เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราเมื่อปีที่แล้ว เหตุเกิดเพราะเราต้องการหาที่มูเตลู เพราะทนกับหัวหน้าตัวเองไม่ไหว
ณ ตอนนั้น เราอยากออกงานมาก ร้องไห้ทุกวัน ที่ทำงานทำให้เราบั่นทอนมากถึงมากที่สุด เราเลยพยายามหาทางทั้งวิทยาศาสตร์และสายมูเพื่อให้ได้งานใหม่ และหาที่พึ่งทางจิตใจเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้สงบขึ้น...
ช่วงนั้น สภาพจิตใจเราค่อนข้างแย่ เนื่องจากหัวหน้าเราปฏิบัติตัวและใช้คำพูดที่แย่มาก รวมถึงสังคมที่ทำงานก็แย่มากด้วย
เราจึงทำการ research เป็นเวลาหลายวันว่าเทพองค์ไหนมูเตลูเรื่องงานแล้วจะได้ผลที่สุด และจังหวัดที่เราอยู่ มีวัดใดที่มีท่านประทับและมีคนไปขอแล้วได้เยอะๆบ้าง จนเราเจอวัดป่าวัดหนึ่ง ที่แค่เราเห็นภาพและอ่านประวัติแล้ว มั่นใจว่าท่านต้องช่วยเราได้ นั่นก็คือท้าวเวสสุวรรณ
ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าเราจะต้องไปหาท่านให้ได้และต้องไปเร็วที่สุด จึงตัดสินใจจะออกจากหอไปขอท่านเลย ซึ่ง ณ เวลานั้นก็ 4 โมงเย็นกว่าแล้ว ถ้าจะออกตอนนั้นก็น่าะถึงวัดประมาณเกือบ 2 ทุ่ม (รวมเวลาเเต่งตัว+เดินทาง ก็ประมาณไม่เกิน 3 ชม.) แต่ด้วยความที่เราอ่านและหาข้อมูลมา ก็เลยรู้ว่ายิ่งไหว้ท่านดึก ท่านยิ่งขลังและแรง เราเลยยิ่งรู้สึกว่า เวลานี้เหมาะที่สุดแล้ว ไม่อยากรอแล้ว เราเลยโทรชวนพี่ที่สนิทไปด้วยกัน (ขอใช้นามสมมติว่า พี่ฝน นะคะ)
ครึ่งทางหลังที่ใกล้จะถึงวัด ค่อนข้างมืดและเปลี่ยว เพราะวัดอยู่นอกเมืองและอยู่ลึกมาก สักพักระหว่างทางลมพัดค่อนข้างเเรง ต้นไม้ใบหญ้าข้างนอกพัดไสวดูคล้ายกลุ่มคนขยับข้างทางทั้งทาง ลมและฝนก็ไล่มาพร้อมกับรถที่ขับไป ดินแดงบนถนนก็ฟุ้งตลบอบอวล มองแทบไม่เห็นทาง เราเริ่มรู้สึกกลัวและไม่ค่อยดี ภาวนาให้ไม่เห็นอะไรข้างทาง จึงพูดดักพี่ฝนไว่ว่า "พี่ ถ้าเจออะไร อย่าเพิ่งพูดนะ ไว้คุยกันตอนกลับหอ" พี่ฝนก็งง แต่แกก็ตบปากรับคำไป เราก็พยายามตั้งสติ ค่อยๆขับรถไปจนถึงวัด พอถึงวัดเราก็เอ๊ะใจนิดนึง เพราะจากที่อ่านข้อมูลมา เขาบอกว่ามา 2-3 ทุ่ม ก็ยังพอมีคนมาไหว้อยู่ แต่ ณ วันที่เราไป เราเห็นแค่กลุ่มคน 2-3 คน ที่ดูเหมือนมาถ่ายหนัง/ละครเพิ่งเสร็จ, แม่ชี 1 ท่าน, ผู้หญิงที่ขายพวงมาลัยและน้ำแดงสำหรับบูชา 1 คน เราก็ชวนพี่ฝนบูชาของมาไหว้ ซึ่งเราจะขอบรรยายสถานที่ไหว้ตรงนั้นให้ฟังก่อนว่า บริเวณที่ไหว้จะเป็นลานโล่ง พอเดินเข้าไปจะถึงพระพุทธรูปนาคปรกองค์ใหญ่และมีรูปปั้นยักษ์นาคปรกประทับหน้าฐาน ถัดเข้าไปจะเป็นฆ้องขนาดใหญ่ที่ตกแต่งเป็นฆ้อง 12 ราศี
