JJNY : HRW ร้องไทยสอบกรณี‘รอนิง’│‘ดร.สิริพรรณ’มองสว.ลงทุนได้ไม่คุ้ม│น้ำมันตลาดโลกลงเล็กน้อย│รัสเซียอาจกลับมาผลิตขีปนาวุธ

HRW เรียกร้องรัฐไทยสอบสวนกรณี ‘รอนิง’ อาสาสมัครทำงานต่อต้านการซ้อมทรมาน ถูกยิงเสียชีวิต
https://prachatai.com/journal/2024/06/109740
 
 
ฮิวแมนไรท์วอทช์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยสอบสวนกรณี ‘รอนิง ดอเลาะ’ อาสาสมัครทำงานต่อต้านการซ้อมทรมานที่ถูกยิงเสียชีวิตหน้าบ้านพักในอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เมื่อคืนวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา
 
28 มิ.ย. 2567 เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ฮิวแมนไรท์วอทช์ เผยแพร่แถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยสอบสวนอย่างเร่งด่วนและโปร่งใส กรณี รอนิง ดอเลาะ อาสาสมัครทำงานต่อต้านการซ้อมทรมาน วัย 45 ปี ถูกยิงเสียชีวิตหน้าบ้านพักในอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เมื่อคืนวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา
 
การสังหารนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างโหดร้ายเป็นการตอกย้ำว่า ใครก็ตามที่ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยล้วนตกอยู่ในความเสี่ยง
 
อีเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำภูมิภาคเอเชียกล่าว พร้อมระบุด้วยว่า “รัฐบาลไทยควรสืบสวนการลอบสังหารนี้อย่างเร่งด่วนและโปร่งใส และนำตัวผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดมารับโทษ”
 
เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน. 4 สน.) ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ รอนิง ดอเลาะ และขอให้พยานเข้ามาชี้แจงเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ดังกล่าวไม่ได้ระบุว่ามีการสอบสวนคดีอาญาเต็มรูปแบบในกรณีการสังหารนี้
 
การสังหาร รอนิง ดอเลาะ ถือเป็นบททดสอบสำคัญต่อคำมั่นสัญญาของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในเรื่องการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ได้มีการแถลงต่อรัฐสภาไทยเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2566 และแถลงต่อสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในวันที่ 22 ก.ย.
 
แม้ว่าไทยได้ทำงานตามวาระสิทธิมนุษยชนระดับชาติซึ่งถูกนำไปโฆษณาเป็นวงกว้าง รวมถึงความพยายามในการสมัครเข้ารับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในวาระปี 2568-2570 แต่ทางการไทยแทบไม่ได้ทำอะไรเลยในการจัดการกับภัยคุกคามและความรุนแรงต่อกลุ่มคนที่ออกมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชน ตลอดจนการฟ้องร้องปิดปากโดยหน่วยงานรัฐและตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ

อีเลน เพียร์สัน กล่าวด้วยว่า “รัฐบาลเศรษฐาควรดำเนินการทันทีเพื่อพลิกฟื้นจากบรรยากาศแห่งความกลัวที่ทวีความรุนแรงขึ้นในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทย โดยแสดงให้เห็นว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหาร รอนิง จะต้องรับโทษ
 
ทางการไทยควรใช้มาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อปกป้องสิทธิของชาวมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ในการส่งเสียงเรื่องการกดขี่โดยรัฐและการเรียกร้องความยุติธรรม
 


‘ดร.สิริพรรณ’ ชี้อย่าด่วนสรุป ‘สว.สีน้ำเงิน’ ช่วยพลิกภูมิใจไทยนำเกมการเมือง มอง สว.ชุดนี้ลงทุนได้ไม่คุ้ม
https://ch3plus.com/news/political/ch3onlinenews/406262
 
“ดร.สิริพรรณ” ชี้อย่าด่วนสรุป “สว.สีน้ำเงิน” ทำภูมิใจไทยพลิกนำเกมการเมือง มอง สว.ชุดนี้ ไม่ได้น่าลงทุนผลตอบแทนได้ไม่คุ้ม แต่มีอำนาจต่อรองเรื่องแก้ รธน.
 
