📖 มัทธิว 9:36 - 10:8
เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”
พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สิบสองคนเข้ามาพบประทานอำนาจให้เขาขับไล่ปีศาจ ให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด
อัครสาวกสิบสองคนมีนามดังนี้ คนแรกคือซีโมน ผู้มีสมญาว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดีกับยอห์นน้องชาย ฟีลิปและบาร์โธโลมิว โทมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัสและธัดเดอัส ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ทรยศต่อพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคนนี้ออกไป ทรงสั่งเขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทน ก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย
📖📖📖
1. พระเยซูเจ้าทรงสงสารประชาชน
คำ “สงสาร” ตรงกับคำกริยากรีก “σπλαγχνίζομαι (สพรากค์นีซอมาย - Splagchnizomai)” อันมีรากศัพท์เดียวกันกับคำนาม “σπλαγχνα (สพรากค์นา - Splagchna) ซึ่งหมายถึง “ตับไตไส้พุง”
“σπλαγχνίζομαι (สพรากค์นีซอมาย - Splagchnizomai)” จึงหมายถึง ความรู้สึกเมตตาสงสารที่ถูกขับเคลื่อนออกมาจากส่วนลึกที่สุด นั่นคือ ตับไตไส้พุงซึ่งอยู่ลึกกว่าหัวใจของเรามนุษย์เสียอีก
นอกจากในนิทานเปรียบเทียบเพียงบางเรื่องแล้ว พระคัมภีร์ไม่เคยใช้คำ“σπλαγχνίζομαι (สพรากค์นีซอมาย - Splagchnizomai)” กับบุคคลอื่นนอกจากกับพระเยซูเจ้าเท่านั้น
สาเหตุที่ทำให้พระองค์ทรงสงสารประชาชนจากก้นบึ้งแห่งอวัยวะภายในหรือก้นบึ้งแห่งหัวใจ ได้แก่
1. ความเจ็บป่วย
- “เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร และทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค” (มัทธิว 14:14)
- “พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ทรงสัมผัสนัยน์ตาของเขา ทันใดนั้น เขากลับมองเห็น และติดตามพระองค์ไป” (มัทธิว 20:34)
2. ความเศร้าโศกเสียใจ
- “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นนาง (หญิงม่ายที่เมืองนาอิน) ก็ทรงสงสารและตรัสกับนางว่า ‘อย่าร้องไห้ไปเลย’ แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ ทรงแตะแคร่หามศพ คนหามก็หยุด พระองค์จึงตรัสว่า ‘หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด’” (ลูกา 7:13-14)
3. ความหิว
- พระเยซูเจ้าทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสว่า “เราสงสารประชาชน เพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้ว และเวลานี้ไม่มีอะไรกิน เราไม่อยากให้เขากลับบ้านโดยไม่ได้กินอะไร เขาจะหมดแรงขณะเดินทาง” (มัทธิว 15:32)
4. ความโดดเดี่ยว
- คนโรคเรื้อนซึ่งถูกตัดขาดจากสังคมและต้องอยู่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยวเข้ามาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” (มาระโก 1:41)
5. ความท้อแท้
นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระเยซูเจ้าทรงสงสารประชาชนจากก้นบึ้งแห่งหัวใจในวันนี้ “เพราะเขาเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง” (มัทธิว9:36)
“เขาเหล่านั้น” คือ ประชาชนผู้ต้องการพระเจ้าและกำลังแสวงหาพระองค์อย่างสุดหัวใจ แต่บรรดาคัมภีราจารย์ ชาวฟารีสี ตลอดจนพวกสะดูสี ซึ่งล้วนเป็นเสาหลักของศาสนายิวในสมัยนั้น กลับไม่มีคำแนะนำหรือกำลังใจเพื่อให้เขาเหล่านั้นมีพลังต่อสู้กับปัญหาในชีวิตเลย
ตรงกันข้าม พวกเขากลับทำให้ประชาชนหลงทางและสับสนด้วยการออกกฎระเบียบหยุมหยิมมากมาย ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ประชาชนท้อแท้และสิ้นหวังอีกด้วย
จากตัวอย่างที่กล่าวมา เราสามารถสรุปแบบฟันธงได้ว่า “ไม่ว่าเราจะมีทุกข์อะไรทุกข์ของเราคือทุกข์ของพระเยซูเจ้า”!!!
2. ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย
นี่คือ มุมมองอันเปี่ยมด้วยความรักยิ่งของพระเยซูเจ้าที่ทรงมีต่อประชาชนคนบาปเช่นเรา พระองค์ทรงมองคนบาปเป็น “ข้าว” ที่จะต้องเก็บเกี่ยวและรักษาไว้ในยุ้งฉางให้ปลอดภัย อีกทั้งทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนก็เพื่อความรอดปลอดภัยของคนบาปเหล่านี้นี่เอง!
แต่พวกฟารีสีซึ่งถือตนว่าเป็นคนดีกลับมองต่างมุม พวกเขามองคนบาปเป็นเสมือน“ฟางข้าว” ที่จะต้องถูกเผาและทำลายให้สิ้นซากไปจากโลกนี้
ในเมื่อมี “ข้าว” จำนวนมากให้เก็บก็จำต้องมี “คนเก็บเกี่ยว” จำนวนมาก ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตรัสว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด” (มัทธิว 9:37) ซึ่งบ่งบอกพระประสงค์ได้ชัดเจนว่า “ทรงต้องการเราทุกคน” เพื่อเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์
ขณะที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ไม่เคยเสด็จออกนอกปาเลสไตน์ (Palestine - פלשתינה - فلسطين) เลย ข่าวดีของพระองค์จึงถูกจำกัดวงอยู่กับชาวยิวจำนวนไม่มากนัก ในขณะที่คนทั้งโลกต่างเฝ้าคอยข่าวดีนี้ด้วยจิตใจจดจ่อเช่นกัน
แล้วใครล่ะจะเป็นคนนำข่าวดีไปประกาศแก่พวกเขาหากไม่ใช่ “เรา”?!
ลำพังการบริจาคเงินหรือสวดภาวนาเพื่องานแพร่ธรรมคงไม่เป็นการเพียงพออีกต่อไป เพราะคำภาวนาที่ปราศจากกิจการเป็นคำภาวนาที่ตายแล้ว
ดังนั้น ถ้าจะต้อง “เก็บเกี่ยว” ข้าวในนาซึ่งมีอยู่ทั่วโลก เราทุกคนนั่นแหละต้องเป็น“คนเก็บเกี่ยว”
เว้นแต่เราจะมีความบกพร่องทางร่างกายหรือจิตใจเท่านั้น!
