“กัณวีร์” จี้รัฐช่วยเหยื่อค้ามนุษย์โมร็อกโก-ศรีลังกา ในเมียนมา
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_739311/
“กัณวีร์” จี้รัฐบาลช่วยเหยื่อค้ามนุษย์โมร็อกโก-ศรีลังกา ในเมียนมา สร้างความเป็นผู้นำในเวทีโลก อย่าหวังเงินจากซิมการ์ดหลายร้อยล้านบาท ให้การช่วยเหลือขบวนการค้ามนุษย์
นา
ยกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ก กรณีที่ได้รับการประสานจากภาคประชาชน ผู้ทำงานช่วยเหลือการค้ามนุษย์ว่ามีชาวโมร๊อกโก จำนวน 17 คน และทราบจากแหล่งข่าวอื่นว่ามีชาวศรีลังกา จำนวน 41 คน ถูกหลอกลวงไปทำงานและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในประเทศเมียนมา สถานที่ดังกล่าวคนในพื้นที่เรียกว่าช่องแคบฝั่งเมียนมา ตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก
นาย
กัณวีร์ ระบุว่า นี่เป็นอีกครั้งที่ธุรกิจจีนสีเทา/ดำ ได้ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคน ทำคนเหมือนไม่ใช่คน บริษัทจัดหางานนายหน้าจากโมร็อกโก และรวมถึงศรีลังกา เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดหาและนำพา พวกเขามายังพื้นที่ชายแดนเมียนมา ตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก ของไทย สุดท้ายกลายเป็นการค้ามนุษย์ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ต่างๆ เหล่านี้อยู่บริเวณชายแดนติดกับไทยและอยู่ในความดูแลของกองกำลังชาติพันธุ์ต่างๆ พวกจีนสีเทา/ดำ รู้ดีว่าสถานที่ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ที่อาจถูกเรียกว่าเป็น No Man Land เพราะยังเป็นพื้นที่สู้รบในเมียนมา จึงใช้จังหวะให้เป็นโอกาสการทำธุรกิจหลอกลวงทั้งคนไปทำงาน และคนบริสุทธิ์นับล้านคนผ่านคาสิโนออนไลน์ คอลเซนเตอร์ และทุกอย่างที่ผิดกฎหมาย
“
จนสุดท้ายมีทั้งเหยื่อที่ถูกค้ามนุษย์ถูกหลอกไปทำงานและทำร้ายร่างกาย บีบคั้นให้ทำงานหากไม่ทำก็ประทุษร้าย และคนนับล้านอย่างเราๆ ท่านๆ ก็ถูกคอลเซนเตอร์หลอกลวงเงินรวมกันหลายร้อยล้านบาท”
นาย
กัณวีร์ ระบุว่า ก่อนจะไปถึงเรื่องจะจัดการอย่างไร เอาเฉพาะหน้าเคสโมร๊อกโก 17 ราย และ ศรีลังกา 41 รายนี้ก่อน สิ่งที่รัฐบาลต้องทำ คือ
1. เอาตัวเหยื่อทั้งหมด ออกจากสถานที่ที่ถูกกักขัง ง่ายที่สุดคือการข้ามแดนมาไทย โดยการขอความร่วมมือจากกองกำลังชาติพันธุ์ที่ดูแลพื้นที่ มอบให้ทหารไทยช่วยประสานงาน
2. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับหน้าที่ต่อ ผ่านกระบวนการ National Referal Mechanism (NRM) ทำการคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์ ตามกระบวนการที่มีอยู่
3. สถานทูตโมร๊อกโกและศรีลังการับตัวเหยื่อกลับประเทศ
4. นายหน้าและผู้กระทำความผิดถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
“
หลายคนอาจตั้งข้อสงสัย เกี่ยวกับไทยอย่างไร ไทยปิดหูปิดตาก็ได้นะครับ เพราะอยู่นอกเขตดินแดนไทย ถึงแม้จะมีการร้องขออย่างเป็นทางการ (ซึ่งจริงๆ แล้วได้มีการร้องขอผ่าน กต. ไปเป็นแรมเดือนแต่กลับนิ่งอยู่) ไทยก็สามารถบอกว่า มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะรัฐบาลไทยไม่สามารถประสานกับกองกำลังที่ไม่ใช่ฝั่งรัฐบาลของประเทศอื่นได้ เราต้องทำเป็นแค่ G to G เท่านั้น ซึ่งก็ทำเสมอมา”
นาย
กัณวีร์ กล่าวย้ำว่า “
นี่ชีวิตคนครับ” และอีกอย่างรัฐบาล สามารถสร้างความเป็นผู้นำในเวทีโลกนี้ได้ การนำหนึ่งในการบริหารจัดการเรื่องการค้ามนุษย์เป็นสิ่งที่โลกให้ความสนใจอย่างยิ่ง ต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้