ศาสตราจารย์ ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก 

แสดงความยินดีกับ ว่าที่ สว. ทั้ง 200 คน และสำรองอีกกลุ่มละ 5 คน พร้อมระบุว่า 
มีข้อสังเกตต่อ สว. ชุดนี้ 3 ประเด็น คือ
 
1. คิดว่าหลายท่านทราบแล้ว แต่สื่อต่าง ๆ มักพูดสั้น ๆ ว่า สว. มีอำนาจ “แต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ” จึงอยากย้ำว่าความจริงคือ สว. เพียงให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ไม่ได้ “มีอำนาจสรรหา”
เช่น กรรมการสรรหา ปปช. และ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานศาลปกครองสูงสุด ผู้นำฝ่ายค้าน และ บุคคลที่แต่งตั้งโดยศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน

อำนาจยับยั้ง หรือ veto power นี้ สำคัญก็จริง จะเห็นว่า วุฒิสภาชุดที่แต่งตั้งโดย คสช. ไม่เห็นชอบผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อหลายท่าน เพียงเพราะทึกทักว่ามีความเห็นทางการเมืองต่างจากพวกตน กระนั้น วุฒิสภาก็ไม่มีอำนาจจิ้มว่าฉันจะให้ใครเป็น
 
เมื่อวุฒิสภาชุดใหม่มีที่มาหลากหลาย การจะได้เสียงเกินครึ่ง เพื่อลงมติแบบไม่แตกแถวเหมือนวุฒิสมาชิกชุดที่ผ่านมา คงเกิดขึ้นได้ยาก
นอกจากอำนาจให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรดังกล่าวแล้ว วุฒิสภามีอำนาจกลั่นกรองกฎหมาย ให้ความเห็นชอบกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ และตรวจสอบฝ่ายบริหาร เช่นตั้งกระทู้ถาม หรืออภิปรายรัฐบาล แต่ลงมติไม่ไว้วางใจ เหมือนที่สภาผู้แทนราษฎรทำ ไม่ได้
 
2. เมื่อวุฒิสภาไม่ได้มีอำนาจล้นหลาม จึงไม่ค่อยแน่ใจนักว่าพรรคการเมืองจะขวนขวายจัดตั้ง เพื่อช่วงชิงสภาสูง เพราะเป็นการลงทุนที่พรรคได้ผลตอบแทนไม่มากนัก ประโยชน์โดยตรงน่าจะเป็นการหล่อเลี้ยงเครือข่ายและสายสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเสียมากกว่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง กำลังภายในที่ใช้ในการได้ สว. “อาจไม่ใช่ปฏิบัติการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง”
 
การที่ สว.สายสีน้ำเงินเข้ามาได้มาก น่าจะเนื่องจากพรรคภูมิใจไทยคุมมหาดไทย พ้องกับการที่ อำเภอ และ จังหวัด คือผู้รับผิดชอบกระบวนการเลือก 2 ขั้นตอนแรก และเป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติผู้สมัคร ซึ่งส่งผลให้เกิดข้อถกเถียงเรื่อง “ความตรงปก” ของกลุ่มอาชีพในขณะนี้
ดังนั้น เมื่อเห็นการวิเคราะห์ว่าภูมิใจไทยจะพลิกขึ้นมาเป็น “พรรคนำ” จึงคิดว่าเป็นการด่วนสรุป อย่าลืมว่าภูมิใจไทยได้คะแนนบัญชีรายชื่อเพียง 1,138,202 คะแนน
 
ที่สำคัญบางพรรคการเมืองอาจเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องลงทุนตอนกระบวนการเลือกที่ซับซ้อน ซึ่งมีปัจจัยตั้งแต่ “จริต อามิสสินจ้าง เครือข่าย และอุดมการณ์” ช้อนซื้อภายหลังอาจง่ายกว่า
 
3. บทบาทท้าทายของ สว. คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ สว.ชุด คสช. แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน ประเด็นที่พูดกันมากคือ จะมี สว. ถึง 1 ใน 3 หรือ 66 คน เห็นชอบกับการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่
 