3. อัครสาวกสิบสองคน
มีข้อสังเกตสำคัญเกี่ยวกับอัครสาวกทั้งสิบสองคนที่พระเยซูเจ้าทรงเลือกสรร ดังนี้
1. ทุกคนล้วนเป็นสามัญชน พวกเขาไม่ได้ร่ำรวย ไม่มีการศึกษา ไม่มีฐานะในสังคมส่วนใหญ่เป็นเพียงชาวประมงพื้นบ้านธรรมดาๆ
เท่ากับว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้สนพระทัยพื้นฐานในอดีตของพวกเขา แต่ทรงมองการณ์ไกลว่าพวกเขาจะสามารถทำสิ่งใดได้บ้างภายใต้การนำทางและพระพรของพระองค์
เราจึงไม่ต้องวิตกกังวลว่า ตนด้อยความรู้ ด้อยความสามารถ เกรงว่าจะช่วยงานพระองค์ไม่ได้ เพราะพระองค์สามารถใช้ทุกสิ่งที่เรามอบถวายแด่พระองค์ เพื่อความยิ่งใหญ่ของพระอาณาจักรของพระเจ้าได้
2. แต่ละคนมีพื้นฐานแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นกรณีของมัทธิวและซีโมน
มัทธิวมีอาชีพเก็บภาษีให้กษัตริย์เฮโรด อันตีพาส ผู้ได้รับการแต่งตั้งโดยโรมและถือว่าเป็นคนของโรม มัทธิวจึงถูกชาวยิวตราหน้าว่าเป็นคนทรยศขายชาติ ส่วนซีโมนได้รับสมญาว่า “ผู้รักชาติ” (ลูกา 6:16) และเป็นสมาชิกของกลุ่ม “ชาตินิยม” สุดโต่ง
โยเซฟุสบันทึกไว้ว่าพวก “ชาตินิยม” ถือเป็นหนึ่งในสี่กลุ่มใหญ่ๆ ของชาวยิว อีก 3 กลุ่ม คือ พวกฟารีสี (Pharisees - פְּרוּשִׁים) , สะดูสี (Sudducees - צְדוּקִים) และเอสซีน (Essenes - אִסִּיִים)
กลุ่มชาตินิยมนับถือพระเจ้าเป็นกษัตริย์เหนือหัวเพียงพระองค์เดียว พวกเขาไม่ยอมให้มนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้นมาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเขา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมุ่งมั่นจะปลดแอกปาเลสไตน์ (Palestine - פלשתינה - فلسطين) จากการเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน โดยพร้อมจะพลีชีพหรือทำทุกสิ่งแม้แต่สังหารคนที่ตนรักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
แน่นอนว่า ถ้าซีโมนพบมัทธิวก่อนเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า เขาคงเอามีดปักอกหรือเสียบพุงมัทธิวเรียบร้อยไปแล้ว
และนี่คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ศัตรูคู่อาฆาตสามารถรักกันได้ เมื่อต่างฝ่ายต่างรักพระเยซูเจ้า!!
เพราะฉะนั้น หากพระสงฆ์ นักบวช หรือสัตบุรุษไม่สามารถรักกันได้ ต่างฝ่ายต่างต้องหันมาถามตัวเองแล้วว่าเรา “รักพระเยซูเจ้าจริง”...
หรือเพียงใช้พระองค์เป็นเครื่องมือหรือข้ออ้างของเราเองเท่านั้น?
4. สุดยอดผู้บัญชาการ
ก่อนส่งบรรดาอัครสาวกออกไปประกาศข่าวดี พระเยซูเจ้าตรัส “สั่ง” พวกเขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน” (มัทธิว 10:5-6)
คำว่า “สั่ง” ตรงกับ “παραγγέλλω (พารอังเยลโล - Paraggello)” ซึ่งชาวกรีกใช้ใน4 โอกาสด้วยกัน คือ
1. “ทหารสั่งการ” พระเยซูเจ้าจึงเป็นเสมือนแม่ทัพที่กำลังสรุปภารกิจก่อนส่งบรรดาขุนพลออกไปปฏิบัติภารกิจ
2. “เรียกเพื่อนมาช่วย” พระองค์เป็นเสมือนผู้เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ และกำลังเรียกเพื่อนคืออัครสาวกและเราทุกคนมาช่วยกันทำให้วิสัยทัศน์นั้นเป็นจริง
3. “สั่งสอนศิษย์” พระองค์เป็นครูที่กำลังอบรมบ่มเพาะศิษย์ให้พร้อมออกไปเผชิญหน้ากับโลก
4. “คำสั่งของจักรพรรดิ” พระองค์เปรียบเสมือนกษัตริย์ที่กำลังส่งทูตออกไปประกาศข่าวดีและคำสั่งสอนของพระองค์แก่ชาวโลก