“
หรือหากท่านไม่กล้าประสานและติดต่อกองกำลังชาติพันธุ์เพราะเกรงว่าศักดิ์ศรีของรัฐบาลไทยจะถูกด้อยค่าไปเพราะ เราไม่สามารถคุยกับพวกไม่ใช่รัฐได้ คนละระดับ บอกผมครับ ผมไม่ถือตัวและยอมที่จะคุยกับทุกคนเพื่อคืนศักดิ์ความเป็นมนุษย์ให้มนุษย์โดยเร็ว รีบทำเถอะครับ ทุกวินาทีสำคัญมากเพราะชีวิตและลมหายใจพวกเค้ารอคนเข้าไปช่วยอยู่”
นาย
กัณวีร์ เรียกร้องให้รัฐบาล เร่งรีบทำเรื่องนี้ เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ และมาสะสางพวกแก๊งค์คอลเซนเตอร์กันอย่างจริงจัง รวมถึงเรียกร้องไปยังบริษัทให้บริการอินเตอร์เน็ต ที่ยังดื้อดึงหันกล่องสัญญาณเน็ต ไปในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งๆ ที่รัฐแจ้งห้ามแล้วและให้หันกลับมาในไทยเท่านั้น
“
อย่าหวังเงินจากซิมการ์ดหลายร้อยล้านบาท แต่ต้องโดนจัดการด้วยว่าบริษัทเหล่านี้ ให้การช่วยเหลือขบวนการค้ามนุษย์และหลอกลวงด้วย มันจะได้เข็ดหลาบ แล้วเรามาจัดการกันครับ” นา
ยกัณวีร์ กล่าวย้ำ
กสทช. ตรวจพื้นชายแดน ติดตามลักลอบลากสายสัญญาณโทรคมนาคมข้ามฝั่ง
https://prachatai.com/journal/2024/06/109742
กสทช. ตรวจพื้นที่แนวชายแดน ลงพื้นที่ จ. ตาก รอบสอง ติดตามลักลอบลากสายสัญญาณโทรคมนาคมข้ามฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เตือนประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องโทษหนัก
สำนักสื่อสารองค์กร กสทช. แจ้งข่าวว่าเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2567 นาย
ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) พร้อมด้วยสำนักงาน กสทช. ภาค 3 และเขต 31 ลำปาง ได้ลงพื้นที่ตรวจการลักลอบลากสายเคเบิลส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตข้ามแดน การตั้งสถานีวิทยุคมนาคมเพื่อส่งสัญญาณโดยไม่ได้รับอนุญาต และติดตามการปรับเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่หันหน้าออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านใน จ.ตาก
นาย
ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า สำนักงาน กสทช. ได้ลงพื้นที่ตรวจการลักลอบใช้สัญญาณโทรคมนาคมข้ามประเทศผิดกฎหมายในพื้นที่ จ.ตาก เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 1 เดือน หลังจากได้รับแจ้งว่าบริเวณพื้นที่ตะเข็บชายแดน อ.พบพระ จ.ตาก มีการลักลอบลากสายเคเบิลข้ามไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเพื่อใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยที่ผ่านมาสำนักงาน กสทช. เขต 31 เคยลงพื้นที่สำรวจพื้นที่บริเวณริมแม่น้ำเมย บ้านแม่กุใหม่ท่าซุง ต.แม่กุ อ.แม่สอด พบว่ามีกระบวนการลักลอบลากสายเคเบิลขึ้นเรือข้ามแม่น้ำเมย ซึ่งเป็นช่องทางพรมแดนธรรมชาติไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเพื่อใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตผิดกฎหมายจึงได้ทำการตัดสาย และพิสูจน์ทราบว่าสายดังกล่าวมีต้นกำเนิดสายมาจากที่ใด เนื่องจากการกระทำดังกล่าวมีความผิดฐานประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับรูปแบบการลักลอบใช้สัญญาณโทรคมนาคมผิดกฎหมายบริเวณแนวตะเข็บชายแดน จ.ตาก นอกจากการลากสายเคเบิลขึ้นเรือข้ามแม่น้ำ ยังพบเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ใน อ.แม่สอด และ อ.แม่ระมาด หันออกไปยังฝั่งตรงข้ามไทยในพื้นที่ชเวก๊กโก และหวันหยา ฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นจุดแรกที่เคยลงพื้นที่สุ่มตรวจ ขณะนี้ได้ระงับสัญญาณในพื้นที่แล้วทุกจุด และการตั้งสถานีวิทยุคมนาคม เพื่อส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาต
นายไตรรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้สามารถควบคุมการหันเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้แล้ว ทั้ง 7 พื้นที่
คือ
(1) อ.แม่สอด จ.ตาก
(2) อ.แม่สาย จ.เชียงใหม่
(3) อ.เชียงของ จ.เชียงใหม่
(4) อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
(5) อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
(6) อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี
และ (7) อ.เมือง จ.ระนอง
โดยปัจจุบันทุกพื้นที่ที่มีการหันเสาออกนอกประเทศไทยได้มีการระงับสัญญาณรวมแล้ว 366 สถานีฐาน ซึ่งมีทั้งการดำเนินการระงับสัญญาณ ปรับทิศทางสายอากาศ ลดกำลังส่ง และรื้อสายอากาศ
อย่างไรก็ดีเพื่อเป็นการขานรับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการเร่งกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงาน กสทช. ได้กำหนดพื้นที่เพิ่มเติมตามมาตรการระงับการให้บริการโทรคมนาคมบริเวณชายแดนที่มีความเสี่ยง ใน
อีก 4 อำเภอ 3 จังหวัด ได้แก่ อ.แม่ระมาด อ.พบพระ จ.ตาก อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ และอ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
“
ตอนนี้เรื่องเสา และสายเราจัดการได้แล้ว แต่ที่เป็นห่วงคือการใช้อินเทอร์เน็ตดาวเทียมความเร็วสูงที่มีการลักลอบนำเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยเชื่อมต่อกับดาวเทียม เป็นการใช้เทคโนโลยีที่อาจนำไปใช้ในการกระทำผิด และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าติดตาม ก็ต้องขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยกันไม่ให้เกิดการลักลอบนำเข้าจานดาวเทียมผิดกฎหมาย เพราะอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างร้ายแรง และยังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชน” นาย
ไตรรัตน์ กล่าว
หุ้นไทยดิ่งหนัก 9% ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ เปิดตัวเลข "ต่างชาติ" ขายทุบสถิติ
https://www.prachachat.net/finance/news-1596271
หุ้นไทยดิ่งหนัก 9.24% ช่วง 6 เดือนแรกปี 2567 เปิดตัวเลข “ต่างชาติ” เทขายทุบสถิติ
วันที่ 29 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.) พบว่า ดัชนี SET ปรับตัวลดลง 132.42 จุด ติดลบ 9.24% จากระดับ 1,433.38 จุด หล่นมาอยู่ที่ 1,309.96 จุด
นักลงทุนต่างชาติ ปิดสถานะขายสุทธิหุ้นไทยสะสม 6 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 117,031.49 ล้านบาท และนับตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. – 28 มิ.ย. 2567 ขายหุ้นไทยต่อเนื่องรวมเป็นเวลา 27 วันทำการติดต่อกัน หรือคิดเป็นการขายสุทธิ 51,635.68 ล้านบาท มีรายละเอียดดังนี้
• 21 พ.ค. ขายสุทธิ 3,150 ล้านบาท
• พ.ค. ขายสุทธิ 1,014.36 ล้านบาท
• 24 พ.ค. ขายสุทธิ 834.78 ล้านบาท
• 27 พ.ค. ขายสุทธิ 1,071.08 ล้านบาท
• 28 พ.ค. ขายสุทธิ 1,660.46 ล้านบาท
• 29 พ.ค. ขายสุทธิ 3,562.44 ล้านบาท
• 30 พ.ค. ขายสุทธิ 1,372.78 ล้านบาท
• 31 พ.ค. ขายสุทธิ 4,097.90 ล้านบาท
• 4 มิ.ย. ขายสุทธิ 2,243.42 ล้านบาท
• 5 มิ.ย. ขายสุทธิ 121.23 ล้านบาท
• 6 มิ.ย. ขายสุทธิ 3,184.65 ล้านบาท
• 7 มิ.ย. ขายสุทธิ 495.87 ล้านบาท
