เข้าสู่เดือนมิถุนายน เดือนที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ต่างร่วมกันจัดกิจกรรม
เพื่อแสดงออกถึงความเท่าเทียม และเรียกร้องสิทธิของคนที่มีความหลากหลายทางเพศพึงมี
ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้ พวกเขาต้องผ่านการต่อสู้ที่ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้มากมาย
เดือนนี้ทั้งเดือนจึงเป็นโอกาสอันดี ที่ผมจะขอรีวิวหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ LGBTQIA+ ทั้งหมดนะครับ
เรื่องราวของหนังเป็นช่วงเวลาของเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ฮันส์ ฮอฟมัน (Franz Rogowski) ถูกตัดสินว่ามีความผิดในสิ่งที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นอาชญากรรม
เขาเป็นเกย์ ภายใต้ประมวลกฎหมายอาญาของเยอรมนีในสมัยศตวรรษที่ 19 ที่รู้จักกันในชื่อย่อหน้าที่ 175 (Paragraph 175)
การเป็นรักร่วมเพศ เป็นเหตุให้เขาต้องถูกจำคุก และฮันส์ซึ่งถูกสอดแนมจากเจ้าหน้าที่รัฐในฐานะบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม
ฮันส์ต้องเข้าออกเรือนจำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นว่าเล่น เพียงเพราะเรื่องรสนิยมทางเพศของเขาอย่างเดียวตลอดในระยะเวลาถึง 23 ปี (1945-1968)
จากวัยหนุ่มสู่วัยกลางคน ฮันส์ได้พบกับวิคตอร์ โคล (Georg Friedrich)
ซึ่งเป็นฆาตกรที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดซึ่งรับโทษจำคุกตลอดชีวิต ..
ฮันส์ เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับเพื่อนร่วมห้องขังของเขาคนนี้
แต่แน่นอนว่า ความรักที่เกิดขึ้นกับตัวเขา มันก็ยังกลายเป็นสิ่งที่ผิดซึ่งกฎหมายในเวลานั้นตีตราไว้....
Great Freedom เป็นภาพยนตร์ดราม่าสัญชาติออสเตรีย กำกับโดย Sebastian Meise
เรื่องราวชีวิตของชายหนุ่มผู้ถูกสังคมตีตราจากรสนิยมทางเพศที่ไม่เป็นที่ยอมรับในช่วงเวลานั้น..
การปลดปล่อยโดยฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ได้หมายถึงเสรีภาพสำหรับคนทุกคน...
ฮันส์ รวมถึงกลุ่มชายรักชายที่ต้องอยู่อย่างหลบซ่อนในสังคมช่วงเวลานั้น ก็เสมือนถูกตีตรวนที่มองไม่เห็นเช่นกัน
กฎหมายในกลุ่มประเทศยุโรปนั้น ห้ามความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันมาเนิ่นนาน
ซึ่งกฎหมายที่พูดถึงกันอย่างชัดเจนที่สุดก็คือ มาตรา 175 ของเยอรมนี และมีผลบังคับใช้มาจนกระทั่งถึงปี 1994 เลยทีเดียว ..
ในช่วงสมัยที่นาซีครองอำนาจด้วยนั้น กลุ่มรักร่วมเพศยิ่งกลายเป็นเป้าหมายที่ต้องถูกกำจัด
โดยพวกเขาถูกจัดให้เป็นกลุ่มบุคคลที่ ไร้ค่า ถูกประณามว่าคนพวกนี้ทำให้เยอรมนีตกต่ำ ..
