ตลาดหุ้นไทยเดือด! 10 หุ้น SET50 ดอยสูงสุดรอบ 1 ปี หุ้น EA มากสุดราคา 1 ปี -67.03% ราคา YTD -52.32% "โบรกเกอร์" แนะ ช่วงการเมืองไม่ชัดเจน ปัจจัยในประเทศรุมเร้า เน้นกลุ่ม Global play
ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในสภาวะระส่ำอย่างหนัก จากปัจจัยกดดันหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ และการเมือง ยิ่งเฉพาะคดีความทางการเมืองหลายคดี ที่หลายฝ่ายจับตา ขนาดนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ยังยอมรับว่าที่ตลาดหุ้นไทยตกอย่างหนักในช่วงนี้มีหลายประเด็นด้วยกัน ทั้งตัวเลขเศรษฐกิจ และประเด็นการเมืองด้วย
ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจหุ้นใน ดัชนี SET50 ที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 50 ตัวแรกที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงที่สุด เป็นกลุ่มธุรกิจแถวหน้าที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงที่สุด ว่าในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา 10 อันดับหลักทรัพย์ใดที่มีการปรับราคาลงมากที่สุด (ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ 12 มิ.ย.2567)
1.บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) EA
มาร์เก็ตแคป 78,703 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -67.03%
ผลตอบแทนราคา YTD -52.32%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 20.10 บาท
2.บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) BANPU
มาร์เก็ตแคป 48,892 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -44.23%
ผลตอบแทนราคา YTD -28.24%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 5.05 บาท
3.บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) COM7
มาร์เก็ตแคป 41,040 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -40.00%
ผลตอบแทนราคา YTD -28.15%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 17.60 บาท
4.บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) TLI
มาร์เก็ตแคป 89,883 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -39.62%
ผลตอบแทนราคา YTD -14.21%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 7.50 บาท
5.บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) IVL
มาร์เก็ตแคป 117,906 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -36.84%
ผลตอบแทนราคา YTD -22.94%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 20.20 บาท
6.บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) BGRIM
มาร์เก็ตแคป 61,784 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -36.80%
ผลตอบแทนราคา YTD -13.03%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 23.20 บาท
7.บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) BTS
มาร์เก็ตแคป 63,468 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -34.42%
ผลตอบแทนราคา YTD -33.52%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 4.70 บาท
8.บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) HMPRO
มาร์เก็ตแคป 121,649 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -32.97%
ผลตอบแทนราคา YTD -20.94%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 9.10 บาท
9.บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) SCC
มาร์เก็ตแคป 278,400 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -30.33%
ผลตอบแทนราคา YTD -24.18%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 229.00 บาท
10.บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) AWC
มาร์เก็ตแคป 113,298 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -29.20%
ผลตอบแทนราคา YTD -0.56%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 3.50 บาท
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ให้ข้อมูลกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นไทยช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างทำผลงานได้แย่เมื่อเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ โดยในอดีตหุ้นโลกจะมีความเคลื่อนไหวไปพร้อม ๆ กัน แต่ในช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ ได้เกิดปรากฎการณ์ Semiconductor ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ๆ เช่น เอ็นวีเดีย อัลฟาเบท หรือ แอปเปิ้ล เป็นหุ้นโลกใหม่ และลูกค้าที่ใช้บริการคือ ทั่วโลก และเมื่อเทียบกับหุ้นเก่า ๆ อย่าง แม็คโดนัล โคคาโคล่า หรือเชฟรอน ผลตอบแทนที่ผ่านมาไม่ได้ดีมาก ส่งให้หุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นมาตามกลุ่มหุ้นโลกใหม่ ๆ ตลาดก็มักจะให้ค่า
