เป็น 40% ต่อปีแบบทบต้น
Mindset ใหม่ที่ควรจะเป็นก็คือ เราจะไม่กู้เงินมาลงทุนเพราะเราเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือยาวมาก การกู้เงินมาเล่นหุ้นนั้น เวลาที่หุ้นตกลงมาใน “ระยะสั้น” มากพอ เราอาจจะถูก “Forced Sale” หรือถูกโบรกเกอร์บังคับขาย ซึ่งทำให้หุ้นตกลงมาต่อเนื่องและอาจจะทำให้เราต้องขายหุ้นที่ขาดทุนหนักในระดับ “หายนะ” ได้
และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าหุ้นเราดีและไม่น่าจะตกลงมามาก ๆ ที่จะทำให้ถูกฟอร์ซเซลได้ หุ้นและตลาดหุ้นในบางครั้งก็เกิดอาการ “ตกใจ” ที่ทำให้นักลงทุนขายหุ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงมูลค่า
กรอบความคิดเรื่องที่ 4 โดยเฉพาะของนักลงทุนรายย่อยก็คือ “เล่นหุ้นตามเซียน” หรือตามรายใหญ่ที่มีเม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก พวกเขาเชื่อว่าหุ้นที่ “เซียนเข้า” โดยเฉพาะที่ปรากฎชื่อเป็น “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” นั้น “อย่างน้อยเขาคงเห็นอะไรดี ๆ ที่เราไม่เห็น” หรือ “เซียนเข้ามาเล่นแล้ว” ดังนั้น เดี๋ยวหุ้นก็ต้องวิ่ง “เราต้องรีบเข้าไปซื้อก่อน” และ ดังนั้น ราคาหุ้นในวันรุ่งขึ้นก็มักจะวิ่งขึ้นไปอย่างแรง ตาม “พลังของเซียน” ที่วัดจาก “เม็ดเงิน” และ “ผลงานในอดีต”
คนที่เน้นเล่นหุ้นตามเซียนนั้น ผมเองก็ไม่มีข้อมูลว่าที่ทำมามีกำไรหรือขาดทุนมากน้อยแค่ไหนในระยะยาว แต่ถึงวันนี้ที่พบว่าเซียนบางคนก็แทบ “เอาตัวไม่รอด” ในยามที่ตลาดหุ้นไม่เป็นใจ ดังนั้น คนที่เล่นหุ้นตามเซียนก็ไม่น่าจะได้อานิสงค์อะไร ส่วนใหญ่น่าจะขาดทุนมากกว่า ผมจึงคิดว่าในยามที่ตลาดหุ้นไทยคง “ไม่เป็นใจ” ไปอีกนาน วิธีที่ดีกว่าก็คือ ปรับ Mindset ว่า “อย่าเล่นหุ้นตามเซียน” เพราะโอกาสสูงว่าคุณจะถูกเซียน “กิน” มากกว่า เพราะเซียนอาจจะต้อง “เอาตัวรอด” ก่อน
กรอบความคิดที่ 5 ที่ผมคิดว่าควรจะต้องปรับใหม่สำหรับนักลงทุนไทยหลังจากผ่านสถาณการณ์ “คอร์เนอร์แตก” ในช่วงเร็ว ๆ นี้ ก็คือ อย่าเล่นหุ้นที่ “แพงจัด” ที่วัดค่าจาก PE จากกำไรปกติที่สูงมากระดับ 30 เท่าขึ้นไป ยิ่งสูงเท่าไรก็ต้องหลีกเลี่ยงมากขึ้นเท่านั้น อย่าไปเชื่อว่าเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วระดับ 30% ต่อปี ขึ้นไปซึ่งจะทำให้เหมาะสมที่จะมีค่า PE 30 เท่าได้
ควรจะปรับ Mindset ว่า ถ้าบริษัทไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมที่โตเร็วแต่เป็นอุตสาหกรรมที่ใกล้อิ่มตัวและมีคู่แข่งและผู้เล่นมาก ค่า PE ปกติไม่ควรจะเกิน 10-15 เท่า บริษัทที่โตได้บ้างแต่ไม่มากนัก มีความแข็งแกร่งพอประมาณ ค่า PE ไม่ควรเกิน 15-20 เท่า บริษัทที่ “ดีที่สุด” ในประเทศไทยควรมีค่า PE ไม่เกิน 20-30 เท่า ยกเว้นว่าจะเป็นกรณีพิเศษที่มีเหตุผลว่าทำไมมันจึงควรแพงกว่านั้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ มี Mindset ที่จะไม่ซื้อหุ้นแพงไม่ว่าจะมี “สตอรี่” ดีแค่ไหน เพราะสตอรี่ต่าง ๆ นั้นมักจะ “โม้ทั้งนั้น”