การใช้คำ “παραγγέλλω (พารอังเยลโล - Paraggello)” จึงบ่งบอกว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็น “ผู้บัญชาการ” ที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เพราะพระองค์ทรงเป็นทั้งกษัตริย์แม่ทัพ ครู และเพื่อนของผู้ใต้บังคับบัญชา
เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อได้อ่านเนื้อหาของคำสั่งที่ทรงห้ามอัครสาวกไปหาคนต่างชาติแล้ว เราต้องยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นนักวางแผนชั้นยอดจริงๆ
บางคนอาจแย้งว่า คำสั่งนี้แสดงถึงความคับแคบทางจิตใจของพระองค์ แต่เราต้องไม่ลืมว่านี่เป็นคำสั่งเฉพาะกิจที่เหมาะสมกับสถานการณ์หนึ่งๆเท่านั้น ส่วนคำสั่งถาวรคือ “ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา” (มัทธิว 28:19)
สถานการณ์ที่ทำให้พระองค์ทรง “สั่ง” เช่นนี้ คือ
1. พระองค์ทรงยอมรับว่าชาวยิวมี “สถานภาพพิเศษ” ในแผนการแห่งความรอด พวกเขารอคอยพระเมสสิยาห์มาเป็นเวลานานแล้ว จึงควรได้รับโอกาสก่อนชนชาติอื่น
2. บรรดาอัครสาวกยังขาดความพร้อม พวกเขาไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของคนต่างชาติ ไม่รู้เทคนิคการสื่อสารกับคนต่างชาติ หากส่งพวกเขาไปหาคนต่างชาติในขณะนี้โอกาสสำเร็จย่อมริบหรี่เต็มที ต้องรอจนมีคนที่พร้อมดังเช่นนักบุญเปาโลนั่นแหละข่าวดีจึงจะเผยแพร่ไปสู่คนต่างชาติอย่างได้ผล
เราจึงควรเลียนแบบอย่างความรอบคอบของพระเยซูเจ้า ด้วยการตระหนักถึงข้อจำกัดของเราเอง และพยายามมองให้ออกว่าเรา “เหมาะ” หรือ “ไม่เหมาะ” ที่จะทำสิ่งใด
3. เหตุผลหลักของพระองค์คือเรื่องอัตรากำลัง เมื่อมีกำลังคนน้อย พระองค์จำเป็นต้องลดขอบเขตของภารกิจลงมาให้จำกัดวงอยู่ภายในแคว้นกาลิลีก่อน แล้วค่อยขยายวงออกไปเรื่อยๆ จนครอบคลุมชนทุกชาติ ทุกภาษาในที่สุด
ในเมื่อพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้บัญชาการผู้ปราดเปรื่อง ทรงอำนาจ และเป็นมิตรกับผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ เราไม่คิดจะมอบชีวิตของเราไว้ภายใต้การบัญชาการของพระองค์ดอกหรือ?!
5. ทั้งพูดทั้งทำ
เมื่อจำกัดเป้าหมายของภารกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์แล้ว พระเยซูเจ้าทรงกำหนดเนื้อหาของภารกิจรวม 2 ด้านด้วยกัน กล่าวคือ
1. “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว” (มัทธิว 10:7)
จากบทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย เราทราบว่า อาณาจักรสวรรค์คือสังคมบนโลกนี้ที่พระประสงค์ของพระเจ้าได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์เหมือนในสวรรค์และผู้เดียวในโลกนี้ที่สามารถปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ก็คือพระเยซูเจ้า
เพราะฉะนั้น พระเยซูเจ้านั่นเองทรงเป็นอาณาจักรสวรรค์ และมนุษย์สามารถพบอาณาจักรสวรรค์ในโลกนี้ได้ก็โดยการคิดเหมือนพระองค์ ปรารถนาเหมือนพระองค์และดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์
ดังนั้น ข่าวดีที่เราทุกคนต้องพูดและต้องประกาศก็คือ “อาณาจักรสวรรค์มาถึงโลกนี้แล้ว อย่ามัวรีรอจนถึงโลกหน้าอีกเลย”
อธิบายพระคัมภีร์ มัทธิว 9:36 - 10:8 ความทุกข์ของประชาชน & พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคน
📖 มัทธิว 9:36 - 10:8
เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”
พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สิบสองคนเข้ามาพบประทานอำนาจให้เขาขับไล่ปีศาจ ให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด
อัครสาวกสิบสองคนมีนามดังนี้ คนแรกคือซีโมน ผู้มีสมญาว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดีกับยอห์นน้องชาย ฟีลิปและบาร์โธโลมิว โทมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัสและธัดเดอัส ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ทรยศต่อพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคนนี้ออกไป ทรงสั่งเขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทน ก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย
📖📖📖
1. พระเยซูเจ้าทรงสงสารประชาชน
คำ “สงสาร” ตรงกับคำกริยากรีก “σπλαγχνίζομαι (สพรากค์นีซอมาย - Splagchnizomai)” อันมีรากศัพท์เดียวกันกับคำนาม “σπλαγχνα (สพรากค์นา - Splagchna) ซึ่งหมายถึง “ตับไตไส้พุง”
“σπλαγχνίζομαι (สพรากค์นีซอมาย - Splagchnizomai)” จึงหมายถึง ความรู้สึกเมตตาสงสารที่ถูกขับเคลื่อนออกมาจากส่วนลึกที่สุด นั่นคือ ตับไตไส้พุงซึ่งอยู่ลึกกว่าหัวใจของเรามนุษย์เสียอีก
นอกจากในนิทานเปรียบเทียบเพียงบางเรื่องแล้ว พระคัมภีร์ไม่เคยใช้คำ“σπλαγχνίζομαι (สพรากค์นีซอมาย - Splagchnizomai)” กับบุคคลอื่นนอกจากกับพระเยซูเจ้าเท่านั้น
สาเหตุที่ทำให้พระองค์ทรงสงสารประชาชนจากก้นบึ้งแห่งอวัยวะภายในหรือก้นบึ้งแห่งหัวใจ ได้แก่
1. ความเจ็บป่วย
- “เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร และทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค” (มัทธิว 14:14)
- “พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ทรงสัมผัสนัยน์ตาของเขา ทันใดนั้น เขากลับมองเห็น และติดตามพระองค์ไป” (มัทธิว 20:34)
2. ความเศร้าโศกเสียใจ
- “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นนาง (หญิงม่ายที่เมืองนาอิน) ก็ทรงสงสารและตรัสกับนางว่า ‘อย่าร้องไห้ไปเลย’ แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ ทรงแตะแคร่หามศพ คนหามก็หยุด พระองค์จึงตรัสว่า ‘หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด’” (ลูกา 7:13-14)
3. ความหิว
- พระเยซูเจ้าทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสว่า “เราสงสารประชาชน เพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้ว และเวลานี้ไม่มีอะไรกิน เราไม่อยากให้เขากลับบ้านโดยไม่ได้กินอะไร เขาจะหมดแรงขณะเดินทาง” (มัทธิว 15:32)
4. ความโดดเดี่ยว
- คนโรคเรื้อนซึ่งถูกตัดขาดจากสังคมและต้องอยู่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยวเข้ามาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” (มาระโก 1:41)
5. ความท้อแท้
นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระเยซูเจ้าทรงสงสารประชาชนจากก้นบึ้งแห่งหัวใจในวันนี้ “เพราะเขาเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง” (มัทธิว9:36)
“เขาเหล่านั้น” คือ ประชาชนผู้ต้องการพระเจ้าและกำลังแสวงหาพระองค์อย่างสุดหัวใจ แต่บรรดาคัมภีราจารย์ ชาวฟารีสี ตลอดจนพวกสะดูสี ซึ่งล้วนเป็นเสาหลักของศาสนายิวในสมัยนั้น กลับไม่มีคำแนะนำหรือกำลังใจเพื่อให้เขาเหล่านั้นมีพลังต่อสู้กับปัญหาในชีวิตเลย
ตรงกันข้าม พวกเขากลับทำให้ประชาชนหลงทางและสับสนด้วยการออกกฎระเบียบหยุมหยิมมากมาย ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ประชาชนท้อแท้และสิ้นหวังอีกด้วย
จากตัวอย่างที่กล่าวมา เราสามารถสรุปแบบฟันธงได้ว่า “ไม่ว่าเราจะมีทุกข์อะไรทุกข์ของเราคือทุกข์ของพระเยซูเจ้า”!!!
2. ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย
นี่คือ มุมมองอันเปี่ยมด้วยความรักยิ่งของพระเยซูเจ้าที่ทรงมีต่อประชาชนคนบาปเช่นเรา พระองค์ทรงมองคนบาปเป็น “ข้าว” ที่จะต้องเก็บเกี่ยวและรักษาไว้ในยุ้งฉางให้ปลอดภัย อีกทั้งทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนก็เพื่อความรอดปลอดภัยของคนบาปเหล่านี้นี่เอง!
แต่พวกฟารีสีซึ่งถือตนว่าเป็นคนดีกลับมองต่างมุม พวกเขามองคนบาปเป็นเสมือน“ฟางข้าว” ที่จะต้องถูกเผาและทำลายให้สิ้นซากไปจากโลกนี้
ในเมื่อมี “ข้าว” จำนวนมากให้เก็บก็จำต้องมี “คนเก็บเกี่ยว” จำนวนมาก ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตรัสว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด” (มัทธิว 9:37) ซึ่งบ่งบอกพระประสงค์ได้ชัดเจนว่า “ทรงต้องการเราทุกคน” เพื่อเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์
ขณะที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ไม่เคยเสด็จออกนอกปาเลสไตน์ (Palestine - פלשתינה - فلسطين) เลย ข่าวดีของพระองค์จึงถูกจำกัดวงอยู่กับชาวยิวจำนวนไม่มากนัก ในขณะที่คนทั้งโลกต่างเฝ้าคอยข่าวดีนี้ด้วยจิตใจจดจ่อเช่นกัน
แล้วใครล่ะจะเป็นคนนำข่าวดีไปประกาศแก่พวกเขาหากไม่ใช่ “เรา”?!
ลำพังการบริจาคเงินหรือสวดภาวนาเพื่องานแพร่ธรรมคงไม่เป็นการเพียงพออีกต่อไป เพราะคำภาวนาที่ปราศจากกิจการเป็นคำภาวนาที่ตายแล้ว
ดังนั้น ถ้าจะต้อง “เก็บเกี่ยว” ข้าวในนาซึ่งมีอยู่ทั่วโลก เราทุกคนนั่นแหละต้องเป็น“คนเก็บเกี่ยว”
เว้นแต่เราจะมีความบกพร่องทางร่างกายหรือจิตใจเท่านั้น!