เรากับพี่ฝนกล้าๆกลัวๆอย่างเห็นได้ชัด จนพี่ฝนมองหน้าเรา แล้วพูดว่า "แกรู้สึกเย็นมั้ย" เราคิดในใจ อยากด่าพี่ตัวเองมาก เพราะคุยกันแล้วว่าอย่าทักอะไร แต่ด้วยความที่เราก็พยายามข่มความกลัว เราก็ตอบไปว่า "ก็เย็นสิ เพราะฝนเพิ่งตก ลมก็เลยกรก ปกติ" เราส่งสายตาตำหนิพี่ฝนไป แล้วก็พากันไปไหว้องค์พระพุทธรูป จังหวะที่เรากำลังขอพร พี่ฝนที่ไหว้เสร็จก่อนเราก็จ้องเรา เหมือนรอจะพูดด้วย พอเราไหว้เสร็จก็เลยหันไปมอง พี่ฝนก็พูดขึ้นมาอีกว่า "แก ฉันว่าอากาศเย็นไปวะ ฉันว่าที่นี่ของจริง" ตอนนั้นเราจะบ้าแล้ว คิดในใจว่าทำไมพี่แกไม่ฟังเรานะ เราก็จิตอ่อนอยู่แล้ว+ช่วงนั้นสภาพจิตใจแย่ ก็กลัวจะโดนอะไรทัก แต่เราก็ไม่สน จนเราสองคนเดินถัดเข้าไปเพื่อไปไหว้บริเวณ 12 ราศี ตอนนั้นเรารู้สึกได้เลยว่าตรงนั้นไม่น่าอยู่แล้ว เพราะเราขนเริ่มลุก และรู้สึกกลัวมากๆ เรารีบเร่งพี่ฝนแล้วดึงแขนพี่ฝน จังหวะนั้น เราเห็นเด็กผู้ชาย อายุราวๆ 7-8 ขวบ โผล่ช่วงลำตัวและหัวมาจากหลังฆ้อง เราก็รีบสาวเท้าเดิน แต่ในใจก็คิดว่าก็คงจะเป็นคนเเหละมั้ง พอเดินออกมานอกลานเเล้ว เราเลยดึงแขนพี่ฝนให้หยุด ละบอกให้พี่ฝหันไปดูบริเวณฆ้อง ว่าเห็นอะไรไหม คำตอบพี่ฝนทำเราขนลุกหนักกว่าเดิม เพราะพี่ฝนไม่เห็นอะไรเลย แล้วก็ถามว่ามีอะไรหรือเปล่า หลังจากพี่ฝนตอบ เราเลยรีบหันไปดู แต่เรายังเห็นเด็กคนนั้น แล้วจู่ๆก็ได้ยินเสียง "ฮ...ฮี่ๆๆๆๆๆ" ใช่ค่ะ เด็กคนนั้นหัวเราะเสียงดังสู้กับเสียงลม แล้วจู่ๆ ก็วิ่งหายไปท่ามกลางความมืด หายไปด้านหลังฆ้อง... ตอนนั้นเรารู้สึกอยากกลับมาก ไม่อยากไหว้อะไรต่อแล้ว รีบบอกให้พี่ฝนออกจากตรงนั้นแล้วกลับเลย เราอธิฐานและพูดในใจตั้งแต่ก่อนออกวัดว่าไม่ให้สิ่งใดขึ้นรถและไม่อนุญาติให้ใครไปกับเราทั้งนั้น ขากลับมืดหนักกว่าเดิม เพราะตอนนั้น 4 ทุ่มแล้ว ทางน่ากลัวและเปลี่ยวมาก สัญญาณมือถือก็ไม่มีเลย ขับไปสักพักเราเห็นเหมือนงูใหญ่เลื้อยข้ามถนน แต่ด้วยความที่แม่สอนมาแต่เด็ก เราเลยไม่ทัก และที่สำคัญเราภาวนาให้คนข้างๆเรา