คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 15
ถาม : การพิจารณาเวทนาทำอย่างไรครับ?
หลวงพ่อตั๋น : ถ้ามีเวทนาทางกายก็พิจารณากาย มันจะต่อเนื่องไปตั้งแต่โสดาฯ สกิทาคาฯ มันต้องพิจารณาเรื่องของเวทนาทางกาย แต่ว่าถ้ามีเวทนาทางจิต ความยินดียินร้าย ความพอใจไม่พอใจ ความเฉยๆ เราก็พิจารณาอารมณ์ไปในใจเรา มันก็พิจารณาควบคู่กันไป
ถาม : แนวทางของท่านอาจารย์จะเน้นกายเวทนาในจุดตั้งต้นใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อตั๋น : ใช่ ถ้าเราพิจารณากาย แล้วมีเวทนาก็พิจารณาเวทนา แยกจิตออกจากกาย แยกจิตออกจากเวทนา ให้มันเห็นกายว่าสักแต่ว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติส่วนหนึ่ง ว่าจิตนี้ก็ไม่ใช่กายนี้ กายนี้ก็ไม่ใช่จิตนี้ แล้วเวทนาทางกายก็สักแต่ว่าเป็นอาการเกิดขึ้นแล้วดับไป เวทนานี้ก็ไม่ใช่จิต จิตนี้ก็ไม่ใช่เวทนา เป็นคนละส่วนกัน สอนให้พิจารณาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นจริงๆสติปัฏฐาน ๔ ไม่ต้องไปไล่หรอก ภาวนาไปก็เห็นเอง เอาสติมาพิจารณากายในกาย ก็เป็นพิจารณากายในกาย เอาสติมาพิจารณาเวทนา ก็เป็นเวทนาในเวทนา เอาสติมาพิจารณาจิต ก็เป็นจิตในจิต เอาสติมาพิจารณาธรรมก็เป็นธรรมในธรรม มันอยู่ในเรื่องนี้หมด
จริงๆแล้วเราต้องดูว่า ถ้ากิเลสอะไรเกิดก่อนเราก็พิจารณาตรงนั้น เกิดความโลภเกิดขึ้น เราจะไปพิจารณาความโกรธได้ไง ก็เรามีความโลภเราก็พิจารณาความโลภ เราพิจารณาความโกรธความไม่พอใจเกิดขึ้น เราจะพิจารณาแก้ความโลภเหรอ ก็ไม่ต้อง ถ้ามันเกิดอารมณ์อะไรก่อน เราก็พิจารณาตรงนั้นล่ะ อยู่ในปัจจุบันนั่นแหละ เพราะกิเลสมันเกิดในปัจจุบัน มันไม่ได้เกิดขึ้นในอดีตหรอก อดีตมันผ่านไปแล้ว ปัจจุบันเนี่ยกิเลสมันเกิดในปัจจุบัน แต่ว่าถ้าเวลาล่วงไปแล้ว สิ่งที่ผ่านไปคืออดีต อนาคตยังไม่ถึงกิเลสยังไม่เกิดหรอก มันเกิดในจิตปัจจุบันเนี่ย เพราะฉะนั้นที่สำคัญคือ ให้ดูในปัจจุบัน ให้แก้กิเลสในปัจจุบัน
ถาม : ผมเคยใช้การดูเวทนาทางกายทางใจไปด้วย พอดูเวทนาไป ก็สังเกตว่า เมื่อเรามีกำลังสติไม่เพียงพอ เหมือนการดูนั้นไม่ค่อยมีกำลัง แล้วบางทีก็รู้สึกเหมือนว่าจิตหดตัวมาเป็นสมถะ ลักษณะนี้เป็นไปได้ไหมครับ?
หลวงพ่อตั๋น : ยาก น้อย นอกจากฟลุ๊ค คือสติถ้าเราไม่เสริมด้วยสมถะด้วยความสงบนะ สติมันจะอ่อน เพราะสติมันส่งออก จิตมันส่งออกไปกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ปรุงแต่งกับเรื่องหน้าที่การงานเรื่องครอบครัว เรื่องการพูดคุย มันส่งออกไปหมด กระแสของจิตมันส่งออกไป สติมันจะอ่อนเรื่อยๆ เหมือนแบตเตอรี่ใช้ไปมันก็อ่อน จะเป็นโทรศัพท์ก็แล้วแต่ ใช้บ่อยๆมันก็อ่อนๆ ถ้าเราไม่ชาร์จเข้ามันก็หมด สติเราเหมือนกัน เราจะมาดูจิตอย่างเดียวดูไปเรื่อยๆทั้งวัน พรุ่งนี้มาดูใหม่ อีกอาทิตย์มาดูใหม่ ดูไปอย่างนี้จากอาทิตย์เป็นเดือน ไม่ทำสมาธินะ อ่อน แบตอ่อน ไม่มีกำลังสติที่ตั้งมั่น มันไม่รู้เท่าทันอารมณ์ บางครั้ง อาจจะเห็นชัดเป็นช่วง แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยชัด จิตกับอารมณ์จะเป็นอันเดียวกัน แยกจากกันไม่ออก แล้วมันจะหลงอารมณ์
พระราชพัชรมานิต(หลวงพ่อตั๋น ถิรจิตโต)
วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
คักลอกจาก หนังสือถามตอบปัญหาธรรม เล่ม ๑
หลวงพ่อตั๋น : ถ้ามีเวทนาทางกายก็พิจารณากาย มันจะต่อเนื่องไปตั้งแต่โสดาฯ สกิทาคาฯ มันต้องพิจารณาเรื่องของเวทนาทางกาย แต่ว่าถ้ามีเวทนาทางจิต ความยินดียินร้าย ความพอใจไม่พอใจ ความเฉยๆ เราก็พิจารณาอารมณ์ไปในใจเรา มันก็พิจารณาควบคู่กันไป
