การเข้ามาของนายกเศรษฐา แรกๆ ตั้งใจทำงานดี
1. ดุข้าราชการต่อหน้าสื่อ ให้เร่งทำงานเพื่อประชาชน
2. มีความตั้งใจทำงานทุกวัน ขยัน
3. ตอบคำถามสื่อได้สุภาพ
แต่ช่วงหลังๆ แวดล้อมด้วยนักการเมืองรุ่นก่อน
ทำให้รับวิธีการทำงานแบบนักการเมืองยุคเก่า ที่เน้นการใช้ lobbyiest
คุยข้างหลัง เน้นโน้มน้าว ทำให้ระบบคิดแบบวิทยาศาตร์ เสื่อมไป
ซึ่งคน Gen XYZ ไม่ get กับวิธีแบบนี้ พวกเค้าชอบการเมืองแบบเปิดเผย ตรงไปตรงมา
คำว่า ดีล ถ้าในทางการฑูตเป็นเรื่องดี คือ เชื่อมสัมพันธ์ ลดความขัดแย้ง
แต่ทุกวันนี้ อาจจะต้องช่วยกันดู ว่า เป็น Dark Deal หรือเปล่า ? ทำให้คนผิดกลายเป็นถูก
แทนที่จะพิสูจน์ด้วยกระบวนการยุติธรรม
อาทิ การให้คุณวิษณุ ซึ่งท่านกล่าวว่า เป็นที่ปรึกษา ไม่ได้รับเงินเดือน มาทำหน้าที่คล้ายๆเป็นโฆษกรัฐบาล
สะท้อนว่า ทรัพยากรมนุษย์ของพรรคเพื่อไทย น่าจะขาดแคลนระดับมันสมอง จึงขอให้นัก กม อาวุโส ซึ่งป่วยเป็นไตทำงานให้
ส่วนหนึ่งเรื่องนี้ ต้องให้ นัก กม ชี้แจงเพราะซับซ้อน แต่นายก น่าจะต้องเสนอบทนำเพื่อแสดงความเอาจริงเอาจัง
เพียงแค่ท่าทีผู้นำ ก็ทำให้ข้าราชการกลัวการทุจริตมากขึ้นได้ เพราะโฉมหน้าของประเทศ ก็มาจากจุดเน้นของผู้นำ
ตัวอย่าง โฉมหน้าเกาหลีเหนือ ก็มาจากบุคลิกผู้นำเกาหลีเหนือ
โดยเฉพาะการตั้งคำถามนำ ซึ่งไม่ใช่ตำรวจสองบิ๊กทะเลาะกัน
แต่สังคมรอฟัง แต่ละคนทำผิด จริงหรือไม่ อย่างไร
การทำงานนานของคนรุ่น babyboomers ด้านหนึ่งก็เห็นว่าดีนะ ท่านขยัน ท่านก็ทำไป
นี่คือ สังคมที่ใช้แรงงานผู้สูงอายุ
แต่อีกด้านหนึ่ง ความไม่เท่าทันยุคสมัย เกิดขึ้นได้ หรือ พูดแบบหนึ่ง สังคมอดีตรับได้ สังคมปัจจุบันรับไม่ได้
น่าสงสารเด็กไทยที่ไม่ได้ถูกสร้าง เพราะผู้ใหญ่ไม่ไว้ใจ ขอทำเองหมด
เชื่อว่า คนรุ่นใหม่ เก่งๆ มี แต่สื่อมวลชนและรัฐบาลไม่ได้ให้พื้นที่แสดงออก ทำให้งานระดับชาติ ไม่มีตัวเลือก
เปิดดีล เป็นเพียงวิธีแบบด่วนสรุป ความไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลยังมีอยู่ต่อไป
นักการเมือง ข้าราชการ องค์กรอิสระยุคนี้ ควรเลิกคิดได้แล้ว ว่าประชาชนกินหญ้า/หลอกง่าย
วิธีการทำงานที่เหมาะกับยุคนี้ คือ เคารพในดุลยพินิจประชาชน ไม่ใช่หาวิธีตบตาสังคม
ดีลดีเด่น คือ เจรจาลับ แล้วสังคมยอมรับในผลการเจรจา
ดีลดับ คือ แค่ยุให้กล้าทำในสิ่งที่ขัดสายตาวิญญูชน
สไตล์ยอมงอตลอดเวลา อาจเป็นข้อบกพร่องในภาวะผู้นำ
เมื่อไม่ก้าวลงมาแก้ปัญหาในวงการตำรวจด้วยตนเอง ก็เท่ากับซุกปัญหาไว้ใต้พรม
ไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่ทนายตั้ม หรือ ตัวแทนของประชาชนยื่นหลักฐานต่างๆให้พิจารณา
ซึ่งนายก ควรมีบทบาทเข้าไปเร่งรัดการสืบสวน และ ติดตามผล
ตอนนี้ เราไม่ควรรีบสรุป ว่าใครผิด ใครถูก นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน อาจไม่ผิดก็ได้
แต่หาก นายก ไม่กล้าแตะต้องกระบวนการยุติธรรมในขอบเขตอำนาจกำกับดูแลของตนเลย
อาจเปิดทางให้ดีลต่างๆเกิดขึ้นมากมาย หรือนี่คือ เส้นทางสายสีแดงที่เพื่อไทยเลือกมาแล้วตั้งแต่ต้น
ซึ่งอาจทำให้เพื่อไทยชนะระยะสั้น แต่พ่ายแพ้ระยะยาว
นายกฯ มุ่งออกไปเจรจาการค้านอกประเทศ แต่ลืมกวาดบ้านตัวเองให้น่าอยู่
ใครจะกล้าหอบเงินมาลงทุนในประเทศที่
- นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับท็อปยังเทาๆ หัวมังกุด แล้วนายตำรวจชั้นประทวนจะเป็นมังกรได้อย่างไร
ถ้าจะเพิ่มเงินเดือนให้ตำรวจที่ต้องทำงานเสี่ยงตาย เห็นด้วยนะ ข้าราชการทั่วไป ยังไม่ต้องเร่งเพิ่มเงินเดือนก็ได้
กางดูว่า เงินเดือนภาครัฐไปกองตรงไหน ที่เป็นกลุ่มคนที่ไม่ค่อยทำงาน ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีผลงาน ใช้ outsource แทนได้
ตอนนี้ ตำรวจรับส่วย เพราะเงินเดือนน้อย น่าเห็นใจ เพราะลักษณะงานบางอย่างก็เสี่ยงชีวิต
- การเมืองถูกแช่แข็ง หลายคดีติดอยู่ที่ศาล พรรคการเมืองไม่มีทิศทางอย่างชัดเจน
ไหนบอกว่าเน้น soft power พอไปดูงบประมาณ ก็ยังเห็นว่าเทไปทางเดิมๆ
- นายก ยังแต่งตั้งผู้ที่เกี่ยวข้องในคดียื่นถุงขนม เป็น รมต
ราวกับว่า ทั้งประเทศนี้ไม่มีเลยหรือ นัก กม รุ่นใหม่ที่เก่งจัดเจนใน กม ไม่เคยถูกยึดใบวิชาชีพทนาย ?
จะเอาประสพการณ์คนเก่าๆ มาใช้ในบริบทใหม่ ... ทบทวนหลักการนี้ดีๆ
ถ้าเราเป็นนักลงทุนต่างชาติ มองเข้ามา เราไม่มั่นใจเลย เพราะดูเหมือน
เข้ามาลงทุนในไทยแล้ว ไม่รู้จะต้องจ่ายใครบ้างกี่คน เอะอะ ก็ ขอดีล ๆ
กม. ไม่ได้ใช้ แค่จ่าย ไม่ต้องเสี่ยงคุก ประเมินต้นทุนลำบากอยู่นะ มาลงทุนในประเทศนี้
การเป็นนายใหญ่กว่า ไม่ใช่แค่ให้ประชาชนได้ถ่ายรูปด้วย หรือ ไปตัดริบบิ้นเปิดงาน
การเป็นหุ่นเชิด คือ นักแสดง
แต่การเป็นผู้กำกับ คือ คุมเกมส์ วางหมากแต่ละตัวหรือขุนพลแต่ละคน เพื่อแก้ปัญหาเรื้อรังของประเทศแต่ละด้าน
ไม่ใช่ทำงานแบบแมวกลบขี้ กลบๆ ไว้ ให้ทุกคนมองข้าม แต่ปัญหาก็ยังอยู่ใต้ทราย
ณ ช่วงเวลานี้ พิธาต้องขอบคุณนายกเศรษฐา ที่ทำให้เขามีเวลาได้เตรียมตัว เพราะงานที่มาทุกวัน
อาจไม่ทำให้ผู้นำมีเวลาขบคิด จนได้ผลลัพธ์เชิงยุทธวิธีที่ล้ำค่า แบบวางยาที่เดียว ให้ผลฉกาจ เชื้อโรคตายทั้งรัง