เขาไม่ทักด้วยเช่นกัน โชคดีที่ครั้งนี้พี่ฝนไม่ทักอะไรเลย ระหว่างทางพี่ฝนพยายามชวนเราคุยเรื่องสนุกๆ หาเพลงฟัง จนเราหลุดเข้าถนนใหญ่และแวะทานข้าว พอเข้าร้านข้าว พี่ฝนเริ่มประโยคสนทนาทันที "แกเห็นอะไรตอนอยู่วัดหรือเปล่า" เราก็ถามไปทันทีว่า "พี่ไม่เห็นหรอ" พี่ฝนก็ตอบกลับมาว่าแกไม่เห็นอะไร เราจึงเล่าเรื่องที่เราเห็นเด็กให้พี่ฝนฟัง พี่ฝนตกใจและกลัวมาก เรา 2 คนก็นั่งคุยกันว่าไม่น่าใช่คน เพราะวัดไม่น่ามีเด็กน้อยขนาดนั้น ถึงมีก็ควรที่จะต้องมีพ่อแม่อยู่ด้วย ดึกขนาดนั้นไม่มีพ่อแม่คนไหนปล่อยลูกวิ่งเล่นในวัดหรอก บวกกับคนอะไรอยู่ที่เดิม แต่มีเเค่เราเห็นคนเดียว พี่ฝนจะไม่เห็นได้อย่างไร อีกเรื่องคือเราบอกพี่ฝนว่ามีงูผ่านหน้ารถก็สบายใจนิดนึง น่าจะเจ้าที่ทัก พี่ฝนหันมาทางเราขวับ แล้วถามว่างูอะไร เราก็บอกว่า "ตอนขับมีงูเลื้อยผ่าน ใหญ่อยู่นะ เท่าแขนหนูได้มั้ง" พี่ฝนรีบตอบว่า "ฉันไม่เห็นอะไรเลยนะ ฉันก็ว่าจะถามอยู่ว่าตอนกลับ แกหยุดรถทำไม ถนนมันมืด อันตรายจะตายไป" เราก็อึ้งรอบสอง เราเลยหยุดคุยเรื่องนี้กัน เป็นอันรู้ว่าคืนนั้นเราเจอสิ่งที่ไม่น่าเจอหลายอย่างเลย โชคดีที่ไม่มีอะไรตามติดเรามา และโชคดีที่คืนนั้นยังนอนหลับ
เจอดีเพราะไปมูเตลู...
ณ ตอนนั้น เราอยากออกงานมาก ร้องไห้ทุกวัน ที่ทำงานทำให้เราบั่นทอนมากถึงมากที่สุด เราเลยพยายามหาทางทั้งวิทยาศาสตร์และสายมูเพื่อให้ได้งานใหม่ และหาที่พึ่งทางจิตใจเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้สงบขึ้น...
ช่วงนั้น สภาพจิตใจเราค่อนข้างแย่ เนื่องจากหัวหน้าเราปฏิบัติตัวและใช้คำพูดที่แย่มาก รวมถึงสังคมที่ทำงานก็แย่มากด้วย
เราจึงทำการ research เป็นเวลาหลายวันว่าเทพองค์ไหนมูเตลูเรื่องงานแล้วจะได้ผลที่สุด และจังหวัดที่เราอยู่ มีวัดใดที่มีท่านประทับและมีคนไปขอแล้วได้เยอะๆบ้าง จนเราเจอวัดป่าวัดหนึ่ง ที่แค่เราเห็นภาพและอ่านประวัติแล้ว มั่นใจว่าท่านต้องช่วยเราได้ นั่นก็คือท้าวเวสสุวรรณ
ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าเราจะต้องไปหาท่านให้ได้และต้องไปเร็วที่สุด จึงตัดสินใจจะออกจากหอไปขอท่านเลย ซึ่ง ณ เวลานั้นก็ 4 โมงเย็นกว่าแล้ว ถ้าจะออกตอนนั้นก็น่าะถึงวัดประมาณเกือบ 2 ทุ่ม (รวมเวลาเเต่งตัว+เดินทาง ก็ประมาณไม่เกิน 3 ชม.) แต่ด้วยความที่เราอ่านและหาข้อมูลมา ก็เลยรู้ว่ายิ่งไหว้ท่านดึก ท่านยิ่งขลังและแรง เราเลยยิ่งรู้สึกว่า เวลานี้เหมาะที่สุดแล้ว ไม่อยากรอแล้ว เราเลยโทรชวนพี่ที่สนิทไปด้วยกัน (ขอใช้นามสมมติว่า พี่ฝน นะคะ)