ถาม : แนวทางของท่านอาจารย์จะเน้นกายเวทนาในจุดตั้งต้นใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อตั๋น : ใช่ ถ้าเราพิจารณากาย แล้วมีเวทนาก็พิจารณาเวทนา แยกจิตออกจากกาย แยกจิตออกจากเวทนา ให้มันเห็นกายว่าสักแต่ว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติส่วนหนึ่ง ว่าจิตนี้ก็ไม่ใช่กายนี้ กายนี้ก็ไม่ใช่จิตนี้ แล้วเวทนาทางกายก็สักแต่ว่าเป็นอาการเกิดขึ้นแล้วดับไป เวทนานี้ก็ไม่ใช่จิต จิตนี้ก็ไม่ใช่เวทนา เป็นคนละส่วนกัน สอนให้พิจารณาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นจริงๆสติปัฏฐาน ๔ ไม่ต้องไปไล่หรอก ภาวนาไปก็เห็นเอง เอาสติมาพิจารณากายในกาย ก็เป็นพิจารณากายในกาย เอาสติมาพิจารณาเวทนา ก็เป็นเวทนาในเวทนา เอาสติมาพิจารณาจิต ก็เป็นจิตในจิต เอาสติมาพิจารณาธรรมก็เป็นธรรมในธรรม มันอยู่ในเรื่องนี้หมด
จริงๆแล้วเราต้องดูว่า ถ้ากิเลสอะไรเกิดก่อนเราก็พิจารณาตรงนั้น เกิดความโลภเกิดขึ้น เราจะไปพิจารณาความโกรธได้ไง ก็เรามีความโลภเราก็พิจารณาความโลภ เราพิจารณาความโกรธความไม่พอใจเกิดขึ้น เราจะพิจารณาแก้ความโลภเหรอ ก็ไม่ต้อง ถ้ามันเกิดอารมณ์อะไรก่อน เราก็พิจารณาตรงนั้นล่ะ อยู่ในปัจจุบันนั่นแหละ เพราะกิเลสมันเกิดในปัจจุบัน มันไม่ได้เกิดขึ้นในอดีตหรอก อดีตมันผ่านไปแล้ว ปัจจุบันเนี่ยกิเลสมันเกิดในปัจจุบัน แต่ว่าถ้าเวลาล่วงไปแล้ว สิ่งที่ผ่านไปคืออดีต อนาคตยังไม่ถึงกิเลสยังไม่เกิดหรอก มันเกิดในจิตปัจจุบันเนี่ย เพราะฉะนั้นที่สำคัญคือ ให้ดูในปัจจุบัน ให้แก้กิเลสในปัจจุบัน
ถาม : ผมเคยใช้การดูเวทนาทางกายทางใจไปด้วย พอดูเวทนาไป ก็สังเกตว่า เมื่อเรามีกำลังสติไม่เพียงพอ เหมือนการดูนั้นไม่ค่อยมีกำลัง แล้วบางทีก็รู้สึกเหมือนว่าจิตหดตัวมาเป็นสมถะ ลักษณะนี้เป็นไปได้ไหมครับ?
หลวงพ่อตั๋น : ยาก น้อย นอกจากฟลุ๊ค คือสติถ้าเราไม่เสริมด้วยสมถะด้วยความสงบนะ สติมันจะอ่อน เพราะสติมันส่งออก จิตมันส่งออกไปกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ปรุงแต่งกับเรื่องหน้าที่การงานเรื่องครอบครัว เรื่องการพูดคุย มันส่งออกไปหมด กระแสของจิตมันส่งออกไป สติมันจะอ่อนเรื่อยๆ เหมือนแบตเตอรี่ใช้ไปมันก็อ่อน จะเป็นโทรศัพท์ก็แล้วแต่ ใช้บ่อยๆมันก็อ่อนๆ ถ้าเราไม่ชาร์จเข้ามันก็หมด สติเราเหมือนกัน เราจะมาดูจิตอย่างเดียวดูไปเรื่อยๆทั้งวัน พรุ่งนี้มาดูใหม่ อีกอาทิตย์มาดูใหม่ ดูไปอย่างนี้จากอาทิตย์เป็นเดือน ไม่ทำสมาธินะ อ่อน แบตอ่อน ไม่มีกำลังสติที่ตั้งมั่น มันไม่รู้เท่าทันอารมณ์ บางครั้ง อาจจะเห็นชัดเป็นช่วง แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยชัด จิตกับอารมณ์จะเป็นอันเดียวกัน แยกจากกันไม่ออก แล้วมันจะหลงอารมณ์
พระราชพัชรมานิต(หลวงพ่อตั๋น ถิรจิตโต)
วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
คักลอกจาก หนังสือถามตอบปัญหาธรรม เล่ม ๑
แสดงความคิดเห็น
มีใครนั่งสมาธิได้ 6 ชั่วโมง + บ้าง
หรือไม่ต้องรอให้ได้ฌาน แต่นั่งไปก่อนเลย 6 ชั่วโมง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อะไรเลย แบบพ่อแม่ครูอาจารย์บางองค์ฝึกกัน
ขอถามจากประสบการณ์ หรือ ใครที่รู้มาว่ามีคนฝึกแบบนี้อยู่
ไม่เอาแบบมาด้อยค่าคนทำสมาธินะ
เห็นในยูทูปมีคนทำได้อยู่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้