ชัยธวัช ฟังปัญหาชาวสวนทุเรียน หวั่นภัยแล้งกระทบพืชเศรษฐกิจสำคัญ แนะเตรียมรับมือระยะยาว
https://www.matichon.co.th/politics/news_4592930
“ชัยธวัช” รับฟังปัญหาชาวสวนทุเรียนชุมพร หวั่นภัยแล้งกระทบพืชเศรษฐกิจสำคัญ แนะเตรียมรับมือระยะยาว กระจายงบและอำนาจให้ท้องถิ่นบริหารจัดการแหล่งน้ำในพื้นที่
เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2567 ที่ จ.ชุมพร นาย
ชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่บ้านสตงท่าสำราญ ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เปิดวงพูดคุยรับฟังปัญหาประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรสวนทุเรียน พร้อมลงพื้นที่ดูสวนทุเรียนที่กำลังประสบปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องการขาดแคลนน้ำ
ในวงพูดคุยมีประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามาร่วมสะท้อนปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาที่ดิน ที่อยู่อาศัย และพื้นที่เพาะปลูกที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เนื่องจากเป็นพื้นที่ป่า ทำให้การพัฒนาพื้นที่เช่นการขยายเขตไฟฟ้าเพื่อการเกษตรไม่สามารถทำได้ รวมถึงปัญหาภัยแล้งที่ทำให้ขาดแคลนทั้งน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภค เป็นต้น
นาย
ชัยธวัชกล่าวว่า ทุเรียนเป็นผลผลิตการเกษตรที่สำคัญที่สุดสำหรับภาคใต้ในระยะหลังมานี้ โดยเฉพาะจังหวัดชุมพรซึ่งเป็นจังหวัดเดียวในภาคใต้ที่เศรษฐกิจเติบโตได้จากภาคการเกษตรโดยไม่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเท่ากับจังหวัดอื่นๆ แต่จากสถานการณ์เอลนีโญที่รุนแรงในปัจจุบันทำให้เกษตรกรต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสภาวะน้ำแล้ง ซึ่งอาจไม่ได้เกิดขึ้นเป็นชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนอดีตอีกต่อไป โดยผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ระบุถึงความเป็นไปได้ว่า ฝนทิ้งช่วงอาจเกิดขึ้นแบบนี้ทุกปีไปจนถึงปี 2571
ปัญหาการขาดแคลนน้ำในภาคเกษตรจึงเป็นปัญหาร่วมของเกษตรกรทุกพื้นที่ ซึ่งต้องใช้หลากหลายมาตรการในการแก้ปัญหา และในแต่ละพื้นที่ก็ต้องการวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป เช่น จะทำฝายหรือเขื่อน จะเลือกฝายขนาดกลาง ขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็ก จะทำในพื้นที่จุดใด มีผู้ได้รับผลกระทบเท่าไร และเมื่อมีแล้วการบริหารจัดการน้ำแล้วก็ต้องมีกฎกติกาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกัน
นาย
ชัยธวัชกล่าวต่อไปว่า สำหรับพรรคก้าวไกลแล้ว เราสนับสนุนการสร้างแหล่งเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กมากกว่าโครงการขนาดใหญ่ หากไม่จำเป็นหรือสมเหตุสมผล เพราะที่ผ่านมาโครงการขนาดใหญ่มักมีต้นทุนสูง และหากไม่วางแผนดีๆ ก็จะไม่คุ้มค่า ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้อย่างที่ประเมินไว้ ขณะที่การใช้แหล่งเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กที่กระจายไปในหลายพื้นที่ย่อมจัดการได้ง่ายกว่า เกิดผลกระทบน้อยกว่า และใกล้คนใช้น้ำมากกว่า
พรรคก้าวไกลจึงเสนอมาตลอดว่า งบประมาณและการตัดสินใจทำแหล่งน้ำที่มีราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทควรเป็นอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรง แต่ปัญหาคือปัจจุบันงบประมาณและอำนาจในการทำแหล่งน้ำยังคงกระจุกตัวอยู่ที่กรมชลประทาน ซึ่งขอยาก หรือหลายพื้นที่เมื่อมีการพิจารณาอนุมัติโครงการก็มักไม่ตอบโจทย์อย่างที่ประชาชนในพื้นที่ต้องการจริงๆ ทำให้คนได้รับประโยชน์กลายเป็นผู้รับเหมา หลายแห่งทำมาแล้วก็ใช้งานไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแหล่งน้ำขนาดกลางหรือเล็ก ท้องถิ่นกับชาวบ้านจะมีส่วนในการตัดสินใจร่วมกัน ดังนั้น ตนเชื่อว่าหากถ่ายโอนมาให้ท้องถิ่นดูแลจะสามารถบริหารจัดการได้ดีกว่ามาก