และแม้ว่าหลังสงครามสงบลงเมื่อปี 1945 กลุ่มรักร่วมเพศไม่ได้รับการรองรับว่าเป็นเหยื่อจากการกดขี่ภายใต้ระบอบนาซี
แต่ด้วยมาตรา 175 ที่ยังคงอยู่ ทำให้หลายคนเช่นฮันส์ ยังถูกจองจำในคุก หลายต่อหลายคนยังถูกรังเกียจจากสังคม
นอกจากนี้ การบังคับใช้มาตรา 175 ดังกล่าวทำให้กลุ่มรักร่วมเพศไม่สามารถขอรับการสนับสนุนทางการเงิน
จากรัฐบาลเยอรมนีได้เช่นเดียวกับกลุ่มอื่น ๆ และคำให้การของเขาไม่มีความสำคัญต่อศาล
อีกทั้งพวกเขายังถูก “ลืม” ตลอดหลายสิบปี จนในที่สุดในทศวรรษ 1990 รัฐบาลเยอรมนีได้ยอมรับว่า “กลุ่มรักร่วมเพศที่ถูกกดขี่ข่มเหง”
ในปี 2002 รัฐบาลเยอรมนีได้ออกมาขอโทษกลุ่มรักร่วมเพศอย่างเป็นทางการ
และศาลได้พลิกคำตัดสินลงโทษในมาตรา 175 ทำให้เหยื่อที่เป็นกลุ่มรักร่วมเพศมิสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยทางการเงินจากรัฐบาลเยอรมนี
อย่างไรก็ตามกลุ่มรักร่วมเพศในเยอรมนียังคงเป็นที่ต่อต้านจากบุคคลทั่วไป
อันเนื่องมาจากความเกลียดกลัวพวกรักเพศเดียวกัน (Homophobia)
หนังเรื่องนี้จบแบบนิ่งๆ เรียบๆ แต่โคตรอิมแพคในความรู้สึก มันทำให้ร้องไห้ออกมาได้เลยทีเดียว...
เพียงแค่ข้อความในหน้ากระดาษไม่กี่หน้า ที่ตราไว้.. มันได้ทำลายความเป็นมนุษย์ที่มีเสรีอย่างสิ้นเชิง...
อิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ ดั่งที่ใฝ่หา.. แต่สำหรับคนบางคน กว่าจะได้มันมา.. ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว..
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Great Freedom (2021) อิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งกว่าจะได้มา ก็ช้าเกินไป.. ==
เข้าสู่เดือนมิถุนายน เดือนที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ต่างร่วมกันจัดกิจกรรม
เพื่อแสดงออกถึงความเท่าเทียม และเรียกร้องสิทธิของคนที่มีความหลากหลายทางเพศพึงมี
ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้ พวกเขาต้องผ่านการต่อสู้ที่ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้มากมาย
เดือนนี้ทั้งเดือนจึงเป็นโอกาสอันดี ที่ผมจะขอรีวิวหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ LGBTQIA+ ทั้งหมดนะครับ
เรื่องราวของหนังเป็นช่วงเวลาของเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ฮันส์ ฮอฟมัน (Franz Rogowski) ถูกตัดสินว่ามีความผิดในสิ่งที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นอาชญากรรม
เขาเป็นเกย์ ภายใต้ประมวลกฎหมายอาญาของเยอรมนีในสมัยศตวรรษที่ 19 ที่รู้จักกันในชื่อย่อหน้าที่ 175 (Paragraph 175)
การเป็นรักร่วมเพศ เป็นเหตุให้เขาต้องถูกจำคุก และฮันส์ซึ่งถูกสอดแนมจากเจ้าหน้าที่รัฐในฐานะบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม
ฮันส์ต้องเข้าออกเรือนจำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นว่าเล่น เพียงเพราะเรื่องรสนิยมทางเพศของเขาอย่างเดียวตลอดในระยะเวลาถึง 23 ปี (1945-1968)
จากวัยหนุ่มสู่วัยกลางคน ฮันส์ได้พบกับวิคตอร์ โคล (Georg Friedrich)
ซึ่งเป็นฆาตกรที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดซึ่งรับโทษจำคุกตลอดชีวิต ..
ฮันส์ เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับเพื่อนร่วมห้องขังของเขาคนนี้
แต่แน่นอนว่า ความรักที่เกิดขึ้นกับตัวเขา มันก็ยังกลายเป็นสิ่งที่ผิดซึ่งกฎหมายในเวลานั้นตีตราไว้....
