ภาพเขียนสีน้ำมันโดย John Trumbull ศิลปินในยุคสงครามปฏิวัติอเมริกา แสดงเหตุการณ์การเสนอร่างคำประกาศอิสรภาพต่อที่ประชุมสภาแห่งภาคพื้นทวีปของคณะกรรมการ 5 คน ประกอบด้วย จอห์น อดัมส์ ตัวแทนจากแมสซาชูเซตส์, โธมัส เจฟเฟอร์สัน ตัวแทนจากเวอร์จิเนีย,
เบนจามิน แฟรงคลิน ตัวแทนจากเพนน์ซิลวาเนีย, โรเจอร์ เชอร์แมน ตัวแทนจากคอนเนคติกัต และโรเบิร์ต ลิฟวิงส์ตัน ตัวแทนจากนิวยอร์ก
(เป็นเหตุการณ์ในวันที่ 28 มิถุนายน 1776 ไม่ใช่วันลงนามประกาศอิสรภาพ)
4 กรกฎาคม 1776 : สภาแห่งฟิลาเดลเฟียประกาศ “อิสรภาพ” ปลดแอกจากอังกฤษ
วันประกาศอิสรภาพ หรือวันที่ 4 กรกฎาคม เป็นวันฉลองประจำปีเพื่อรำลึกถึงการก่อตั้งประเทศของสหรัฐอเมริกา อดีตอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งถือเอาเหตุการณ์ที่สภาแห่งภาคพื้นทวีป (Continental Congress) หรือสภาแห่งฟิลาเดลเฟียออกประกาศอิสรภาพอย่างเป็นทางการ
สภาแห่งภาคพื้นทวีป คือที่ประชุมตัวแทนรัฐอาณานิคม 13 รัฐของอังกฤษในทวีปอเมริกา ซึ่งกลายมาเป็นสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน เหตุของการรวมตัวของสมาชิกอาณานิคมรัฐต่างๆ เนื่องมาจากความไม่พอใจการใช้อำนาจขูดรีดของเจ้าอาณานิคม โดยหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของการต่อต้านอังกฤษคือการประท้วงในบอสตันเมื่อราวสองร้อยปีก่อน
เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 1773 (พ.ศ. 2316) เมื่อชาวอเมริกันที่ไม่พอใจอังกฤษได้ปลอมตัวเป็นชาวอินเดียแดงเผ่าโมฮอว์กบุกขึ้นเรือที่เทียบท่าที่บอสตันและโยนหีบบรรจุชา 342 หีบของบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) ของอังกฤษทิ้งทะเล เพื่อเป็นการประท้วงการเก็บภาษีชา ซึ่งชาวอเมริกันอ้างว่าเป็น “การเก็บภาษีโดยไม่มีตัวแทน” (เนื่องจากการออกกฎหมายของรัฐสภาบริเตนเพื่อบังคับใช้ในดินแดนอาณานิคมนั้นไม่มีตัวแทนโดยตรงของรัฐอาณานิคมในสภา) รวมไปถึงการผูกขาดการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออก
หลังเหตุการณ์ดังกล่าวรัฐสภาบริเตนจึงได้ออกกฎหมายมาชุดหนึ่งซึ่งถูกเรียกกันว่าเป็นชุดกฎหมายอันไม่อาจยอมรับได้ (Intolerable Acts) ซึ่งรวมถึงพระราชบัญญัติท่าเรือบอสตัน (Boston Port Bill) เพื่อปิดท่าเรือบอสตันจนกว่าจะมีการชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาที่สูญเสียไป พระราชบัญญัติรัฐบาลแมสซาชูเซตส์ซึ่งลดสถานะความเป็นรัฐอาณานิคมและเพิ่มอำนาจให้กับข้าหลวงของอังกฤษ พร้อมกับห้ามการชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมไปถึงกฎหมายว่าด้วยกระบวนการยุติธรรมที่คุ้มครองเจ้าหน้าที่อังกฤษจากการกระทำผิดอันมีโทษฉกรรจ์ในรัฐอาณานิคมโดยอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ดังกล่าวเดินทางไปยังอังกฤษหรือดินแดนอาณานิคมอื่นเพื่อรับการพิจารณาคดีได้ เป็นต้น
