- เหมือนเป็นทั้งภาคเริ่มต้น , ภาคต่อ และ ภาคแยกของหนังสารคดีเรื่อง Kids Konference (2022) ก็ว่าได้ เพราะเป็นผลงานการกำกับของ Tomo Goda ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นคนเดียวกัน ซึ่งไม่รู้ว่าเรื่องไหนถ่ายก่อน ถ่ายหลัง หรือ ถ่ายพร้อมกัน เพราะเห็นว่าเข้าฉายในปีเดียวกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือยังคงวนเวียนอยู่กับการนำเสนอชีวิตครอบครัวชนชั้นกลางขนาดเล็กที่มีฉากหลังเป็นประเทศญี่ปุนด้วยวิธีการเล่าผสมระหว่างความเป็น Document กึ่ง Biography ในโทนภาพที่สดใสด้วยวิธีการ Reality ตามติดทุกรูขุมขนและจับเข่าคุยนั่งซักถามเป็นรายบุคคล เปลี่ยนจากเด็ก ๆ มาเป็นแม่ ๆ เป็นตัวเดินเรื่องและมีพ่อเป็นบทสมทบ ขณะที่เด็ก ๆ ก็ไม่ได้หายไปไหนยังมีบทบาทสำคัญอยู่แถมเป็นชนวนเหตุสำคัญให้เหล่าคุณเธอลุกขึ้นมาตั้งคำถามบ้านแตกสำหรับคนเป็นแม่ตามชื่อเรื่องว่า ถ้าฉันขอเลิกเป็นแม่จะได้มั้ย ?
- ตอนเห็นชื่อเรื่องก่อนดูนึกว่าพูดเอาขำแต่พอดูจบนึกถึงคำพูดที่ว่า มีลูกเมื่อพร้อม ขึ้นมาทันที แค่เปิดฉากเริ่มมาที่มีเสียงร้องของเด็กน้อยดังขึ้นจากความมืดเราก็เริ่มสัมผัสสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ได้ทันทีก่อนที่เผยภาพเป็นเด็กน้อยนอนร้องอยู่บนเตียงเหมือนเรียกหาใครคนหนึ่งทันใดนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งลุกขึ้นข้าง ๆ ปรากฎว่าเป็นแม่ของหนูน้อย จากนั้นเธอจึงอุ้มลูกขึ้นพร้อมกับเลิกเสื้อลงให้หนูน้อยดูดนมของเธอแล้วเสียงก็เงียบลงแต่ภาพยังมัว ๆ เหมือนยังไม่สร่างจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ระหว่างที่ Run อยู่จะมีชุดคำถามขึ้นมาจากปากซ้ำ ๆ ว่า ฉันขอเลิกเป็นแม่ได้มั้ย ? , ฉันเป็นแม่แบบไหน ? , แล้วฉันจะต้องทำตัวอย่างไรให้สมกับเป็นแม่ที่ดี ? ตามความรู้สึกของ 4 ครอบครัวที่ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นด้วยวิธีการตัดสลับฉากไปมาหาสู่จนสับสนว่าขณะนั้นกำลังเกิดขึ้นในบ้านไหนอยู่ จำหน้าได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ดูต่อไปได้เรื่อย ๆ เพราะได้ดนตรีประกอบในจังหวะสนุกสนานตาม Theme ครอบครัวสุขสันต์แทรกด้วยภาพ Animation 2D ช่วยส่งเสริมให้การเล่ามีจังหวะสนุก เป็นมิตร และไม่คร่ำครึไปกับสาระที่พรรณนาด้วยความจริงใจ แต่รู้สึกเอื่อย ๆ กับความเนิบใน Life ของแต่ละบ้านที่ไม่ได้แตกต่างเท่าไหร่ เวลาจะทำ Activity อะไรก็ต้องมีลูกอยู่ด้วย แม้กระทั่งตอนนอนจนเห็นความรู้สึกที่อัดอั้นผ่านบทสนทนาหน้ากล้องของแม่ ๆ ว่า จะร้องหาพระแสงอะไรอีก กูเหนื่อย กูเลี้ยงมาทั้งวันแล้ว ให้กูนอนพักบ้างเหอะ แล้วถีบไป 1 ดอก มันเลยทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่าเลี้ยงลูกไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย
- ช่วงท้ายที่เหลือเวลา 15 นาทีก่อนจะจบ รู้สึกว่าจงใจขยี้เรียก Drama เกินไปจนจะกลายเป็นโฆษณาประกันชีวิตเข้าไปทุกที โอเคว่านำเสนอ Part Drama ได้ดีแถมอินตามได้อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะ Scene ที่มีครอบครัวหนึ่งที่สูญเสียคนรักไปจากภาวะซึมเศร้าหลังคลอดจนเสียชีวิตทำเอาเผลอน้ำตาคลอเบ้าออกมาเองโดยอัตโนมัติ ใจจริงอยากให้จบลงที่ Part ครอบครัวไหนจำไม่ได้ที่แม่บอกความในใจกับลูกสาวคนโตแล้วเข้ามากอดในท่านั่งด้วยกันแล้ว แต่พอหลังจากนั้นหนังก็ถ่ายภาพ Life ครอบครัวแต่ละบ้านวนสลับซ้ำ ๆ เหมือนตอนเปิดเรื่องแล้วสรุปแบบรวบ ๆ อีกที นอกจากปวดหัวกับการลำดับภาพที่ไม่รู้จะใส่เข้ามาเพื่อสั่งเสียหรือให้ความรู้สึกทรมานใจเล่น ๆ ด้วยความอึดอัด ขนาดใส่ดนตรีและภาพ Animation สำทับประกอบก็ไม่ช่วยให้อยากติดตามต่อไปแล้ว เออ ถ้าสรุปเป็น case ๆ ไปจะเข้าใจง่ายกว่า
- สรุป ดูง่าย แต่จะมึนกับการตัดฉากที่ไม่ได้เรียงเป็นเส้นตรงแต่ก็เป็นมิตรต่อผู้ชมสำหรับดูเพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนที่คิดจะมีลูกหรือมีลูกแล้วก็ตาม ด้วยภายในเวลา 1 ชั่วโมง 31 นาที ถึงไม่ได้เจาะลึกทุกซอกมุมอย่างละเอียดว่าตัวพ่อแม่รู้จักกันได้ยังไง หรือ สำรวจนิสัยตัวละครแต่ละคนว่าเป็นอย่างไรถึงขั้นขุดรากขึ้นมาเผาแต่การถ่ายวาร์ปติดชีวิตครอบครัวแต่ละบ้านไปมา หรือ ตัวพ่อแม่นั่งเคลียร์กันบนโต๊ะเรื่องลูกก็พอที่จะประติดประต่อเรื่องราวจนแอบรู้สึกว่าเดินผ่านไปค่อนข้างไวเหมือนกัน อีกทั้งให้ข้อคิดว่าชีวิตหลังแต่งงานไม่ได้ Happy Ending ตามสูตรละครไทย แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างครอบครัวหลังจากนี้ การเป็นแม่คนก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ไม่ใช่ใครก็เป็นได้ บางคนไม่ได้เกิดมาเป็นแม่ อย่างดีเป็นได้แค่ผลิตลูกที่มาจากเชื้ออสุจิแค่นั้น ขณะที่ผู้ชายก็ถูกได้รับบทเป็นผู้นำ ออกไปทำงานหาเงินเข้าบ้าน พอมีเวลาเหลือจากเลิกงานก็ออกไปสุมหัวกับเพื่อนตามร้านเหล้า แวะไปหากิ๊กน้อยเพื่อถ่วงเวลาเลี้ยงลูกแล้วค่อยเสนอหน้ากลับมาบ้านอ้างว่าติดธุระเพื่อจะได้โยนภาระไปให้อีกฝ่ายอย่างแนบเนียน ฉะนั้นบอกรักอย่างเดียวไม่พอ สำคัญคือหน้าที่ที่ทั้งคู่ตกลงจะมีตั้งแต่แรก ไหนจะเรื่องเงิน , การงาน , การศึกษา หรือ สภาพความเป็นอยู่อีก เพราะ สิ่งเหล่านี้มีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ขนาดประเทศญี่ปุ่นที่มีระบบสวัสดิการครอบคลุมยังเจอกับภาวะความเครียดจากการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูงจนเกิดการฆ่าตัวตาย นับประสาอะไรกับในดินแดนคนดีย์ที่มีสภาพเป็นหลังตีนทุกภาคส่วนไม่ต้องไปนึกถึงสวัสดิการแบบบ้านเขา