ขณะที่ในประเทศไทยไม่หุ้นกลุ่มเหล่านี้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการมองไว้ที่หุ้น DELTA HANA KCE ที่จะคล้าย ๆ กับหุ้นกลุ่มเหล่านั้น แต่สุดท้ายผลประกอบการไม่ได้ดีอย่างที่คิดกันไว้ ดังนั้นประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่ถูกลืมไปพักหนึ่ง และมาในปีนี้ช่วงไตรมาส 1/67 ไทยเองต้องมาประสบการภาวะเศรษฐกิจไทยตกลงมาเหลือแค่ 1.5%
นอกจากนี้อุตสาหกรรมในบ้านเรายังเป็นรูปแบบเก่า ๆ เช่น พลังงาน ค้าปลีก ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งไม่ใช่หุ้นโลกใหม่ๆ และมาประสบกับปัญหาการเมืองที่รอความชัดเจน โดยที่ผ่านมาตลาดค่อนข้างคาดหวังสูงมากเกี่ยวกับการลงทุนภาครัฐ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยแรงกดดันหลักมาจากการลงทุนภาครัฐที่ติดลบ ตลาดจึงมีความคาดหวังว่า เมื่อมีการเบิกจ่ายงบประมาณหลังจากนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น จึงตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงมาอย่างมีนัยยะสำคัญ
โดยหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ส่วนใหญ่มีการปรับตัวลงมาหมด สาเหตุมาจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจในความชัดเจน ขณะที่หุ้นใน SET50 บางตัวมีปัจจัยเฉพาะที่ทำให้ปรับตัวลดลงมา เช่น EA มีผลมาจากผลประกอบการที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก ส่วน BANPU ราคาปรับขึนลงมาตามราคาถ่านหิน
อย่างไรก็ตาม หากมองไปข้างหน้าในครึ่ีงปีหลังน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากตลาดมีการรับรู้เรื่องการเมืองมาพอสมควรแล้ว และคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นสามารถเดินหน้าต่อไปได้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะได้มีการออกมาช่วยอีกแรงหนึ่ง บวกกับนโยบายเฟดน่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงได้สัก 1 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะเป็นประเด็นหนุนให้กับตลาดหุ้นโลกและหุ้นไทยได้ ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงไฮซีซั่นในเรื่องของการบริโภค การท่องเที่ยว โดยนักลงทุนสามารถใช้โอกาสจังหวะนี้ในการเข้าเก็บทยอยสะสมในกลุ่ม Domestic Play
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยติดลบอยู่ที่ประมาณ 6% ถือว่า underperform เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่บวกอยู่ประมาณ 3% ตั้งแต่ต้นปี
ทั้งนี้สาเหตุมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่หายไปทั้งตัวเลขจีดีพีที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐค่อนข้างล่างช้า จึงทำให้ SET INDEX โดยภาพรวมยังค่อนข้าง underperform
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง หากประเด็นการเมืองไม่มากระทบกับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจถึงขั้นต้องหยุดชะงักไป ซึ่งงบประมาณที่เบิกจ่ายออกมาได้จะทำให้จีดีพีไตรมาส 2-3/67 ปรับตัวดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ดิจิทัลวอเล็ตจะมากระตุ้นได้ในช่วงปลายปีได้
ดังนั้นแนวโน้มช่วงที่เหลือของปีดัชนีหุ้นไทยน่าจะค่อย ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ตามการฟื้นต้วของเศรษฐกิจ แต่ระยะสั้นยังคงต้องรอผ่านเรื่องกาารเมืองไปก่อน โดยเฉพาะในเดือนมิ.ย.2567 น่าจะมีความชัดเจนในหลาย ๆ เรื่อง
“ปัจจุบันหุ้นเล็กหุ้นใหญ่ปรับตัวลงมาหมด เพราะว่าโฟลว์ไหลออก ทำให้หุ้นขนาดใหญ่โดยภาพรวมได้รับผลกระทบไปด้วย”
ในระยะสั้นแนะนำว่า ควรลงทุนในหุ้น Global play หุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการขึ้นกับลักษณะเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก พึ่งพิงสภาพเศรษฐกิจในประเทศน้อย หรือหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว จนกว่าการเมืองจะคลี่คลายและค่อยกลับมาลงทุนในหุ้น Domestic Play หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือ หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจในประเทศอีกครั้ง
โดย หุ้น Global play ที่น่าสนใจจะเป็นสินค้าเกษตร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายในประเทศ
Cr.