• 10 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,612.80 ล้านบาท
• 11 มิ.ย. ขายสุทธิ 3,208.68 ล้านบาท
• 12 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,815.86 ล้านบาท
• 13 มิ.ย. ขายสุทธิ 2,024.95 ล้านบาท
• 14 มิ.ย. ขายสุทธิ 714.12 ล้านบาท
• 17 มิ.ย. ขายสุทธิ 2,706.28 ล้านบาท
• 18 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,740.94 ล้านบาท
• 19 มิ.ย. ขายสุทธิ 2,692.88 ล้านบาท
• 20 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,959.89 ล้านบาท
• 21 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,580.30 ล้านบาท
• 24 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,087.97 ล้านบาท
• 25 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,844.30 ล้านบาท
• 26 มิ.ย. ขายสุทธิ 831.33 ล้านบาท
• 27 มิ.ย. ขายสุทธิ 2,385.96 ล้านบาท
• 28 มิ.ย. ขายสุทธิ 2,620.43 ล้านบาท
สาเหตุสำคัญมาจากที่เกิดกระแสการชอร์ตเซลในตลาดหุ้น และมีความกังวลทางการเมืองไทย ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านสถานะของนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพและสุญญากาศทางการเมือง โดยต้องติดตามในสัปดาห์หน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการวินิจฉัยกรณีให้ยุบพรรคก้าวไกลในวันที่ 3 ก.ค. และในวันที่ 10 ก.ค. พิจารณาคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี นักลงทุนที่ช่วยพยุงดัชนี SET คือ กลุ่มนักลงทุนรายย่อย โดยในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ปิดสถานะซื้อสุทธิหุ้นไทยไปทั้งหมด 113,804.81 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มนักลงทุนสถาบัน 4,015.68 ล้านบาท
JJNY : “กัณวีร์” จี้รัฐช่วยเหยื่อในเมียนมา│กสทช.ตรวจพื้นชายแดน│หุ้นไทยดิ่งหนัก9% ช่วง 6ด.แรก│สหรัฐฯ อุณหภูมิพุ่งแตะ 37
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_739311/
“กัณวีร์” จี้รัฐบาลช่วยเหยื่อค้ามนุษย์โมร็อกโก-ศรีลังกา ในเมียนมา สร้างความเป็นผู้นำในเวทีโลก อย่าหวังเงินจากซิมการ์ดหลายร้อยล้านบาท ให้การช่วยเหลือขบวนการค้ามนุษย์
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ก กรณีที่ได้รับการประสานจากภาคประชาชน ผู้ทำงานช่วยเหลือการค้ามนุษย์ว่ามีชาวโมร๊อกโก จำนวน 17 คน และทราบจากแหล่งข่าวอื่นว่ามีชาวศรีลังกา จำนวน 41 คน ถูกหลอกลวงไปทำงานและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในประเทศเมียนมา สถานที่ดังกล่าวคนในพื้นที่เรียกว่าช่องแคบฝั่งเมียนมา ตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก
นายกัณวีร์ ระบุว่า นี่เป็นอีกครั้งที่ธุรกิจจีนสีเทา/ดำ ได้ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคน ทำคนเหมือนไม่ใช่คน บริษัทจัดหางานนายหน้าจากโมร็อกโก และรวมถึงศรีลังกา เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดหาและนำพา พวกเขามายังพื้นที่ชายแดนเมียนมา ตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก ของไทย สุดท้ายกลายเป็นการค้ามนุษย์ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ต่างๆ เหล่านี้อยู่บริเวณชายแดนติดกับไทยและอยู่ในความดูแลของกองกำลังชาติพันธุ์ต่างๆ พวกจีนสีเทา/ดำ รู้ดีว่าสถานที่ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ที่อาจถูกเรียกว่าเป็น No Man Land เพราะยังเป็นพื้นที่สู้รบในเมียนมา จึงใช้จังหวะให้เป็นโอกาสการทำธุรกิจหลอกลวงทั้งคนไปทำงาน และคนบริสุทธิ์นับล้านคนผ่านคาสิโนออนไลน์ คอลเซนเตอร์ และทุกอย่างที่ผิดกฎหมาย