นาย
ชัยธวัชกล่าวทิ้งท้ายว่า ปัญหานี้เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขกันในระยะยาว ไม่สามารถใช้เวลาปีเดียวในการแก้ให้จบได้ ดังนั้นจึงต้องอาศัยการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ทั้งเรื่องน้ำ ที่ดิน และไฟฟ้า โดยพรรคก้าวไกลมี สส.กระจายอยู่ในทุกกรรมาธิการ และพร้อมที่จะทำงานร่วมกันกับประชาชนทุกภาคส่วน
“
พรรคก้าวไกลเป็นพื้นที่กลางที่ประชาชนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ ขอให้ทุกคนมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่”
ชัยธวัชกล่าว
‘พริษฐ์’ มอง ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ขัดแย้งกว่าอดีต ยกแนวทาง 3 R ให้ไทยมีตัวตนบนเวทีโลก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4592024
‘พริษฐ์’ มอง ปัญหา Geopolitics ปัจจุบันขัดแย้งรุนแรงกว่าอดีต-การร่วมมือระหว่างประเทศยากกว่าเดิม ยกแนวทาง 3 R ให้ไทยมีตัวตนบนเวทีโลก
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่เกษร ทาวเวอร์ นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญขีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าร่วมงาน ‘
มติชนฟอรั่ม หัวข้อ Thailand 2024 : Surviving Geopolitics’ ว่า หากพูดถึงสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ของโลก เราจะเห็นสองแนวโน้ม ที่เมื่อมาอยู่รวมกันแล้วก็ถือว่าน่ากังวลอยู่เช่นกัน
เรื่องแรก เราเห็นว่าในปัจจุบัน ความขัดแย้งอยู่ในจุดที่สูงกว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ ปัญหาสงครามในภูมิภาคต่างๆ ทั้งในตะวันออกกลาง รัสเซีย-ยูเครน หรือใกล้ประเทศไทยขึ้นมาอีกก็เป็นประเทศเมียนมา เราจะเห็นว่าความขัดแย้งในระดับโลกสูงขึ้น ซึ่งการร่วมมือกันระหว่างประเทศก็อาจจะเจอความท้าทายมากกว่าทุกครั้ง
เรื่องที่สอง โลกกำลังเจอความท้าทายหลายด้าน ที่ส่งผลให้ความร่วมมือระหว่างกัน มีความจำเป็นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เช่นภาวะโลกรวน ที่ประเทศใดประเทศหนึ่งไม่สามารถแก้ไขให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง ก็ต้องอาศัยการร่วมมือกันกับทุกประเทศ หรือมลพิษทางอากาศที่ชาวภาคเหนือเผชิญ ที่ส่วนหนึ่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เราก็ต้องใช้กลไกแก้ไขที่ไปไกลกว่าที่ใช้ในประเทศ หรือหากมองความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างเอไอที่เข้ามา ซึ่งเป็นการสร้างประโยชน์ในหลายมิติ แต่อีกมุมอย่างการจะจำกัดกติกาหรือดูแลเรื่องนี้ ก็เป็นกติกาที่ต้องมาร่วมกำหนดกันระหว่างประเทศ
เมื่อถามว่า ทฤษฎีการทูตแบบไผ่ลู่ลมยังคงได้ผลท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดมากกว่าในอดีตหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ในมุมของพรรค ก.ก. เคยพูดถึงแนวทางต่างประเทศ 3 R
1.
Rebalance การหาสมดุลในการแข่งขันของสองมหาอำนาจ เราเห็นความตึงเครียดจากประเทศมหาอำนาจ จะทำอย่างไรให้ไทยยังสามารถคงบทบาทของตัวเองได้ท่ามกลางสองมหาอำนาจ โดยไม่ให้เราเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป
2.
Rule based foreign policy การมีท่าทีนโยบายต่างประเทศที่อิงหลักเกณฑ์เป็นหลัก ตนคิดว่าสิ่งที่จะทำให้เรามีบทบาท และตัวตนบนเวทีโลกได้ คือการที่เรามีหลักการที่ชัดเจน ว่าเราให้ความสำคัญกับคุณค่าอะไร เช่นหากเราให้คุณค่ากับหลักประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เราก็ควรยึดถือคุณค่านั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเกิดขึ้นระหว่างใครกับใคร
3.