https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1131153
ตลาดหุ้นไทยเดือด! 10 หุ้น SET50 ดอยสูงสุดรอบ 1 ปี มากถึง 67%
ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในสภาวะระส่ำอย่างหนัก จากปัจจัยกดดันหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ และการเมือง ยิ่งเฉพาะคดีความทางการเมืองหลายคดี ที่หลายฝ่ายจับตา ขนาดนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ยังยอมรับว่าที่ตลาดหุ้นไทยตกอย่างหนักในช่วงนี้มีหลายประเด็นด้วยกัน ทั้งตัวเลขเศรษฐกิจ และประเด็นการเมืองด้วย
ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจหุ้นใน ดัชนี SET50 ที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 50 ตัวแรกที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงที่สุด เป็นกลุ่มธุรกิจแถวหน้าที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงที่สุด ว่าในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา 10 อันดับหลักทรัพย์ใดที่มีการปรับราคาลงมากที่สุด (ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ 12 มิ.ย.2567)
1.บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) EA
มาร์เก็ตแคป 78,703 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -67.03%
ผลตอบแทนราคา YTD -52.32%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 20.10 บาท
2.บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) BANPU
มาร์เก็ตแคป 48,892 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -44.23%
ผลตอบแทนราคา YTD -28.24%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 5.05 บาท
3.บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) COM7
มาร์เก็ตแคป 41,040 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -40.00%
ผลตอบแทนราคา YTD -28.15%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 17.60 บาท
4.บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) TLI
มาร์เก็ตแคป 89,883 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -39.62%
ผลตอบแทนราคา YTD -14.21%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 7.50 บาท
5.บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) IVL
มาร์เก็ตแคป 117,906 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -36.84%
ผลตอบแทนราคา YTD -22.94%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 20.20 บาท
6.บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) BGRIM
มาร์เก็ตแคป 61,784 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -36.80%
ผลตอบแทนราคา YTD -13.03%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 23.20 บาท
7.บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) BTS
มาร์เก็ตแคป 63,468 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -34.42%
ผลตอบแทนราคา YTD -33.52%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 4.70 บาท
8.บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) HMPRO
มาร์เก็ตแคป 121,649 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -32.97%
ผลตอบแทนราคา YTD -20.94%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 9.10 บาท
9.บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) SCC
มาร์เก็ตแคป 278,400 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -30.33%
ผลตอบแทนราคา YTD -24.18%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 229.00 บาท
10.บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) AWC
มาร์เก็ตแคป 113,298 ล้าบาท
ผลตอบแทนราคา 1 ปี -29.20%
ผลตอบแทนราคา YTD -0.56%
ราคาปิด 12 มิ.ย.67 ที่ 3.50 บาท
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ให้ข้อมูลกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นไทยช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างทำผลงานได้แย่เมื่อเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ โดยในอดีตหุ้นโลกจะมีความเคลื่อนไหวไปพร้อม ๆ กัน แต่ในช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ ได้เกิดปรากฎการณ์ Semiconductor ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ๆ เช่น เอ็นวีเดีย อัลฟาเบท หรือ แอปเปิ้ล เป็นหุ้นโลกใหม่ และลูกค้าที่ใช้บริการคือ ทั่วโลก และเมื่อเทียบกับหุ้นเก่า ๆ อย่าง แม็คโดนัล โคคาโคล่า หรือเชฟรอน ผลตอบแทนที่ผ่านมาไม่ได้ดีมาก ส่งให้หุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นมาตามกลุ่มหุ้นโลกใหม่ ๆ ตลาดก็มักจะให้ค่า