ครึ่งทางหลังที่ใกล้จะถึงวัด ค่อนข้างมืดและเปลี่ยว เพราะวัดอยู่นอกเมืองและอยู่ลึกมาก สักพักระหว่างทางลมพัดค่อนข้างเเรง ต้นไม้ใบหญ้าข้างนอกพัดไสวดูคล้ายกลุ่มคนขยับข้างทางทั้งทาง ลมและฝนก็ไล่มาพร้อมกับรถที่ขับไป ดินแดงบนถนนก็ฟุ้งตลบอบอวล มองแทบไม่เห็นทาง เราเริ่มรู้สึกกลัวและไม่ค่อยดี ภาวนาให้ไม่เห็นอะไรข้างทาง จึงพูดดักพี่ฝนไว่ว่า "พี่ ถ้าเจออะไร อย่าเพิ่งพูดนะ ไว้คุยกันตอนกลับหอ" พี่ฝนก็งง แต่แกก็ตบปากรับคำไป เราก็พยายามตั้งสติ ค่อยๆขับรถไปจนถึงวัด พอถึงวัดเราก็เอ๊ะใจนิดนึง เพราะจากที่อ่านข้อมูลมา เขาบอกว่ามา 2-3 ทุ่ม ก็ยังพอมีคนมาไหว้อยู่ แต่ ณ วันที่เราไป เราเห็นแค่กลุ่มคน 2-3 คน ที่ดูเหมือนมาถ่ายหนัง/ละครเพิ่งเสร็จ, แม่ชี 1 ท่าน, ผู้หญิงที่ขายพวงมาลัยและน้ำแดงสำหรับบูชา 1 คน เราก็ชวนพี่ฝนบูชาของมาไหว้ ซึ่งเราจะขอบรรยายสถานที่ไหว้ตรงนั้นให้ฟังก่อนว่า บริเวณที่ไหว้จะเป็นลานโล่ง พอเดินเข้าไปจะถึงพระพุทธรูปนาคปรกองค์ใหญ่และมีรูปปั้นยักษ์นาคปรกประทับหน้าฐาน ถัดเข้าไปจะเป็นฆ้องขนาดใหญ่ที่ตกแต่งเป็นฆ้อง 12 ราศี
เรากับพี่ฝนกล้าๆกลัวๆอย่างเห็นได้ชัด จนพี่ฝนมองหน้าเรา แล้วพูดว่า "แกรู้สึกเย็นมั้ย" เราคิดในใจ อยากด่าพี่ตัวเองมาก เพราะคุยกันแล้วว่าอย่าทักอะไร แต่ด้วยความที่เราก็พยายามข่มความกลัว เราก็ตอบไปว่า "ก็เย็นสิ เพราะฝนเพิ่งตก ลมก็เลยกรก ปกติ" เราส่งสายตาตำหนิพี่ฝนไป แล้วก็พากันไปไหว้องค์พระพุทธรูป จังหวะที่เรากำลังขอพร พี่ฝนที่ไหว้เสร็จก่อนเราก็จ้องเรา เหมือนรอจะพูดด้วย พอเราไหว้เสร็จก็เลยหันไปมอง พี่ฝนก็พูดขึ้นมาอีกว่า "แก ฉันว่าอากาศเย็นไปวะ ฉันว่าที่นี่ของจริง" ตอนนั้นเราจะบ้าแล้ว คิดในใจว่าทำไมพี่แกไม่ฟังเรานะ เราก็จิตอ่อนอยู่แล้ว+ช่วงนั้นสภาพจิตใจแย่ ก็กลัวจะโดนอะไรทัก แต่เราก็ไม่สน จนเราสองคนเดินถัดเข้าไปเพื่อไปไหว้บริเวณ 12 ราศี ตอนนั้นเรารู้สึกได้เลยว่าตรงนั้นไม่น่าอยู่แล้ว เพราะเราขนเริ่มลุก และรู้สึกกลัวมากๆ เรารีบเร่งพี่ฝนแล้วดึงแขนพี่ฝน จังหวะนั้น เราเห็นเด็กผู้ชาย