ทำได้แต่ยกตีนก่ายหน้าผากนอนแห้งล่วงหน้าเลยว่า วันนี้กูจะเอาอะไรให้ลูกกูแดก กับระบบโครงสร้างสุดโค่ยเรียกเห้แบบนี้ สิ่งที่ทำได้คือหมั่นดูแลและให้กำลังใจที่ไม่ใช่พูดปากเปล่าหรือมีปัญหาก็ไล่ไปหาหมอเสร็จแล้วให้ยาแดกกลับบ้านเปล่า ๆ อย่างนั้น มันไม่ช่วยได้ดีขึ้นไปกว่าการ Action ให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า เออ กูตั้งใจช่วยจริง ๆ ถ้าตอบในมุมผมก็ให้ถามใจตนเองว่าอยากมีหรือเปล่า ? ถ้าอยากมีก็ลุยเต็มที่ไม่ต้องคร่ำครวญแต่ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้องหาทำ ทั้งนี้จะเลือกแบบไหนก็สุดแท้แต่
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.100 May I Quit Being a Mom ! ? (2022) By Singorama & ปลูกสุข Festival
- เหมือนเป็นทั้งภาคเริ่มต้น , ภาคต่อ และ ภาคแยกของหนังสารคดีเรื่อง Kids Konference (2022) ก็ว่าได้ เพราะเป็นผลงานการกำกับของ Tomo Goda ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นคนเดียวกัน ซึ่งไม่รู้ว่าเรื่องไหนถ่ายก่อน ถ่ายหลัง หรือ ถ่ายพร้อมกัน เพราะเห็นว่าเข้าฉายในปีเดียวกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือยังคงวนเวียนอยู่กับการนำเสนอชีวิตครอบครัวชนชั้นกลางขนาดเล็กที่มีฉากหลังเป็นประเทศญี่ปุนด้วยวิธีการเล่าผสมระหว่างความเป็น Document กึ่ง Biography ในโทนภาพที่สดใสด้วยวิธีการ Reality ตามติดทุกรูขุมขนและจับเข่าคุยนั่งซักถามเป็นรายบุคคล เปลี่ยนจากเด็ก ๆ มาเป็นแม่ ๆ เป็นตัวเดินเรื่องและมีพ่อเป็นบทสมทบ ขณะที่เด็ก ๆ ก็ไม่ได้หายไปไหนยังมีบทบาทสำคัญอยู่แถมเป็นชนวนเหตุสำคัญให้เหล่าคุณเธอลุกขึ้นมาตั้งคำถามบ้านแตกสำหรับคนเป็นแม่ตามชื่อเรื่องว่า ถ้าฉันขอเลิกเป็นแม่จะได้มั้ย ?
- ตอนเห็นชื่อเรื่องก่อนดูนึกว่าพูดเอาขำแต่พอดูจบนึกถึงคำพูดที่ว่า มีลูกเมื่อพร้อม ขึ้นมาทันที แค่เปิดฉากเริ่มมาที่มีเสียงร้องของเด็กน้อยดังขึ้นจากความมืดเราก็เริ่มสัมผัสสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ได้ทันทีก่อนที่เผยภาพเป็นเด็กน้อยนอนร้องอยู่บนเตียงเหมือนเรียกหาใครคนหนึ่งทันใดนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งลุกขึ้นข้าง ๆ ปรากฎว่าเป็นแม่ของหนูน้อย จากนั้นเธอจึงอุ้มลูกขึ้นพร้อมกับเลิกเสื้อลงให้หนูน้อยดูดนมของเธอแล้วเสียงก็เงียบลงแต่ภาพยังมัว ๆ เหมือนยังไม่สร่างจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ระหว่างที่ Run อยู่จะมีชุดคำถามขึ้นมาจากปากซ้ำ ๆ ว่า ฉันขอเลิกเป็นแม่ได้มั้ย ? , ฉันเป็นแม่แบบไหน ? , แล้วฉันจะต้องทำตัวอย่างไรให้สมกับเป็นแม่ที่ดี ? ตามความรู้สึกของ 4 