3. อัครสาวกสิบสองคน
มีข้อสังเกตสำคัญเกี่ยวกับอัครสาวกทั้งสิบสองคนที่พระเยซูเจ้าทรงเลือกสรร ดังนี้
1. ทุกคนล้วนเป็นสามัญชน พวกเขาไม่ได้ร่ำรวย ไม่มีการศึกษา ไม่มีฐานะในสังคมส่วนใหญ่เป็นเพียงชาวประมงพื้นบ้านธรรมดาๆ
เท่ากับว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้สนพระทัยพื้นฐานในอดีตของพวกเขา แต่ทรงมองการณ์ไกลว่าพวกเขาจะสามารถทำสิ่งใดได้บ้างภายใต้การนำทางและพระพรของพระองค์
เราจึงไม่ต้องวิตกกังวลว่า ตนด้อยความรู้ ด้อยความสามารถ เกรงว่าจะช่วยงานพระองค์ไม่ได้ เพราะพระองค์สามารถใช้ทุกสิ่งที่เรามอบถวายแด่พระองค์ เพื่อความยิ่งใหญ่ของพระอาณาจักรของพระเจ้าได้
2. แต่ละคนมีพื้นฐานแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นกรณีของมัทธิวและซีโมน
มัทธิวมีอาชีพเก็บภาษีให้กษัตริย์เฮโรด อันตีพาส ผู้ได้รับการแต่งตั้งโดยโรมและถือว่าเป็นคนของโรม มัทธิวจึงถูกชาวยิวตราหน้าว่าเป็นคนทรยศขายชาติ ส่วนซีโมนได้รับสมญาว่า “ผู้รักชาติ” (ลูกา 6:16) และเป็นสมาชิกของกลุ่ม “ชาตินิยม” สุดโต่ง
โยเซฟุสบันทึกไว้ว่าพวก “ชาตินิยม” ถือเป็นหนึ่งในสี่กลุ่มใหญ่ๆ ของชาวยิว อีก 3 กลุ่ม คือ พวกฟารีสี (Pharisees - פְּרוּשִׁים) , สะดูสี (Sudducees - צְדוּקִים) และเอสซีน (Essenes - אִסִּיִים)
กลุ่มชาตินิยมนับถือพระเจ้าเป็นกษัตริย์เหนือหัวเพียงพระองค์เดียว พวกเขาไม่ยอมให้มนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้นมาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเขา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมุ่งมั่นจะปลดแอกปาเลสไตน์ (Palestine - פלשתינה - فلسطين) จากการเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน โดยพร้อมจะพลีชีพหรือทำทุกสิ่งแม้แต่สังหารคนที่ตนรักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
แน่นอนว่า ถ้าซีโมนพบมัทธิวก่อนเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า เขาคงเอามีดปักอกหรือเสียบพุงมัทธิวเรียบร้อยไปแล้ว
และนี่คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ศัตรูคู่อาฆาตสามารถรักกันได้ เมื่อต่างฝ่ายต่างรักพระเยซูเจ้า!!
เพราะฉะนั้น หากพระสงฆ์ นักบวช หรือสัตบุรุษไม่สามารถรักกันได้ ต่างฝ่ายต่างต้องหันมาถามตัวเองแล้วว่าเรา “รักพระเยซูเจ้าจริง”...
หรือเพียงใช้พระองค์เป็นเครื่องมือหรือข้ออ้างของเราเองเท่านั้น?
4. สุดยอดผู้บัญชาการ
ก่อนส่งบรรดาอัครสาวกออกไปประกาศข่าวดี พระเยซูเจ้าตรัส “สั่ง” พวกเขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน” (มัทธิว 10:5-6)
คำว่า “สั่ง” ตรงกับ “παραγγέλλω (พารอังเยลโล - Paraggello)” ซึ่งชาวกรีกใช้ใน4 โอกาสด้วยกัน คือ
1. “ทหารสั่งการ” พระเยซูเจ้าจึงเป็นเสมือนแม่ทัพที่กำลังสรุปภารกิจก่อนส่งบรรดาขุนพลออกไปปฏิบัติภารกิจ
2. “เรียกเพื่อนมาช่วย” พระองค์เป็นเสมือนผู้เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ และกำลังเรียกเพื่อนคืออัครสาวกและเราทุกคนมาช่วยกันทำให้วิสัยทัศน์นั้นเป็นจริง
3. “สั่งสอนศิษย์” พระองค์เป็นครูที่กำลังอบรมบ่มเพาะศิษย์ให้พร้อมออกไปเผชิญหน้ากับโลก