Relevance คือการจะทำอย่างไรให้ไทยกลับมามีบทบาทบนเวทีโลก ในเมื่อหลายปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือกันหลายประเทศ และขนาดประเทศไทยเอง ก็ไม่ได้ใหญ่เทียบเท่าประเทศมหาอำนาจ ซึ่งสิ่งที่เราต้องมาทบทวน คือทำอย่างไรให้กลไกระหว่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศอย่างอาเซียน เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในการแก้ไขปัญหาที่กระทบมากกว่าหนึ่งประเทศ
ทำอย่างไรที่จะให้เราออกแบบ หรือคิดแนวทางการปฏิรูปกลไกอาเซียน เพื่อแก้ปัญหาภายในภูมิภาคได้มีอย่างประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาพรวมของอาเซียนมีเป้าหมายร่วมกัน ที่จะทำให้ภูมิภาคนี้มีบทบาท ต่อสถานการณ์ที่ตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ
วิโรจน์ ไม่เห็นด้วย ศาลรธน.ก้าวล่วงอำนาจบริหาร ชี้หากเศรษฐาพ้นนายกฯ ต้องไปด้วยกลไกสภา
https://www.matichon.co.th/politics/news_4592225
วิโรจน์ ไม่เห็นด้วย องค์กรอิสระก้าวก่ายอำนาจบริหาร ชี้หากเศรษฐาพ้นนายกฯ ต้องเป็นกลไกสภา
จากกรณี ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง 40 ส.ว. กรณีขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และนายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์เอ็กซ์ว่า
“
ถ้าคุณเศรษฐาต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ก็ต้องพ้นด้วยกลไกของรัฐสภา ที่ยึดโยงกับประชาชน
ผมไม่เห็นด้วยกับการสถาปนาอำนาจให้กับองค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญ ให้มาก้าวล่วงอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ อย่างที่สังคมกำลังคลางแคลงใจกันอยู่”
https://x.com/wirojlak/status/1793814740739014921
ดีเซลขึ้นไม่หยุด! กบน.เคาะขึ้น 50 สตางค์ ขายปลีกพุ่งลิตรละ 32.44 บาทแล้ว มีผลพรุ่งนี้
https://www.matichon.co.th/economy/news_4592580
กบน. ขึ้นดีเซลอีก 50 สต. ดันขายปลีกพุ่งลิตรละ 32.44 บ. มีผลพรุ่งนี้
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม นาย
วิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีรายจ่ายน้อยลงแต่ยังขาดสภาพคล่อง ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าควรมีการเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ในช่วงเวลานี้ เพื่อให้การบริหารจัดการกองทุนน้ำมัน สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคตทั้งด้านการเงินและสถานการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังมีความผันผวนต่อเนื่องจากสถานการณ์ด้านสงครามและเศรษฐกิจ กบน.จึงมีมติลดอัตราเงินชดเชยประเภทน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 จาก 1.94 บาท/ลิตร เป็น 1.40 บาท/ลิตร เพื่อให้กองทุนน้ำมันมีรายจ่ายประเภทน้ำมันดีเซลลดลงประมาณวันละ 38.32 ล้านบาท จากวันละ 136.70 ล้านบาท เป็น 98.38 ล้านบาท การลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันประเภทดีเซลในครั้งนี้ส่งผลให้ราคาขายปลีกประเภทน้ำมันดีเซลปรับขึ้น 0.50 บาท/ลิตร เป็น 32.44 บาท/ลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ การพิจารณาดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ที่มีมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่ประชาชน โดยวางกรอบการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการเดิมที่สิ้นสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
และการดำเนินการนี้เป็นไปตามมติ กบน.เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 เห็นชอบในหลักการให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันดีเซลเพื่อให้ราคาขายปลีกเกินกว่า 30 บาทได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี กบน.จะพิจารณาลดการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลแบบค่อยเป็นค่อยไปให้เป็นไปตามช่วงเวลาและจังหวะที่เหมาะสม เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศไม่ให้ผันผวนมากจนเกินไป และกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนให้น้อยที่สุด
สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2567 ติดลบ 110,854 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 63,230 ล้านบาท ส่วนก๊าซ LPG ติดลบ 47,624 ล้านบาท
JJNY : 5in1 ชัยธวัชฟังปัญหาสวนทุเรียน│พริษฐ์ยก3R│วิโรจน์ไม่เห็นด้วยศาลรธน.│ดีเซลขึ้นไม่หยุด!│เอเชียใต้เผชิญอากาศสุดขั้ว
https://www.matichon.co.th/politics/news_4592930
“ชัยธวัช” รับฟังปัญหาชาวสวนทุเรียนชุมพร หวั่นภัยแล้งกระทบพืชเศรษฐกิจสำคัญ แนะเตรียมรับมือระยะยาว กระจายงบและอำนาจให้ท้องถิ่นบริหารจัดการแหล่งน้ำในพื้นที่
เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2567 ที่ จ.ชุมพร นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่บ้านสตงท่าสำราญ ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เปิดวงพูดคุยรับฟังปัญหาประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรสวนทุเรียน พร้อมลงพื้นที่ดูสวนทุเรียนที่กำลังประสบปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องการขาดแคลนน้ำ
ในวงพูดคุยมีประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามาร่วมสะท้อนปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาที่ดิน ที่อยู่อาศัย และพื้นที่เพาะปลูกที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เนื่องจากเป็นพื้นที่ป่า ทำให้การพัฒนาพื้นที่เช่นการขยายเขตไฟฟ้าเพื่อการเกษตรไม่สามารถทำได้ รวมถึงปัญหาภัยแล้งที่ทำให้ขาดแคลนทั้งน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภค เป็นต้น
นายชัยธวัชกล่าวว่า ทุเรียนเป็นผลผลิตการเกษตรที่สำคัญที่สุดสำหรับภาคใต้ในระยะหลังมานี้ โดยเฉพาะจังหวัดชุมพรซึ่งเป็นจังหวัดเดียวในภาคใต้ที่เศรษฐกิจเติบโตได้จากภาคการเกษตรโดยไม่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเท่ากับจังหวัดอื่นๆ แต่จากสถานการณ์เอลนีโญที่รุนแรงในปัจจุบันทำให้เกษตรกรต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสภาวะน้ำแล้ง ซึ่งอาจไม่ได้เกิดขึ้นเป็นชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนอดีตอีกต่อไป โดยผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ระบุถึงความเป็นไปได้ว่า ฝนทิ้งช่วงอาจเกิดขึ้นแบบนี้ทุกปีไปจนถึงปี 2571
ปัญหาการขาดแคลนน้ำในภาคเกษตรจึงเป็นปัญหาร่วมของเกษตรกรทุกพื้นที่ ซึ่งต้องใช้หลากหลายมาตรการในการแก้ปัญหา และในแต่ละพื้นที่ก็ต้องการวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป เช่น จะทำฝายหรือเขื่อน จะเลือกฝายขนาดกลาง ขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็ก จะทำในพื้นที่จุดใด มีผู้ได้รับผลกระทบเท่าไร และเมื่อมีแล้วการบริหารจัดการน้ำแล้วก็ต้องมีกฎกติกาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกัน
นายชัยธวัชกล่าวต่อไปว่า สำหรับพรรคก้าวไกลแล้ว เราสนับสนุนการสร้างแหล่งเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กมากกว่าโครงการขนาดใหญ่ หากไม่จำเป็นหรือสมเหตุสมผล เพราะที่ผ่านมาโครงการขนาดใหญ่มักมีต้นทุนสูง และหากไม่วางแผนดีๆ ก็จะไม่คุ้มค่า ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้อย่างที่ประเมินไว้ ขณะที่การใช้แหล่งเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กที่กระจายไปในหลายพื้นที่ย่อมจัดการได้ง่ายกว่า เกิดผลกระทบน้อยกว่า และใกล้คนใช้น้ำมากกว่า
พรรคก้าวไกลจึงเสนอมาตลอดว่า งบประมาณและการตัดสินใจทำแหล่งน้ำที่มีราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทควรเป็นอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรง แต่ปัญหาคือปัจจุบันงบประมาณและอำนาจในการทำแหล่งน้ำยังคงกระจุกตัวอยู่ที่กรมชลประทาน ซึ่งขอยาก หรือหลายพื้นที่เมื่อมีการพิจารณาอนุมัติโครงการก็มักไม่ตอบโจทย์อย่างที่ประชาชนในพื้นที่ต้องการจริงๆ ทำให้คนได้รับประโยชน์กลายเป็นผู้รับเหมา หลายแห่งทำมาแล้วก็ใช้งานไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแหล่งน้ำขนาดกลางหรือเล็ก ท้องถิ่นกับชาวบ้านจะมีส่วนในการตัดสินใจร่วมกัน ดังนั้น ตนเชื่อว่าหากถ่ายโอนมาให้ท้องถิ่นดูแลจะสามารถบริหารจัดการได้ดีกว่ามาก