Mindset สุดท้ายที่ควรจะเป็นกรอบความคิดใหม่ของการลงทุนก็คือ ถ้าเราจะลงทุนระยะยาวไปเรื่อย ๆ จนเกษียณหรือตาย เราก็ควรจะเรียนรู้และฝึกฝน “ศาสตร์แห่งการลงทุน” ที่เราจะใช้และยึดถือเป็นหลัก อย่าลงทุน “มั่ว ๆ” ตามสถานการณ์และไม่รู้ว่าตนเองเป็นนักลงทุนแนวไหนและมักลงทุนแบบใด ประเภท พอ “ติดหุ้น” ก็บอกว่าปรับเป็นการลงทุนแบบ “VI” คือถือยาว บางคนบอกว่า “ตอนนี้ยังไม่รวยก็เก็งกำไรไปก่อน จะได้รวยเร็ว พอมีเงินมากพอแล้วจะลงแบบ VI เพื่อกินปันผล” เป็นต้น
ในฐานะที่ผมเป็น VI แบบ “เข้มข้น” ผมก็คิดว่าศาสตร์ของ VI เป็นแนวทางการลงทุนที่ดีที่นักลงทุนระยะยาวควรจะใช้เป็นหลัก และถ้าเราเลือกที่จะมีสไตล์การลงทุนแบบ VI แล้ว เราก็ควรจะยึดติดกับแนวทางนี้อย่างเคร่งครัด นี่ไม่ใช่เรื่องว่าความคิดเราจะไม่ยืดหยุ่นและจะทำให้ “ปรับตัวไม่ได้” เมื่อสถานการณ์ในอนาคตเปลี่ยนแปลงไป
อย่าไปเชื่อเรื่อง “VI ล้าสมัยแล้ว”หรือ “ตามไม่ทันโลก” เพราะหลักการ VI นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกาลเวลา และนี่ก็คงเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไม วอเร็น บัฟเฟตต์จึงลงทุนในหุ้นแอ็ปเปิลเป็นตัวหลักทั้ง ๆ ที่เขาอายุเกิน 90 ปี ไปแล้ว และทำไมเบิร์กไชร์แฮทเธอร์เวย์จึงยังเติบโตมาตลอดหลายสิบปีโดยที่คนรุ่นใหม่ไม่สามารถเอาชนะได้
ผมไม่ได้พูดว่าแนวความคิดการลงทุนแบบอื่น ๆ นั้นใช้ไม่ได้และไม่ควรยึดถือและปฏิบัติ ประเด็นก็คือ นักลงทุนแต่ละคนควรที่จะรู้ว่าตนเองมีสไตล์การลงทุนแบบไหนชัดเจน เพราะนั่นจะทำให้เขาสามารถเรียนรู้และฝึกฝนให้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะทำให้มี “แต้มต่อ” เมื่อเทียบกับนักลงทุนอื่น
พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง Jim Simons นักลงทุนที่ใช้โมเดล “คณิตศาสตร์” ในการเลือกหุ้นลงทุน หรือที่เรียกว่าพวก “Quant” ซึ่งเขาใช้มาต่อเนื่องยาวนานจนกระทั่งถึงวันตายเมื่อเดือนก่อนตอนอายุ 86 ปี พร้อมกับความมั่งคั่งประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 51 ของโลกที่เขาได้มาจากการลงทุนในฐานะผู้ก่อตั้งและบริหารเฮดจ์ฟันด์ Renaissance Technologies
ส่วนตัวเขาเองก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก สถานะคล้าย ๆ บัฟเฟตต์ในกลุ่มของนักลงทุนแบบ VI อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ จิม ไซมอนทำนั้น ดูเหมือนว่าจะสอนและเรียนรู้กันไม่ได้ง่าย
29 มิ.ย 2567
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อ้างอิง https://www.blockdit.com/posts/667ff5ea71abae601df86409