“จนสุดท้ายมีทั้งเหยื่อที่ถูกค้ามนุษย์ถูกหลอกไปทำงานและทำร้ายร่างกาย บีบคั้นให้ทำงานหากไม่ทำก็ประทุษร้าย และคนนับล้านอย่างเราๆ ท่านๆ ก็ถูกคอลเซนเตอร์หลอกลวงเงินรวมกันหลายร้อยล้านบาท”
นายกัณวีร์ ระบุว่า ก่อนจะไปถึงเรื่องจะจัดการอย่างไร เอาเฉพาะหน้าเคสโมร๊อกโก 17 ราย และ ศรีลังกา 41 รายนี้ก่อน สิ่งที่รัฐบาลต้องทำ คือ
1. เอาตัวเหยื่อทั้งหมด ออกจากสถานที่ที่ถูกกักขัง ง่ายที่สุดคือการข้ามแดนมาไทย โดยการขอความร่วมมือจากกองกำลังชาติพันธุ์ที่ดูแลพื้นที่ มอบให้ทหารไทยช่วยประสานงาน
2. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับหน้าที่ต่อ ผ่านกระบวนการ National Referal Mechanism (NRM) ทำการคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์ ตามกระบวนการที่มีอยู่
3. สถานทูตโมร๊อกโกและศรีลังการับตัวเหยื่อกลับประเทศ
4. นายหน้าและผู้กระทำความผิดถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
“หลายคนอาจตั้งข้อสงสัย เกี่ยวกับไทยอย่างไร ไทยปิดหูปิดตาก็ได้นะครับ เพราะอยู่นอกเขตดินแดนไทย ถึงแม้จะมีการร้องขออย่างเป็นทางการ (ซึ่งจริงๆ แล้วได้มีการร้องขอผ่าน กต. ไปเป็นแรมเดือนแต่กลับนิ่งอยู่) ไทยก็สามารถบอกว่า มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะรัฐบาลไทยไม่สามารถประสานกับกองกำลังที่ไม่ใช่ฝั่งรัฐบาลของประเทศอื่นได้ เราต้องทำเป็นแค่ G to G เท่านั้น ซึ่งก็ทำเสมอมา”
นายกัณวีร์ กล่าวย้ำว่า “นี่ชีวิตคนครับ” และอีกอย่างรัฐบาล สามารถสร้างความเป็นผู้นำในเวทีโลกนี้ได้ การนำหนึ่งในการบริหารจัดการเรื่องการค้ามนุษย์เป็นสิ่งที่โลกให้ความสนใจอย่างยิ่ง ต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้
“หรือหากท่านไม่กล้าประสานและติดต่อกองกำลังชาติพันธุ์เพราะเกรงว่าศักดิ์ศรีของรัฐบาลไทยจะถูกด้อยค่าไปเพราะ เราไม่สามารถคุยกับพวกไม่ใช่รัฐได้ คนละระดับ บอกผมครับ ผมไม่ถือตัวและยอมที่จะคุยกับทุกคนเพื่อคืนศักดิ์ความเป็นมนุษย์ให้มนุษย์โดยเร็ว รีบทำเถอะครับ ทุกวินาทีสำคัญมากเพราะชีวิตและลมหายใจพวกเค้ารอคนเข้าไปช่วยอยู่”
นายกัณวีร์ เรียกร้องให้รัฐบาล เร่งรีบทำเรื่องนี้ เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ และมาสะสางพวกแก๊งค์คอลเซนเตอร์กันอย่างจริงจัง รวมถึงเรียกร้องไปยังบริษัทให้บริการอินเตอร์เน็ต ที่ยังดื้อดึงหันกล่องสัญญาณเน็ต ไปในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งๆ ที่รัฐแจ้งห้ามแล้วและให้หันกลับมาในไทยเท่านั้น
“อย่าหวังเงินจากซิมการ์ดหลายร้อยล้านบาท แต่ต้องโดนจัดการด้วยว่าบริษัทเหล่านี้ ให้การช่วยเหลือขบวนการค้ามนุษย์และหลอกลวงด้วย มันจะได้เข็ดหลาบ แล้วเรามาจัดการกันครับ” นายกัณวีร์ กล่าวย้ำ
กสทช. ตรวจพื้นชายแดน ติดตามลักลอบลากสายสัญญาณโทรคมนาคมข้ามฝั่ง
https://prachatai.com/journal/2024/06/109742
กสทช. ตรวจพื้นที่แนวชายแดน ลงพื้นที่ จ. ตาก รอบสอง ติดตามลักลอบลากสายสัญญาณโทรคมนาคมข้ามฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เตือนประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องโทษหนัก