อายุราวๆ 7-8 ขวบ โผล่ช่วงลำตัวและหัวมาจากหลังฆ้อง เราก็รีบสาวเท้าเดิน แต่ในใจก็คิดว่าก็คงจะเป็นคนเเหละมั้ง พอเดินออกมานอกลานเเล้ว เราเลยดึงแขนพี่ฝนให้หยุด ละบอกให้พี่ฝหันไปดูบริเวณฆ้อง ว่าเห็นอะไรไหม คำตอบพี่ฝนทำเราขนลุกหนักกว่าเดิม เพราะพี่ฝนไม่เห็นอะไรเลย แล้วก็ถามว่ามีอะไรหรือเปล่า หลังจากพี่ฝนตอบ เราเลยรีบหันไปดู แต่เรายังเห็นเด็กคนนั้น แล้วจู่ๆก็ได้ยินเสียง "ฮ...ฮี่ๆๆๆๆๆ" ใช่ค่ะ เด็กคนนั้นหัวเราะเสียงดังสู้กับเสียงลม แล้วจู่ๆ ก็วิ่งหายไปท่ามกลางความมืด หายไปด้านหลังฆ้อง... ตอนนั้นเรารู้สึกอยากกลับมาก ไม่อยากไหว้อะไรต่อแล้ว รีบบอกให้พี่ฝนออกจากตรงนั้นแล้วกลับเลย เราอธิฐานและพูดในใจตั้งแต่ก่อนออกวัดว่าไม่ให้สิ่งใดขึ้นรถและไม่อนุญาติให้ใครไปกับเราทั้งนั้น ขากลับมืดหนักกว่าเดิม เพราะตอนนั้น 4 ทุ่มแล้ว ทางน่ากลัวและเปลี่ยวมาก สัญญาณมือถือก็ไม่มีเลย ขับไปสักพักเราเห็นเหมือนงูใหญ่เลื้อยข้ามถนน แต่ด้วยความที่แม่สอนมาแต่เด็ก เราเลยไม่ทัก และที่สำคัญเราภาวนาให้คนข้างๆเรา เขาไม่ทักด้วยเช่นกัน โชคดีที่ครั้งนี้พี่ฝนไม่ทักอะไรเลย ระหว่างทางพี่ฝนพยายามชวนเราคุยเรื่องสนุกๆ หาเพลงฟัง จนเราหลุดเข้าถนนใหญ่และแวะทานข้าว พอเข้าร้านข้าว พี่ฝนเริ่มประโยคสนทนาทันที "แกเห็นอะไรตอนอยู่วัดหรือเปล่า" เราก็ถามไปทันทีว่า "พี่ไม่เห็นหรอ" พี่ฝนก็ตอบกลับมาว่าแกไม่เห็นอะไร เราจึงเล่าเรื่องที่เราเห็นเด็กให้พี่ฝนฟัง พี่ฝนตกใจและกลัวมาก เรา 2 คนก็นั่งคุยกันว่าไม่น่าใช่คน เพราะวัดไม่น่ามีเด็กน้อยขนาดนั้น ถึงมีก็ควรที่จะต้องมีพ่อแม่อยู่ด้วย ดึกขนาดนั้นไม่มีพ่อแม่คนไหนปล่อยลูกวิ่งเล่นในวัดหรอก บวกกับคนอะไรอยู่ที่เดิม แต่มีเเค่เราเห็นคนเดียว พี่ฝนจะไม่เห็นได้อย่างไร อีกเรื่องคือเราบอกพี่ฝนว่ามีงูผ่านหน้ารถก็สบายใจนิดนึง น่าจะเจ้าที่ทัก พี่ฝนหันมาทางเราขวับ แล้วถามว่างูอะไร เราก็บอกว่า "ตอนขับมีงูเลื้อยผ่าน ใหญ่อยู่นะ เท่าแขนหนูได้มั้ง" พี่ฝนรีบตอบว่า "ฉันไม่เห็นอะไรเลยนะ ฉันก็ว่าจะถามอยู่ว่าตอนกลับ แกหยุดรถทำไม ถนนมันมืด อันตรายจะตายไป" เราก็อึ้งรอบสอง เราเลยหยุดคุยเรื่องนี้กัน เป็นอันรู้ว่าคืนนั้นเราเจอสิ่งที่ไม่น่าเจอหลายอย่างเลย โชคดีที่ไม่มีอะไรตามติดเรามา และโชคดีที่คืนนั้นยังนอนหลับ