ได้มีการสำรวจแล้วทั่วโลก
รถ BEV ถ้าในไทย ปล่อยมลพิษเท่า HEV และ ด้อยกว่า PHEV แม้ไม่เปลี่ยนแบตเลย แล้วขับไป 2xx,xxx กม.
ในไทย ส่วนสีเขียวในรูป จะสูงขึ้น 10% โดยประมาณครับ
และหากเป็นเมื่ออากาศร้อน 35-40 องศา ส่วนสีเขียวในรูป จะสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
โดยเจ้าของกระทู้ ขับเทียบมาแล้ว ภาพวันที่ 30 องศาอยู๋ด้านล่าง วันที่ 40 องศา ลดเร็วกว่ามาก
ทำให้ BEV แค่สะอาดเท่ากับ HEV เองครับ
ตอนนี้ มีรถเปลี่ยนแบตฟรีภายใน 8 ปีแล้ว ส่วนคันไม่เปลี่ยนฟรี (จ่ายเงินเอง) ตีว่า 10 ปี เร็วกว่าประเทศเย็นที่เปลี่ยนกันปีที่ 13
เพราะอุณหภูมิแวดล้อม ส่งผลต่อการเสื่อมแบตครับ
อย่างในไทย หลายคัน หลายวัน จอดเฉย ๆ จะพบว่าระบบทำความเย็นแบตทำงาน (รถผมก็เป็น) เพื่อรักษาแบต ครับ
(คันที่ระบบไม่ทำความเย็นวันที่ร้อน นั่นแบตเสื่อมระหว่างวันนั้นแล้วครับ)
แล้วพอเปลี่ยนแบตแต่ละครั้ง จนรถหมดสภาพ EV ส่วนสีฟ้าและส้มในรูป จะสูงขึ้นเท่า/สองเท่าตัว
หากเปลี่ยนแบตสองครั้งจนรถหมดสภาพ จะเห็นได้ว่า BEV 2x ปี ปล่อยมลพิษเท่า หรือ มากกว่า ICEV ครับ
อ้างอิงรูปได้เลย โดยอย่าลืมนะครับ ส่วนสีเขียวในรูปจะมากกว่าสำหรับประเทศไทย 10%
แล้วสหรัฐ ที่ GHG Emission factor ดีกว่าไทย ประมาณ 10% ได้ทำการวิจัยแล้ว
โดยคาดว่า ปี 2030 ระบบผลิตไฟฟ้าสหรัฐจะสะอาดขึ้น 35%
พบว่าช่วงปี 2020-2030 BEV ไม่มีทางสู้ PHEV ได้ ในเรื่องรักษ์โลก
ในไทย ไม่อาจคาดได้ว่า กริดจะสะอาดขึ้นเหมือนสหรัฐ
เพราะรัฐบาล แม้ทักษิณ ก็ทำไม่ได้ดังวางแผน
คือ เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนได้แค่เศษเสี้ยวของแผน
บางคนคิดว่า BEV สะอาดกว่า HEV / ICE
1. จริงในประเทศอย่างยุโรปเหนือ ที่ GHG Emission factor ดีกว่าไทย 10 เท่า
2. ไม่จริงในไทยที่ GHG Emission factor ด้อยกว่าสหรัฐในรูป 10%
3. และเมื่อเทียบ ICE ไม่จริง ตอน BEV เปลี่ยนแบตรอบสอง ครับ
การรีวิวรถกันหลายแหล่ง (เพจ / ยูทูป) โดยไม่ดูอุณหภูมิแวดล้อม จะไม่แม่นยำ
ผลการรีวิว (ฺBEV เทียบ BEV กันเอง) พลาดได้อย่างมาก
วันที่ 23 องศา (รถแบตวิ่งประหยัดกันส่วนใหญ่) กับ วันที่ 30 องศา กับ วันที่เกือบ 40 องศา ไม่สามารถเทียบประสิทธิภาพรถได้เลย
เพราะรถแบต ชอบ 23 องศา
ต่ำกว่านั้น เกินกว่านั้น รถแบต กินไฟครับ
ผมขับจริงแล้ว 9 กม. กินไฟ 3 kWh ดังรูป
ค่า Emission factor แบบไม่คิด Loss ในสายส่งมาก อยู่ที่ 450 gCO2/kWh
ดังนั้น รถผม (และ BEV หนักอีกหลายเจ้า) ตอนวิ่ง 11x-120 กม./ชม. ปล่อย CO2 150 ก./กม.
ขับข้ามจังหวัดไม่ต่างอะไรกับ HEV Corolla HEV 0-100 7.7 วินาทีเลย (อาจแย่กว่าด้วยนะ เพราะรถแบตใหญ่หนักกว่า)
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า BEV / PHEV เป็นตัวเลือกที่ดี ตอนรถติดอึ้บในเมือง ครับ
หลายสาเหตุที่รถแบตในไทยไม่คลีนเท่าหลายประเทศ
รถ BEV ถ้าในไทย ปล่อยมลพิษเท่า HEV และ ด้อยกว่า PHEV แม้ไม่เปลี่ยนแบตเลย แล้วขับไป 2xx,xxx กม.