หลังการออกชุดกฎหมายดังกล่าวตัวแทนจากรัฐต่างๆ จึงได้เรียกประชุมสภาแห่งภาคพื้นทวีปครั้งที่ 1 ในฟิลาเดลเฟียเมื่อวันที่ 5 กันยายน 1774 (พ.ศ. 2317) เพื่อหามาตรการตอบโต้และเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวของที่ประชุม จึงได้มีการตกลงให้ตัวแทนแต่ละคนมีเสียงหนึ่งเสียงเท่ากันโดยไม่คำนึงถึงขนาดของรัฐนั้นๆ
ในการประชุมครั้งที่ 1 ของสภาคองเกรส ตัวแทนซึ่งรวมถึง จอร์จ วอชิงตัน, แพทริค เฮนรี, จอห์น และซามูเอล อดัมส์, จอห์น เจย์ และจอห์น ดิกคินสัน ที่ประชุมมีความเห็นไม่ยอมรับแผนการประนีประนอมกับอังกฤษเพื่ออิสรภาพของอาณานิคม แต่ได้ประกาศหลักการว่าด้วยสิทธิส่วนบุคคลทั้งชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน สิทธิในการชุมนุม และการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน และประณามการเก็บภาษีด้วยไม่มีตัวแทน รวมถึงการการประจำการของกองทัพอังกฤษในดินแดนอาณานิคมโดยปราศจากความยินยอม
ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายค่อยๆขยายตัวจนนำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกำลังทหาร ซึ่งเดิมที่ประชุมของตัวแทนรัฐอาณานิคมเคยยืนยันเป็นเวลาหลายเดือนว่าพวกเขาต้องการต่อสู้เพื่อสิทธิของตนภายใต้จักรวรรดิอังกฤษ แต่กลุ่มรัฐอาณานิคมก็ค่อยๆตัดสัมพันธ์กับจักรวรรดิฯ จนนำไปสู่การแยกตัวเป็นอิสรภาพ
ในวันที่ 2 กรกฎาคม 1776 (พ.ศ. 2319) ที่ประชุมสภาแห่งภาคพื้นทวีป ยกเว้นตัวแทนจากนิวยอร์กที่งดออกเสียง, ต่างลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้แยกตัวจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ก่อนที่สองวันถัดมาในวันที่ 4 กรกฎาคม วันประกาศอิสรภาพ ได้มีการลงเสียงอนุมัติคำประกาศอิสรภาพอย่างเป็นทางการ
ที่มา
https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_642
จขกท คิดว่า การประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯต่อจักรวรรดิอังกฤษ ณ ขณะนั้น
เป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองตนเองของอาณานิคมในรูปแบบใหม่
จักรวรรดิเหมือนจะหายไป แต่อาณานิคมเปลี่ยนรูปแบบ
มาเป็นการปกครองตนเอง โดยมีรัฐบาลระบอบประชาธิปไตยของตนเอง
แต่อิทธิพลของจักรวรรดิอังกฤษก็ยังคงมีต่อ สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
แตกต่างจากอดีตอาณานิคมหลายแห่งของฝรั่งเศส
ที่จักรวรรดิฝรั่งเศส ถูกตัดขาด และไม่มีอิทธิพลใดๆต่ออดีตอาณานิคมแล้ว เว้นแต่ อาณานิคมในอารักขา
อาณานิคมอังกฤษ เช่น อินเดีย ที่ตัดขาดจากอิทธิพลจักรวรรดิอังกฤษอย่างสิ้นเชิง
จักรวรรดิอังกฤษที่ยังมีอิทธิพลได้ ต้องไม่ใช่กับคนชนพื้นเมืองที่มีอารยธรรมเดิมที่แข็งแกร่งของตนเอง
เว้นแต่ สหรัฐฯเองที่ต่อต้านการล่าอาณานิคม เพราะตัวเองเคยเป็นอาณานิคมมาก่อน
ความถูกต้องในหลักการเสมอภาค เสรีภาพ นิติธรรม ตามระบอบประชาธิปไตย
ส่วนตัวคิดว่า การปกครองในรูปแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตยระบบสภานี้ของสหราชอาณาจักร