สำนักสื่อสารองค์กร กสทช. แจ้งข่าวว่าเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2567 นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) พร้อมด้วยสำนักงาน กสทช. ภาค 3 และเขต 31 ลำปาง ได้ลงพื้นที่ตรวจการลักลอบลากสายเคเบิลส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตข้ามแดน การตั้งสถานีวิทยุคมนาคมเพื่อส่งสัญญาณโดยไม่ได้รับอนุญาต และติดตามการปรับเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่หันหน้าออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านใน จ.ตาก
นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า สำนักงาน กสทช. ได้ลงพื้นที่ตรวจการลักลอบใช้สัญญาณโทรคมนาคมข้ามประเทศผิดกฎหมายในพื้นที่ จ.ตาก เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 1 เดือน หลังจากได้รับแจ้งว่าบริเวณพื้นที่ตะเข็บชายแดน อ.พบพระ จ.ตาก มีการลักลอบลากสายเคเบิลข้ามไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเพื่อใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยที่ผ่านมาสำนักงาน กสทช. เขต 31 เคยลงพื้นที่สำรวจพื้นที่บริเวณริมแม่น้ำเมย บ้านแม่กุใหม่ท่าซุง ต.แม่กุ อ.แม่สอด พบว่ามีกระบวนการลักลอบลากสายเคเบิลขึ้นเรือข้ามแม่น้ำเมย ซึ่งเป็นช่องทางพรมแดนธรรมชาติไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเพื่อใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตผิดกฎหมายจึงได้ทำการตัดสาย และพิสูจน์ทราบว่าสายดังกล่าวมีต้นกำเนิดสายมาจากที่ใด เนื่องจากการกระทำดังกล่าวมีความผิดฐานประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับรูปแบบการลักลอบใช้สัญญาณโทรคมนาคมผิดกฎหมายบริเวณแนวตะเข็บชายแดน จ.ตาก นอกจากการลากสายเคเบิลขึ้นเรือข้ามแม่น้ำ ยังพบเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ใน อ.แม่สอด และ อ.แม่ระมาด หันออกไปยังฝั่งตรงข้ามไทยในพื้นที่ชเวก๊กโก และหวันหยา ฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นจุดแรกที่เคยลงพื้นที่สุ่มตรวจ ขณะนี้ได้ระงับสัญญาณในพื้นที่แล้วทุกจุด และการตั้งสถานีวิทยุคมนาคม เพื่อส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาต
นายไตรรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้สามารถควบคุมการหันเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้แล้ว ทั้ง 7 พื้นที่
คือ
(1) อ.แม่สอด จ.ตาก
(2) อ.แม่สาย จ.เชียงใหม่
(3) อ.เชียงของ จ.เชียงใหม่
(4) อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
(5) อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
(6) อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี
และ (7) อ.เมือง จ.ระนอง
โดยปัจจุบันทุกพื้นที่ที่มีการหันเสาออกนอกประเทศไทยได้มีการระงับสัญญาณรวมแล้ว 366 สถานีฐาน ซึ่งมีทั้งการดำเนินการระงับสัญญาณ ปรับทิศทางสายอากาศ ลดกำลังส่ง และรื้อสายอากาศ
อย่างไรก็ดีเพื่อเป็นการขานรับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการเร่งกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงาน กสทช. ได้กำหนดพื้นที่เพิ่มเติมตามมาตรการระงับการให้บริการโทรคมนาคมบริเวณชายแดนที่มีความเสี่ยง ใน
อีก 4 อำเภอ 3 จังหวัด ได้แก่ อ.แม่ระมาด อ.พบพระ จ.ตาก อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ และอ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