ในไทย ส่วนสีเขียวในรูป จะสูงขึ้น 10% โดยประมาณครับ
และหากเป็นเมื่ออากาศร้อน 35-40 องศา ส่วนสีเขียวในรูป จะสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
โดยเจ้าของกระทู้ ขับเทียบมาแล้ว ภาพวันที่ 30 องศาอยู๋ด้านล่าง วันที่ 40 องศา ลดเร็วกว่ามาก
ทำให้ BEV แค่สะอาดเท่ากับ HEV เองครับ
ตอนนี้ มีรถเปลี่ยนแบตฟรีภายใน 8 ปีแล้ว ส่วนคันไม่เปลี่ยนฟรี (จ่ายเงินเอง) ตีว่า 10 ปี เร็วกว่าประเทศเย็นที่เปลี่ยนกันปีที่ 13
เพราะอุณหภูมิแวดล้อม ส่งผลต่อการเสื่อมแบตครับ
อย่างในไทย หลายคัน หลายวัน จอดเฉย ๆ จะพบว่าระบบทำความเย็นแบตทำงาน (รถผมก็เป็น) เพื่อรักษาแบต ครับ
(คันที่ระบบไม่ทำความเย็นวันที่ร้อน นั่นแบตเสื่อมระหว่างวันนั้นแล้วครับ)
แล้วพอเปลี่ยนแบตแต่ละครั้ง จนรถหมดสภาพ EV ส่วนสีฟ้าและส้มในรูป จะสูงขึ้นเท่า/สองเท่าตัว
หากเปลี่ยนแบตสองครั้งจนรถหมดสภาพ จะเห็นได้ว่า BEV 2x ปี ปล่อยมลพิษเท่า หรือ มากกว่า ICEV ครับ
อ้างอิงรูปได้เลย โดยอย่าลืมนะครับ ส่วนสีเขียวในรูปจะมากกว่าสำหรับประเทศไทย 10%
แล้วสหรัฐ ที่ GHG Emission factor ดีกว่าไทย ประมาณ 10% ได้ทำการวิจัยแล้ว
โดยคาดว่า ปี 2030 ระบบผลิตไฟฟ้าสหรัฐจะสะอาดขึ้น 35%
พบว่าช่วงปี 2020-2030 BEV ไม่มีทางสู้ PHEV ได้ ในเรื่องรักษ์โลก
ในไทย ไม่อาจคาดได้ว่า กริดจะสะอาดขึ้นเหมือนสหรัฐ
เพราะรัฐบาล แม้ทักษิณ ก็ทำไม่ได้ดังวางแผน
คือ เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนได้แค่เศษเสี้ยวของแผน
บางคนคิดว่า BEV สะอาดกว่า HEV / ICE
1. จริงในประเทศอย่างยุโรปเหนือ ที่ GHG Emission factor ดีกว่าไทย 10 เท่า
2. ไม่จริงในไทยที่ GHG Emission factor ด้อยกว่าสหรัฐในรูป 10%
3. และเมื่อเทียบ ICE ไม่จริง ตอน BEV เปลี่ยนแบตรอบสอง ครับ
การรีวิวรถกันหลายแหล่ง (เพจ / ยูทูป) โดยไม่ดูอุณหภูมิแวดล้อม จะไม่แม่นยำ
ผลการรีวิว (ฺBEV เทียบ BEV กันเอง) พลาดได้อย่างมาก
วันที่ 23 องศา (รถแบตวิ่งประหยัดกันส่วนใหญ่) กับ วันที่ 30 องศา กับ วันที่เกือบ 40 องศา ไม่สามารถเทียบประสิทธิภาพรถได้เลย
เพราะรถแบต ชอบ 23 องศา
ต่ำกว่านั้น เกินกว่านั้น รถแบต กินไฟครับ
ผมขับจริงแล้ว 9 กม. กินไฟ 3 kWh ดังรูป
ค่า Emission factor แบบไม่คิด Loss ในสายส่งมาก อยู่ที่ 450 gCO2/kWh
ดังนั้น รถผม (และ BEV หนักอีกหลายเจ้า) ตอนวิ่ง 11x-120 กม./ชม. ปล่อย CO2 150 ก./กม.
ขับข้ามจังหวัดไม่ต่างอะไรกับ HEV Corolla HEV 0-100 7.7 วินาทีเลย (อาจแย่กว่าด้วยนะ เพราะรถแบตใหญ่หนักกว่า)
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า BEV / PHEV เป็นตัวเลือกที่ดี ตอนรถติดอึ้บในเมือง ครับ