4. “คำสั่งของจักรพรรดิ” พระองค์เปรียบเสมือนกษัตริย์ที่กำลังส่งทูตออกไปประกาศข่าวดีและคำสั่งสอนของพระองค์แก่ชาวโลก
การใช้คำ “παραγγέλλω (พารอังเยลโล - Paraggello)” จึงบ่งบอกว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็น “ผู้บัญชาการ” ที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เพราะพระองค์ทรงเป็นทั้งกษัตริย์แม่ทัพ ครู และเพื่อนของผู้ใต้บังคับบัญชา
เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อได้อ่านเนื้อหาของคำสั่งที่ทรงห้ามอัครสาวกไปหาคนต่างชาติแล้ว เราต้องยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นนักวางแผนชั้นยอดจริงๆ
บางคนอาจแย้งว่า คำสั่งนี้แสดงถึงความคับแคบทางจิตใจของพระองค์ แต่เราต้องไม่ลืมว่านี่เป็นคำสั่งเฉพาะกิจที่เหมาะสมกับสถานการณ์หนึ่งๆเท่านั้น ส่วนคำสั่งถาวรคือ “ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา” (มัทธิว 28:19)
สถานการณ์ที่ทำให้พระองค์ทรง “สั่ง” เช่นนี้ คือ
1. พระองค์ทรงยอมรับว่าชาวยิวมี “สถานภาพพิเศษ” ในแผนการแห่งความรอด พวกเขารอคอยพระเมสสิยาห์มาเป็นเวลานานแล้ว จึงควรได้รับโอกาสก่อนชนชาติอื่น
2. บรรดาอัครสาวกยังขาดความพร้อม พวกเขาไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของคนต่างชาติ ไม่รู้เทคนิคการสื่อสารกับคนต่างชาติ หากส่งพวกเขาไปหาคนต่างชาติในขณะนี้โอกาสสำเร็จย่อมริบหรี่เต็มที ต้องรอจนมีคนที่พร้อมดังเช่นนักบุญเปาโลนั่นแหละข่าวดีจึงจะเผยแพร่ไปสู่คนต่างชาติอย่างได้ผล
เราจึงควรเลียนแบบอย่างความรอบคอบของพระเยซูเจ้า ด้วยการตระหนักถึงข้อจำกัดของเราเอง และพยายามมองให้ออกว่าเรา “เหมาะ” หรือ “ไม่เหมาะ” ที่จะทำสิ่งใด
3. เหตุผลหลักของพระองค์คือเรื่องอัตรากำลัง เมื่อมีกำลังคนน้อย พระองค์จำเป็นต้องลดขอบเขตของภารกิจลงมาให้จำกัดวงอยู่ภายในแคว้นกาลิลีก่อน แล้วค่อยขยายวงออกไปเรื่อยๆ จนครอบคลุมชนทุกชาติ ทุกภาษาในที่สุด
ในเมื่อพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้บัญชาการผู้ปราดเปรื่อง ทรงอำนาจ และเป็นมิตรกับผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ เราไม่คิดจะมอบชีวิตของเราไว้ภายใต้การบัญชาการของพระองค์ดอกหรือ?!
5. ทั้งพูดทั้งทำ
เมื่อจำกัดเป้าหมายของภารกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์แล้ว พระเยซูเจ้าทรงกำหนดเนื้อหาของภารกิจรวม 2 ด้านด้วยกัน กล่าวคือ
1. “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว” (มัทธิว 10:7)
จากบทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย เราทราบว่า อาณาจักรสวรรค์คือสังคมบนโลกนี้ที่พระประสงค์ของพระเจ้าได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์เหมือนในสวรรค์และผู้เดียวในโลกนี้ที่สามารถปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ก็คือพระเยซูเจ้า
เพราะฉะนั้น พระเยซูเจ้านั่นเองทรงเป็นอาณาจักรสวรรค์ และมนุษย์สามารถพบอาณาจักรสวรรค์ในโลกนี้ได้ก็โดยการคิดเหมือนพระองค์ ปรารถนาเหมือนพระองค์และดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์
ดังนั้น ข่าวดีที่เราทุกคนต้องพูดและต้องประกาศก็คือ “อาณาจักรสวรรค์มาถึงโลกนี้แล้ว อย่ามัวรีรอจนถึงโลกหน้าอีกเลย”