ดิฉันเห็นว่าการมีรัฐธรรมนูญใหม่ควรเป็นฉันทามติที่คนในสังคมส่วนใหญ่เห็นร่วมกัน รัฐบาลควรเริ่มผลักดันให้เกิดบรรยากาศแก้รัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง ดิฉันเชื่อว่ามี สว. ชุดใหม่ มากกว่า 66 คน เห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่ จะแก้หมวด 1 และ หมวด 2 หรือไม่
การที่ สว.จำนวนมากมีสายสัมพันธ์กับพรรคภูมิใจไทย จะทำให้พรรคมีอำนาจต่อรองและกำหนดทิศทางในเรื่องนี้มากขึ้น
 
สุดท้าย แม้ว่าการได้ สว. จะเป็นเกมส์ที่อัปลักษณ์ ไม่ใช่ระบบเลือกตั้งที่ประชาชนมีส่วนร่วม การแข่งขันไม่เป็นธรรม เพราะกติกาที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้
แต่ขอให้ กกต. รับรองผลตามกำหนด คือวันที่ 2 กรกฎาคม หากพบการทุจริต ค่อยสอยส่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นรายบุคคล เพื่อให้ สว.ชุดใหม่ได้ทำหน้าที่โดยเร็ว และให้ประเทศเดินหน้าอย่างไม่สะดุด
 
ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านอีกครั้งค่ะ
 
https://www.facebook.com/siripan.nogsuansawasdee/posts/pfbid09hPRcxC3TF1Yj35kNPEAz9wpirjsMtKeU5W3VASUu9jsjWCZpSGfKF2uYE67ZRRol
 


ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวลดลงเล็กน้อย 20 เซนต์
https://ch3plus.com/news/economy/morning/406270

ราคาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส อินเตอร์มีเดียท หรือ WTI ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมา (28 มิ.ย.) ลดลงเล็กน้อย 20 เซนต์ หรือ 0.24 เปอร์เซ็นต์ ปิดตลาดที่ 81.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (28 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนประเมินภาวะอุปสงค์น้ำมันเชื้อเพลิงที่อ่อนแอในสหรัฐ และขายสัญญาน้ำมันดิบเพื่อทำกำไรในช่วงสิ้นไตรมาส ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อเดือนพ.ค.เพิ่มโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค. ลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.24% ปิดที่ 81.54 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 2 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดที่ 86.41 ดอลลาร์/บาร์เรล ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 0.2% ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้น 0.02% แต่ทั้งสองสัญญาปรับตัวขึ้นราว 6% ในเดือนมิ.ย.

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงาน (EIA) เปิดเผยรายงานเมื่อวันศุกร์ ระบุว่า ขณะที่การผลิต และอุปสงค์น้ำมันของสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนในเดือนเม.ย. แต่อุปสงค์น้ำมันเบนซินลดลงสู่ 8.83 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.

นักวิเคราะห์กล่าวว่า เทรดเดอร์บางรายได้ขายทำกำไรสัญญาน้ำมันดิบในช่วงสิ้นไตรมาส 2 หลังจากราคาน้ำมันทะยานขึ้นในช่วงต้นเดือนมิ.ย.

ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นั้น ทรงตัวในเดือนพ.ค. ซึ่งเพิ่มความหวังว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนก.ย.

เครื่องมือ FedWatch tool ของ CME บ่งชี้ว่า บรรดาเทรดเดอร์คาดการณ์ในขณะนี้ว่ามีโอกาส 64% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นจาก 50% ในเดือนที่แล้ว

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.7% ในเดือนเม.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนพ.ค. หรือปรับตัวขึ้น 0.0% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย.

ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.8% ในเดือนเม.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.3% ในเดือนเม.ย.

ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันศุกร์บ่งชี้ว่า ราคาน้ำมันอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ขณะที่ความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ของจีนและแนวโน้มปริมาณน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรายสำคัญ จะบดบังความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์

ผลสำรวจคาดว่า สัญญาน้ำมันดิบสหรัฐจะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 79.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีนี้ และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์จะมีราคาเฉลี่ยที่ 83.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่