ยิ่งนายกฯ รับวัฒนธรรมดีล ก้าวไกลยิ่งได้รับความนิยม
1. ดุข้าราชการต่อหน้าสื่อ ให้เร่งทำงานเพื่อประชาชน
2. มีความตั้งใจทำงานทุกวัน ขยัน
3. ตอบคำถามสื่อได้สุภาพ
แต่ช่วงหลังๆ แวดล้อมด้วยนักการเมืองรุ่นก่อน
ทำให้รับวิธีการทำงานแบบนักการเมืองยุคเก่า ที่เน้นการใช้ lobbyiest
คุยข้างหลัง เน้นโน้มน้าว ทำให้ระบบคิดแบบวิทยาศาตร์ เสื่อมไป
ซึ่งคน Gen XYZ ไม่ get กับวิธีแบบนี้ พวกเค้าชอบการเมืองแบบเปิดเผย ตรงไปตรงมา
คำว่า ดีล ถ้าในทางการฑูตเป็นเรื่องดี คือ เชื่อมสัมพันธ์ ลดความขัดแย้ง
แต่ทุกวันนี้ อาจจะต้องช่วยกันดู ว่า เป็น Dark Deal หรือเปล่า ? ทำให้คนผิดกลายเป็นถูก
แทนที่จะพิสูจน์ด้วยกระบวนการยุติธรรม
อาทิ การให้คุณวิษณุ ซึ่งท่านกล่าวว่า เป็นที่ปรึกษา ไม่ได้รับเงินเดือน มาทำหน้าที่คล้ายๆเป็นโฆษกรัฐบาล
สะท้อนว่า ทรัพยากรมนุษย์ของพรรคเพื่อไทย น่าจะขาดแคลนระดับมันสมอง จึงขอให้นัก กม อาวุโส ซึ่งป่วยเป็นไตทำงานให้
ส่วนหนึ่งเรื่องนี้ ต้องให้ นัก กม ชี้แจงเพราะซับซ้อน แต่นายก น่าจะต้องเสนอบทนำเพื่อแสดงความเอาจริงเอาจัง
เพียงแค่ท่าทีผู้นำ ก็ทำให้ข้าราชการกลัวการทุจริตมากขึ้นได้ เพราะโฉมหน้าของประเทศ ก็มาจากจุดเน้นของผู้นำ
ตัวอย่าง โฉมหน้าเกาหลีเหนือ ก็มาจากบุคลิกผู้นำเกาหลีเหนือ
โดยเฉพาะการตั้งคำถามนำ ซึ่งไม่ใช่ตำรวจสองบิ๊กทะเลาะกัน
แต่สังคมรอฟัง แต่ละคนทำผิด จริงหรือไม่ อย่างไร
การทำงานนานของคนรุ่น babyboomers ด้านหนึ่งก็เห็นว่าดีนะ ท่านขยัน ท่านก็ทำไป
นี่คือ สังคมที่ใช้แรงงานผู้สูงอายุ
แต่อีกด้านหนึ่ง ความไม่เท่าทันยุคสมัย เกิดขึ้นได้ หรือ พูดแบบหนึ่ง สังคมอดีตรับได้ สังคมปัจจุบันรับไม่ได้
น่าสงสารเด็กไทยที่ไม่ได้ถูกสร้าง เพราะผู้ใหญ่ไม่ไว้ใจ ขอทำเองหมด
เชื่อว่า คนรุ่นใหม่ เก่งๆ มี แต่สื่อมวลชนและรัฐบาลไม่ได้ให้พื้นที่แสดงออก ทำให้งานระดับชาติ ไม่มีตัวเลือก
เปิดดีล เป็นเพียงวิธีแบบด่วนสรุป ความไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลยังมีอยู่ต่อไป
นักการเมือง ข้าราชการ องค์กรอิสระยุคนี้ ควรเลิกคิดได้แล้ว ว่าประชาชนกินหญ้า/หลอกง่าย
วิธีการทำงานที่เหมาะกับยุคนี้ คือ เคารพในดุลยพินิจประชาชน ไม่ใช่หาวิธีตบตาสังคม
ดีลดีเด่น คือ เจรจาลับ แล้วสังคมยอมรับในผลการเจรจา
ดีลดับ คือ แค่ยุให้กล้าทำในสิ่งที่ขัดสายตาวิญญูชน
สไตล์ยอมงอตลอดเวลา อาจเป็นข้อบกพร่องในภาวะผู้นำ
เมื่อไม่ก้าวลงมาแก้ปัญหาในวงการตำรวจด้วยตนเอง ก็เท่ากับซุกปัญหาไว้ใต้พรม
ไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่ทนายตั้ม หรือ ตัวแทนของประชาชนยื่นหลักฐานต่างๆให้พิจารณา
ซึ่งนายก ควรมีบทบาทเข้าไปเร่งรัดการสืบสวน และ ติดตามผล
ตอนนี้ เราไม่ควรรีบสรุป ว่าใครผิด ใครถูก นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน อาจไม่ผิดก็ได้
แต่หาก นายก ไม่กล้าแตะต้องกระบวนการยุติธรรมในขอบเขตอำนาจกำกับดูแลของตนเลย
อาจเปิดทางให้ดีลต่างๆเกิดขึ้นมากมาย หรือนี่คือ เส้นทางสายสีแดงที่เพื่อไทยเลือกมาแล้วตั้งแต่ต้น
ซึ่งอาจทำให้เพื่อไทยชนะระยะสั้น แต่พ่ายแพ้ระยะยาว
นายกฯ มุ่งออกไปเจรจาการค้านอกประเทศ แต่ลืมกวาดบ้านตัวเองให้น่าอยู่
ใครจะกล้าหอบเงินมาลงทุนในประเทศที่
- นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับท็อปยังเทาๆ หัวมังกุด แล้วนายตำรวจชั้นประทวนจะเป็นมังกรได้อย่างไร
ถ้าจะเพิ่มเงินเดือนให้ตำรวจที่ต้องทำงานเสี่ยงตาย เห็นด้วยนะ ข้าราชการทั่วไป ยังไม่ต้องเร่งเพิ่มเงินเดือนก็ได้
กางดูว่า เงินเดือนภาครัฐไปกองตรงไหน ที่เป็นกลุ่มคนที่ไม่ค่อยทำงาน ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีผลงาน ใช้ outsource แทนได้
ตอนนี้ ตำรวจรับส่วย เพราะเงินเดือนน้อย น่าเห็นใจ เพราะลักษณะงานบางอย่างก็เสี่ยงชีวิต
- การเมืองถูกแช่แข็ง หลายคดีติดอยู่ที่ศาล พรรคการเมืองไม่มีทิศทางอย่างชัดเจน
ไหนบอกว่าเน้น soft power พอไปดูงบประมาณ ก็ยังเห็นว่าเทไปทางเดิมๆ
- นายก ยังแต่งตั้งผู้ที่เกี่ยวข้องในคดียื่นถุงขนม เป็น รมต
ราวกับว่า ทั้งประเทศนี้ไม่มีเลยหรือ นัก กม รุ่นใหม่ที่เก่งจัดเจนใน กม ไม่เคยถูกยึดใบวิชาชีพทนาย ?
จะเอาประสพการณ์คนเก่าๆ มาใช้ในบริบทใหม่ ... ทบทวนหลักการนี้ดีๆ
ถ้าเราเป็นนักลงทุนต่างชาติ มองเข้ามา เราไม่มั่นใจเลย เพราะดูเหมือน
เข้ามาลงทุนในไทยแล้ว ไม่รู้จะต้องจ่ายใครบ้างกี่คน เอะอะ ก็ ขอดีล ๆ
กม. ไม่ได้ใช้ แค่จ่าย ไม่ต้องเสี่ยงคุก ประเมินต้นทุนลำบากอยู่นะ มาลงทุนในประเทศนี้
การเป็นนายใหญ่กว่า ไม่ใช่แค่ให้ประชาชนได้ถ่ายรูปด้วย หรือ ไปตัดริบบิ้นเปิดงาน
การเป็นหุ่นเชิด คือ นักแสดง
แต่การเป็นผู้กำกับ คือ คุมเกมส์ วางหมากแต่ละตัวหรือขุนพลแต่ละคน เพื่อแก้ปัญหาเรื้อรังของประเทศแต่ละด้าน
ไม่ใช่ทำงานแบบแมวกลบขี้ กลบๆ ไว้ ให้ทุกคนมองข้าม แต่ปัญหาก็ยังอยู่ใต้ทราย
ณ ช่วงเวลานี้ พิธาต้องขอบคุณนายกเศรษฐา ที่ทำให้เขามีเวลาได้เตรียมตัว เพราะงานที่มาทุกวัน
อาจไม่ทำให้ผู้นำมีเวลาขบคิด จนได้ผลลัพธ์เชิงยุทธวิธีที่ล้ำค่า แบบวางยาที่เดียว ให้ผลฉกาจ เชื้อโรคตายทั้งรัง