ขณะที่ในประเทศไทยไม่หุ้นกลุ่มเหล่านี้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการมองไว้ที่หุ้น DELTA HANA KCE ที่จะคล้าย ๆ กับหุ้นกลุ่มเหล่านั้น แต่สุดท้ายผลประกอบการไม่ได้ดีอย่างที่คิดกันไว้ ดังนั้นประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่ถูกลืมไปพักหนึ่ง และมาในปีนี้ช่วงไตรมาส 1/67 ไทยเองต้องมาประสบการภาวะเศรษฐกิจไทยตกลงมาเหลือแค่ 1.5%
นอกจากนี้อุตสาหกรรมในบ้านเรายังเป็นรูปแบบเก่า ๆ เช่น พลังงาน ค้าปลีก ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งไม่ใช่หุ้นโลกใหม่ๆ และมาประสบกับปัญหาการเมืองที่รอความชัดเจน โดยที่ผ่านมาตลาดค่อนข้างคาดหวังสูงมากเกี่ยวกับการลงทุนภาครัฐ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยแรงกดดันหลักมาจากการลงทุนภาครัฐที่ติดลบ ตลาดจึงมีความคาดหวังว่า เมื่อมีการเบิกจ่ายงบประมาณหลังจากนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น จึงตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงมาอย่างมีนัยยะสำคัญ
โดยหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ส่วนใหญ่มีการปรับตัวลงมาหมด สาเหตุมาจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจในความชัดเจน ขณะที่หุ้นใน SET50 บางตัวมีปัจจัยเฉพาะที่ทำให้ปรับตัวลดลงมา เช่น EA มีผลมาจากผลประกอบการที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก ส่วน BANPU ราคาปรับขึนลงมาตามราคาถ่านหิน
อย่างไรก็ตาม หากมองไปข้างหน้าในครึ่ีงปีหลังน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากตลาดมีการรับรู้เรื่องการเมืองมาพอสมควรแล้ว และคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นสามารถเดินหน้าต่อไปได้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะได้มีการออกมาช่วยอีกแรงหนึ่ง บวกกับนโยบายเฟดน่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงได้สัก 1 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะเป็นประเด็นหนุนให้กับตลาดหุ้นโลกและหุ้นไทยได้ ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงไฮซีซั่นในเรื่องของการบริโภค การท่องเที่ยว โดยนักลงทุนสามารถใช้โอกาสจังหวะนี้ในการเข้าเก็บทยอยสะสมในกลุ่ม Domestic Play
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยติดลบอยู่ที่ประมาณ 6% ถือว่า underperform เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่บวกอยู่ประมาณ 3% ตั้งแต่ต้นปี
ทั้งนี้สาเหตุมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่หายไปทั้งตัวเลขจีดีพีที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐค่อนข้างล่างช้า จึงทำให้ SET INDEX โดยภาพรวมยังค่อนข้าง underperform
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง หากประเด็นการเมืองไม่มากระทบกับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจถึงขั้นต้องหยุดชะงักไป ซึ่งงบประมาณที่เบิกจ่ายออกมาได้จะทำให้จีดีพีไตรมาส 2-3/67 ปรับตัวดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ดิจิทัลวอเล็ตจะมากระตุ้นได้ในช่วงปลายปีได้
ดังนั้นแนวโน้มช่วงที่เหลือของปีดัชนีหุ้นไทยน่าจะค่อย ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ตามการฟื้นต้วของเศรษฐกิจ แต่ระยะสั้นยังคงต้องรอผ่านเรื่องกาารเมืองไปก่อน โดยเฉพาะในเดือนมิ.ย.2567 น่าจะมีความชัดเจนในหลาย ๆ เรื่อง
“ปัจจุบันหุ้นเล็กหุ้นใหญ่ปรับตัวลงมาหมด เพราะว่าโฟลว์ไหลออก ทำให้หุ้นขนาดใหญ่โดยภาพรวมได้รับผลกระทบไปด้วย”
ในระยะสั้นแนะนำว่า ควรลงทุนในหุ้น Global play หุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการขึ้นกับลักษณะเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก พึ่งพิงสภาพเศรษฐกิจในประเทศน้อย หรือหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว จนกว่าการเมืองจะคลี่คลายและค่อยกลับมาลงทุนในหุ้น Domestic Play หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือ หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจในประเทศอีกครั้ง
โดย หุ้น Global play ที่น่าสนใจจะเป็นสินค้าเกษตร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายในประเทศ
Cr. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1131153