นายชัยธวัชกล่าวทิ้งท้ายว่า ปัญหานี้เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขกันในระยะยาว ไม่สามารถใช้เวลาปีเดียวในการแก้ให้จบได้ ดังนั้นจึงต้องอาศัยการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ทั้งเรื่องน้ำ ที่ดิน และไฟฟ้า โดยพรรคก้าวไกลมี สส.กระจายอยู่ในทุกกรรมาธิการ และพร้อมที่จะทำงานร่วมกันกับประชาชนทุกภาคส่วน
“พรรคก้าวไกลเป็นพื้นที่กลางที่ประชาชนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ ขอให้ทุกคนมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่” ชัยธวัชกล่าว
‘พริษฐ์’ มอง ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ขัดแย้งกว่าอดีต ยกแนวทาง 3 R ให้ไทยมีตัวตนบนเวทีโลก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4592024
‘พริษฐ์’ มอง ปัญหา Geopolitics ปัจจุบันขัดแย้งรุนแรงกว่าอดีต-การร่วมมือระหว่างประเทศยากกว่าเดิม ยกแนวทาง 3 R ให้ไทยมีตัวตนบนเวทีโลก
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่เกษร ทาวเวอร์ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญขีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าร่วมงาน ‘มติชนฟอรั่ม หัวข้อ Thailand 2024 : Surviving Geopolitics’ ว่า หากพูดถึงสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ของโลก เราจะเห็นสองแนวโน้ม ที่เมื่อมาอยู่รวมกันแล้วก็ถือว่าน่ากังวลอยู่เช่นกัน
เรื่องแรก เราเห็นว่าในปัจจุบัน ความขัดแย้งอยู่ในจุดที่สูงกว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ ปัญหาสงครามในภูมิภาคต่างๆ ทั้งในตะวันออกกลาง รัสเซีย-ยูเครน หรือใกล้ประเทศไทยขึ้นมาอีกก็เป็นประเทศเมียนมา เราจะเห็นว่าความขัดแย้งในระดับโลกสูงขึ้น ซึ่งการร่วมมือกันระหว่างประเทศก็อาจจะเจอความท้าทายมากกว่าทุกครั้ง
เรื่องที่สอง โลกกำลังเจอความท้าทายหลายด้าน ที่ส่งผลให้ความร่วมมือระหว่างกัน มีความจำเป็นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เช่นภาวะโลกรวน ที่ประเทศใดประเทศหนึ่งไม่สามารถแก้ไขให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง ก็ต้องอาศัยการร่วมมือกันกับทุกประเทศ หรือมลพิษทางอากาศที่ชาวภาคเหนือเผชิญ ที่ส่วนหนึ่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เราก็ต้องใช้กลไกแก้ไขที่ไปไกลกว่าที่ใช้ในประเทศ หรือหากมองความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างเอไอที่เข้ามา ซึ่งเป็นการสร้างประโยชน์ในหลายมิติ แต่อีกมุมอย่างการจะจำกัดกติกาหรือดูแลเรื่องนี้ ก็เป็นกติกาที่ต้องมาร่วมกำหนดกันระหว่างประเทศ
เมื่อถามว่า ทฤษฎีการทูตแบบไผ่ลู่ลมยังคงได้ผลท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดมากกว่าในอดีตหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ในมุมของพรรค ก.ก. เคยพูดถึงแนวทางต่างประเทศ 3 R
1. Rebalance การหาสมดุลในการแข่งขันของสองมหาอำนาจ เราเห็นความตึงเครียดจากประเทศมหาอำนาจ จะทำอย่างไรให้ไทยยังสามารถคงบทบาทของตัวเองได้ท่ามกลางสองมหาอำนาจ โดยไม่ให้เราเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป
2. Rule based foreign policy การมีท่าทีนโยบายต่างประเทศที่อิงหลักเกณฑ์เป็นหลัก ตนคิดว่าสิ่งที่จะทำให้เรามีบทบาท และตัวตนบนเวทีโลกได้ คือการที่เรามีหลักการที่ชัดเจน ว่าเราให้ความสำคัญกับคุณค่าอะไร เช่นหากเราให้คุณค่ากับหลักประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เราก็ควรยึดถือคุณค่านั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเกิดขึ้นระหว่างใครกับใคร