Great Freedom เป็นภาพยนตร์ดราม่าสัญชาติออสเตรีย กำกับโดย Sebastian Meise
เรื่องราวชีวิตของชายหนุ่มผู้ถูกสังคมตีตราจากรสนิยมทางเพศที่ไม่เป็นที่ยอมรับในช่วงเวลานั้น..
การปลดปล่อยโดยฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ได้หมายถึงเสรีภาพสำหรับคนทุกคน...
ฮันส์ รวมถึงกลุ่มชายรักชายที่ต้องอยู่อย่างหลบซ่อนในสังคมช่วงเวลานั้น ก็เสมือนถูกตีตรวนที่มองไม่เห็นเช่นกัน
กฎหมายในกลุ่มประเทศยุโรปนั้น ห้ามความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันมาเนิ่นนาน
ซึ่งกฎหมายที่พูดถึงกันอย่างชัดเจนที่สุดก็คือ มาตรา 175 ของเยอรมนี และมีผลบังคับใช้มาจนกระทั่งถึงปี 1994 เลยทีเดียว ..
ในช่วงสมัยที่นาซีครองอำนาจด้วยนั้น กลุ่มรักร่วมเพศยิ่งกลายเป็นเป้าหมายที่ต้องถูกกำจัด
โดยพวกเขาถูกจัดให้เป็นกลุ่มบุคคลที่ ไร้ค่า ถูกประณามว่าคนพวกนี้ทำให้เยอรมนีตกต่ำ ..
และแม้ว่าหลังสงครามสงบลงเมื่อปี 1945 กลุ่มรักร่วมเพศไม่ได้รับการรองรับว่าเป็นเหยื่อจากการกดขี่ภายใต้ระบอบนาซี
แต่ด้วยมาตรา 175 ที่ยังคงอยู่ ทำให้หลายคนเช่นฮันส์ ยังถูกจองจำในคุก หลายต่อหลายคนยังถูกรังเกียจจากสังคม
นอกจากนี้ การบังคับใช้มาตรา 175 ดังกล่าวทำให้กลุ่มรักร่วมเพศไม่สามารถขอรับการสนับสนุนทางการเงิน
จากรัฐบาลเยอรมนีได้เช่นเดียวกับกลุ่มอื่น ๆ และคำให้การของเขาไม่มีความสำคัญต่อศาล
อีกทั้งพวกเขายังถูก “ลืม” ตลอดหลายสิบปี จนในที่สุดในทศวรรษ 1990 รัฐบาลเยอรมนีได้ยอมรับว่า “กลุ่มรักร่วมเพศที่ถูกกดขี่ข่มเหง”
ในปี 2002 รัฐบาลเยอรมนีได้ออกมาขอโทษกลุ่มรักร่วมเพศอย่างเป็นทางการ
และศาลได้พลิกคำตัดสินลงโทษในมาตรา 175 ทำให้เหยื่อที่เป็นกลุ่มรักร่วมเพศมิสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยทางการเงินจากรัฐบาลเยอรมนี
อย่างไรก็ตามกลุ่มรักร่วมเพศในเยอรมนียังคงเป็นที่ต่อต้านจากบุคคลทั่วไป
อันเนื่องมาจากความเกลียดกลัวพวกรักเพศเดียวกัน (Homophobia)
หนังเรื่องนี้จบแบบนิ่งๆ เรียบๆ แต่โคตรอิมแพคในความรู้สึก มันทำให้ร้องไห้ออกมาได้เลยทีเดียว...
เพียงแค่ข้อความในหน้ากระดาษไม่กี่หน้า ที่ตราไว้.. มันได้ทำลายความเป็นมนุษย์ที่มีเสรีอย่างสิ้นเชิง...
อิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ ดั่งที่ใฝ่หา.. แต่สำหรับคนบางคน กว่าจะได้มันมา.. ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว..
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===