เป็นธรรมกับทั้งระบอบราชาธิปไตย และประชาธิปไตย
แต่การปกครองแบบประชาธิปไตยแบบสหรัฐฯ ไม่มีหลักใดยึดเหนี่ยวนอกจากกฎหมาย และความเท่าเทียม
ดังนั้น ระบอบราชาธิปไตยและประชาธิปไตย ส่งเสริมซึ่งกันและกันครับ
ทำให้อดีตอาณานิคมเก่าอังกฤษ ยังเป็นพันธมิตร เป็นหลักประกันต่อความมั่นคงของอังกฤษมาจนถึงทุกวันนี้
ไทยเคยเป็นสยาม แผ่นดินกว้างใหญ่ รวมอาณาจักรลาว อาณาจักรกัมพูชา
ดินแดนในพม่า และมาลายาบางส่วนไว้เป็นปึกแผ่น
อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลล์ ไอร์แลนด์เหนือ
คือตัวอย่างการปกครองแบบสหราชอาณาจักรอย่างตรงไปตรงมาที่สุด
อนาคตไม่แน่ว่าเราอาจจะก้าวไปอยู่จุดเดียวกันกับอังกฤษหรือไม่
เพราะความเป็นหนึ่งเดียวกันของสหราชอาณาจักร แตกต่าง แต่ไม่แตกแยก นั้นทำให้แข็งแกร่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เครือจักรภพ จึงไม่อาจตัดขาดกันได้
เช่นเดียวกับไทย พม่า ลาว กัมพูชา มาลายา
เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ ไทย สหรัฐฯ กว่า 200 ปี
หากไทยไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ง่ายที่จะถูกปกครองโดยชนชาติอื่น
สหรัฐฯสนับสนุนกองทัพ และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
เป็นการช่วยไทยในอีกทางหนึ่งให้รอดพ้นจากภัยคอมมิวนิสต์
การช่วยเหลือนี้ทำให้ไทยยังเป็นไทยจนทุกวันนี้
และไทยกับสหรัฐฯ กำลังโต้กลับคอมมิวนิสต์ในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด
จักรวรรดิอังกฤษรูปแบบใหม่ในเครือจักรภพ และพันธมิตร กำลังก่อตัวขึ้นเพื่อเสรีภาพของโลก
อาณานิคมจักรวรรดิอังกฤษ สิ้นสุดลง เพราะสหรัฐฯ การปกครองสหราชอาณาจักรแบบประชาธิปไตย ถูกต้องแล้ว จริงหรือไม่
วันประกาศอิสรภาพ หรือวันที่ 4 กรกฎาคม เป็นวันฉลองประจำปีเพื่อรำลึกถึงการก่อตั้งประเทศของสหรัฐอเมริกา อดีตอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งถือเอาเหตุการณ์ที่สภาแห่งภาคพื้นทวีป (Continental Congress) หรือสภาแห่งฟิลาเดลเฟียออกประกาศอิสรภาพอย่างเป็นทางการ
สภาแห่งภาคพื้นทวีป คือที่ประชุมตัวแทนรัฐอาณานิคม 13 รัฐของอังกฤษในทวีปอเมริกา ซึ่งกลายมาเป็นสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน เหตุของการรวมตัวของสมาชิกอาณานิคมรัฐต่างๆ เนื่องมาจากความไม่พอใจการใช้อำนาจขูดรีดของเจ้าอาณานิคม โดยหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของการต่อต้านอังกฤษคือการประท้วงในบอสตันเมื่อราวสองร้อยปีก่อน
เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 1773 (พ.ศ. 2316) เมื่อชาวอเมริกันที่ไม่พอใจอังกฤษได้ปลอมตัวเป็นชาวอินเดียแดงเผ่าโมฮอว์กบุกขึ้นเรือที่เทียบท่าที่บอสตันและโยนหีบบรรจุชา 342 หีบของบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) ของอังกฤษทิ้งทะเล เพื่อเป็นการประท้วงการเก็บภาษีชา ซึ่งชาวอเมริกันอ้างว่าเป็น “การเก็บภาษีโดยไม่มีตัวแทน” (เนื่องจากการออกกฎหมายของรัฐสภาบริเตนเพื่อบังคับใช้ในดินแดนอาณานิคมนั้นไม่มีตัวแทนโดยตรงของรัฐอาณานิคมในสภา) รวมไปถึงการผูกขาดการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออก
หลังเหตุการณ์ดังกล่าวรัฐสภาบริเตนจึงได้ออกกฎหมายมาชุดหนึ่งซึ่งถูกเรียกกันว่าเป็นชุดกฎหมายอันไม่อาจยอมรับได้ (Intolerable Acts) ซึ่งรวมถึงพระราชบัญญัติท่าเรือบอสตัน (Boston Port Bill) เพื่อปิดท่าเรือบอสตันจนกว่าจะมีการชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาที่สูญเสียไป พระราชบัญญัติรัฐบาลแมสซาชูเซตส์ซึ่งลดสถานะความเป็นรัฐอาณานิคมและเพิ่มอำนาจให้กับข้าหลวงของอังกฤษ พร้อมกับห้ามการชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมไปถึงกฎหมายว่าด้วยกระบวนการยุติธรรมที่คุ้มครองเจ้าหน้าที่อังกฤษจากการกระทำผิดอันมีโทษฉกรรจ์ในรัฐอาณานิคมโดยอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ดังกล่าวเดินทางไปยังอังกฤษหรือดินแดนอาณานิคมอื่นเพื่อรับการพิจารณาคดีได้ เป็นต้น
หลังการออกชุดกฎหมายดังกล่าวตัวแทนจากรัฐต่างๆ จึงได้เรียกประชุมสภาแห่งภาคพื้นทวีปครั้งที่ 1 ในฟิลาเดลเฟียเมื่อวันที่ 5 กันยายน 1774 (พ.ศ. 2317) เพื่อหามาตรการตอบโต้และเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวของที่ประชุม จึงได้มีการตกลงให้ตัวแทนแต่ละคนมีเสียงหนึ่งเสียงเท่ากันโดยไม่คำนึงถึงขนาดของรัฐนั้นๆ
ในการประชุมครั้งที่ 1 ของสภาคองเกรส ตัวแทนซึ่งรวมถึง จอร์จ วอชิงตัน, แพทริค เฮนรี, จอห์น และซามูเอล อดัมส์, จอห์น เจย์ และจอห์น ดิกคินสัน ที่ประชุมมีความเห็นไม่ยอมรับแผนการประนีประนอมกับอังกฤษเพื่ออิสรภาพของอาณานิคม แต่ได้ประกาศหลักการว่าด้วยสิทธิส่วนบุคคลทั้งชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน สิทธิในการชุมนุม และการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน และประณามการเก็บภาษีด้วยไม่มีตัวแทน รวมถึงการการประจำการของกองทัพอังกฤษในดินแดนอาณานิคมโดยปราศจากความยินยอม
ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายค่อยๆขยายตัวจนนำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกำลังทหาร ซึ่งเดิมที่ประชุมของตัวแทนรัฐอาณานิคมเคยยืนยันเป็นเวลาหลายเดือนว่าพวกเขาต้องการต่อสู้เพื่อสิทธิของตนภายใต้จักรวรรดิอังกฤษ แต่กลุ่มรัฐอาณานิคมก็ค่อยๆตัดสัมพันธ์กับจักรวรรดิฯ จนนำไปสู่การแยกตัวเป็นอิสรภาพ
ในวันที่ 2 กรกฎาคม 1776 (พ.ศ. 2319) ที่ประชุมสภาแห่งภาคพื้นทวีป ยกเว้นตัวแทนจากนิวยอร์กที่งดออกเสียง, ต่างลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้แยกตัวจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ก่อนที่สองวันถัดมาในวันที่ 4 กรกฎาคม วันประกาศอิสรภาพ ได้มีการลงเสียงอนุมัติคำประกาศอิสรภาพอย่างเป็นทางการ
ที่มา
https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_642