3. Relevance คือการจะทำอย่างไรให้ไทยกลับมามีบทบาทบนเวทีโลก ในเมื่อหลายปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือกันหลายประเทศ และขนาดประเทศไทยเอง ก็ไม่ได้ใหญ่เทียบเท่าประเทศมหาอำนาจ ซึ่งสิ่งที่เราต้องมาทบทวน คือทำอย่างไรให้กลไกระหว่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศอย่างอาเซียน เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในการแก้ไขปัญหาที่กระทบมากกว่าหนึ่งประเทศ
ทำอย่างไรที่จะให้เราออกแบบ หรือคิดแนวทางการปฏิรูปกลไกอาเซียน เพื่อแก้ปัญหาภายในภูมิภาคได้มีอย่างประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาพรวมของอาเซียนมีเป้าหมายร่วมกัน ที่จะทำให้ภูมิภาคนี้มีบทบาท ต่อสถานการณ์ที่ตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ
วิโรจน์ ไม่เห็นด้วย ศาลรธน.ก้าวล่วงอำนาจบริหาร ชี้หากเศรษฐาพ้นนายกฯ ต้องไปด้วยกลไกสภา
https://www.matichon.co.th/politics/news_4592225
วิโรจน์ ไม่เห็นด้วย องค์กรอิสระก้าวก่ายอำนาจบริหาร ชี้หากเศรษฐาพ้นนายกฯ ต้องเป็นกลไกสภา
จากกรณี ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง 40 ส.ว. กรณีขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และนายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์เอ็กซ์ว่า
“ถ้าคุณเศรษฐาต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ก็ต้องพ้นด้วยกลไกของรัฐสภา ที่ยึดโยงกับประชาชน
ผมไม่เห็นด้วยกับการสถาปนาอำนาจให้กับองค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญ ให้มาก้าวล่วงอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ อย่างที่สังคมกำลังคลางแคลงใจกันอยู่”
https://x.com/wirojlak/status/1793814740739014921
ดีเซลขึ้นไม่หยุด! กบน.เคาะขึ้น 50 สตางค์ ขายปลีกพุ่งลิตรละ 32.44 บาทแล้ว มีผลพรุ่งนี้
https://www.matichon.co.th/economy/news_4592580
กบน. ขึ้นดีเซลอีก 50 สต. ดันขายปลีกพุ่งลิตรละ 32.44 บ. มีผลพรุ่งนี้
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีรายจ่ายน้อยลงแต่ยังขาดสภาพคล่อง ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าควรมีการเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ในช่วงเวลานี้ เพื่อให้การบริหารจัดการกองทุนน้ำมัน สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคตทั้งด้านการเงินและสถานการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังมีความผันผวนต่อเนื่องจากสถานการณ์ด้านสงครามและเศรษฐกิจ กบน.จึงมีมติลดอัตราเงินชดเชยประเภทน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 จาก 1.94 บาท/ลิตร เป็น 1.40 บาท/ลิตร เพื่อให้กองทุนน้ำมันมีรายจ่ายประเภทน้ำมันดีเซลลดลงประมาณวันละ 38.32 ล้านบาท จากวันละ 136.70 ล้านบาท เป็น 98.38 ล้านบาท การลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันประเภทดีเซลในครั้งนี้ส่งผลให้ราคาขายปลีกประเภทน้ำมันดีเซลปรับขึ้น 0.50 บาท/ลิตร เป็น 32.44 บาท/ลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ การพิจารณาดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ที่มีมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่ประชาชน โดยวางกรอบการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการเดิมที่สิ้นสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
และการดำเนินการนี้เป็นไปตามมติ กบน.เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 เห็นชอบในหลักการให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันดีเซลเพื่อให้ราคาขายปลีกเกินกว่า 30 บาทได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี กบน.จะพิจารณาลดการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลแบบค่อยเป็นค่อยไปให้เป็นไปตามช่วงเวลาและจังหวะที่เหมาะสม เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศไม่ให้ผันผวนมากจนเกินไป และกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนให้น้อยที่สุด
สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2567 ติดลบ 110,854 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 63,230 ล้านบาท ส่วนก๊าซ LPG ติดลบ 47,624 ล้านบาท