“ตอนนี้เรื่องเสา และสายเราจัดการได้แล้ว แต่ที่เป็นห่วงคือการใช้อินเทอร์เน็ตดาวเทียมความเร็วสูงที่มีการลักลอบนำเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยเชื่อมต่อกับดาวเทียม เป็นการใช้เทคโนโลยีที่อาจนำไปใช้ในการกระทำผิด และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าติดตาม ก็ต้องขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยกันไม่ให้เกิดการลักลอบนำเข้าจานดาวเทียมผิดกฎหมาย เพราะอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างร้ายแรง และยังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชน” นายไตรรัตน์ กล่าว
หุ้นไทยดิ่งหนัก 9% ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ เปิดตัวเลข "ต่างชาติ" ขายทุบสถิติ
https://www.prachachat.net/finance/news-1596271
หุ้นไทยดิ่งหนัก 9.24% ช่วง 6 เดือนแรกปี 2567 เปิดตัวเลข “ต่างชาติ” เทขายทุบสถิติ
วันที่ 29 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.) พบว่า ดัชนี SET ปรับตัวลดลง 132.42 จุด ติดลบ 9.24% จากระดับ 1,433.38 จุด หล่นมาอยู่ที่ 1,309.96 จุด
นักลงทุนต่างชาติ ปิดสถานะขายสุทธิหุ้นไทยสะสม 6 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 117,031.49 ล้านบาท และนับตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. – 28 มิ.ย. 2567 ขายหุ้นไทยต่อเนื่องรวมเป็นเวลา 27 วันทำการติดต่อกัน หรือคิดเป็นการขายสุทธิ 51,635.68 ล้านบาท มีรายละเอียดดังนี้
• 21 พ.ค. ขายสุทธิ 3,150 ล้านบาท
• พ.ค. ขายสุทธิ 1,014.36 ล้านบาท
• 24 พ.ค. ขายสุทธิ 834.78 ล้านบาท
• 27 พ.ค. ขายสุทธิ 1,071.08 ล้านบาท
• 28 พ.ค. ขายสุทธิ 1,660.46 ล้านบาท
• 29 พ.ค. ขายสุทธิ 3,562.44 ล้านบาท
• 30 พ.ค. ขายสุทธิ 1,372.78 ล้านบาท
• 31 พ.ค. ขายสุทธิ 4,097.90 ล้านบาท
• 4 มิ.ย. ขายสุทธิ 2,243.42 ล้านบาท
• 5 มิ.ย. ขายสุทธิ 121.23 ล้านบาท
• 6 มิ.ย. ขายสุทธิ 3,184.65 ล้านบาท
• 7 มิ.ย. ขายสุทธิ 495.87 ล้านบาท
• 10 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,612.80 ล้านบาท
• 11 มิ.ย. ขายสุทธิ 3,208.68 ล้านบาท
• 12 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,815.86 ล้านบาท
• 13 มิ.ย. ขายสุทธิ 2,024.95 ล้านบาท
• 14 มิ.ย. ขายสุทธิ 714.12 ล้านบาท
• 17 มิ.ย. ขายสุทธิ 2,706.28 ล้านบาท
• 18 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,740.94 ล้านบาท
• 19 มิ.ย. ขายสุทธิ 2,692.88 ล้านบาท
• 20 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,959.89 ล้านบาท
• 21 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,580.30 ล้านบาท
• 24 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,087.97 ล้านบาท
• 25 มิ.ย. ขายสุทธิ 1,844.30 ล้านบาท
• 26 มิ.ย. ขายสุทธิ 831.33 ล้านบาท
• 27 มิ.ย. ขายสุทธิ 2,385.96 ล้านบาท
• 28 มิ.ย. ขายสุทธิ 2,620.43 ล้านบาท
สาเหตุสำคัญมาจากที่เกิดกระแสการชอร์ตเซลในตลาดหุ้น และมีความกังวลทางการเมืองไทย ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านสถานะของนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพและสุญญากาศทางการเมือง โดยต้องติดตามในสัปดาห์หน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการวินิจฉัยกรณีให้ยุบพรรคก้าวไกลในวันที่ 3 ก.ค. และในวันที่ 10 ก.ค. พิจารณาคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี นักลงทุนที่ช่วยพยุงดัชนี SET คือ กลุ่มนักลงทุนรายย่อย โดยในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ปิดสถานะซื้อสุทธิหุ้นไทยไปทั้งหมด 113,804.81 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มนักลงทุนสถาบัน 4,015.68 ล้านบาท