ครอบครัวที่ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นด้วยวิธีการตัดสลับฉากไปมาหาสู่จนสับสนว่าขณะนั้นกำลังเกิดขึ้นในบ้านไหนอยู่ จำหน้าได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ดูต่อไปได้เรื่อย ๆ เพราะได้ดนตรีประกอบในจังหวะสนุกสนานตาม Theme ครอบครัวสุขสันต์แทรกด้วยภาพ Animation 2D ช่วยส่งเสริมให้การเล่ามีจังหวะสนุก เป็นมิตร และไม่คร่ำครึไปกับสาระที่พรรณนาด้วยความจริงใจ แต่รู้สึกเอื่อย ๆ กับความเนิบใน Life ของแต่ละบ้านที่ไม่ได้แตกต่างเท่าไหร่ เวลาจะทำ Activity อะไรก็ต้องมีลูกอยู่ด้วย แม้กระทั่งตอนนอนจนเห็นความรู้สึกที่อัดอั้นผ่านบทสนทนาหน้ากล้องของแม่ ๆ ว่า จะร้องหาพระแสงอะไรอีก กูเหนื่อย กูเลี้ยงมาทั้งวันแล้ว ให้กูนอนพักบ้างเหอะ แล้วถีบไป 1 ดอก มันเลยทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่าเลี้ยงลูกไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย
- ช่วงท้ายที่เหลือเวลา 15 นาทีก่อนจะจบ รู้สึกว่าจงใจขยี้เรียก Drama เกินไปจนจะกลายเป็นโฆษณาประกันชีวิตเข้าไปทุกที โอเคว่านำเสนอ Part Drama ได้ดีแถมอินตามได้อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะ Scene ที่มีครอบครัวหนึ่งที่สูญเสียคนรักไปจากภาวะซึมเศร้าหลังคลอดจนเสียชีวิตทำเอาเผลอน้ำตาคลอเบ้าออกมาเองโดยอัตโนมัติ ใจจริงอยากให้จบลงที่ Part ครอบครัวไหนจำไม่ได้ที่แม่บอกความในใจกับลูกสาวคนโตแล้วเข้ามากอดในท่านั่งด้วยกันแล้ว แต่พอหลังจากนั้นหนังก็ถ่ายภาพ Life ครอบครัวแต่ละบ้านวนสลับซ้ำ ๆ เหมือนตอนเปิดเรื่องแล้วสรุปแบบรวบ ๆ อีกที นอกจากปวดหัวกับการลำดับภาพที่ไม่รู้จะใส่เข้ามาเพื่อสั่งเสียหรือให้ความรู้สึกทรมานใจเล่น ๆ ด้วยความอึดอัด ขนาดใส่ดนตรีและภาพ Animation สำทับประกอบก็ไม่ช่วยให้อยากติดตามต่อไปแล้ว เออ ถ้าสรุปเป็น case ๆ ไปจะเข้าใจง่ายกว่า
- สรุป ดูง่าย แต่จะมึนกับการตัดฉากที่ไม่ได้เรียงเป็นเส้นตรงแต่ก็เป็นมิตรต่อผู้ชมสำหรับดูเพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนที่คิดจะมีลูกหรือมีลูกแล้วก็ตาม ด้วยภายในเวลา 1 ชั่วโมง 31 นาที ถึงไม่ได้เจาะลึกทุกซอกมุมอย่างละเอียดว่าตัวพ่อแม่รู้จักกันได้ยังไง หรือ สำรวจนิสัยตัวละครแต่ละคนว่าเป็นอย่างไรถึงขั้นขุดรากขึ้นมาเผาแต่การถ่ายวาร์ปติดชีวิตครอบครัวแต่ละบ้านไปมา หรือ ตัวพ่อแม่นั่งเคลียร์กันบนโต๊ะเรื่องลูกก็พอที่จะประติดประต่อเรื่องราวจนแอบรู้สึกว่าเดินผ่านไปค่อนข้างไวเหมือนกัน อีกทั้งให้ข้อคิดว่าชีวิตหลังแต่งงานไม่ได้ Happy Ending ตามสูตรละครไทย แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างครอบครัวหลังจากนี้ การเป็นแม่คนก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ไม่ใช่ใครก็เป็นได้ บางคนไม่ได้เกิดมาเป็นแม่ อย่างดีเป็นได้แค่ผลิตลูกที่มาจากเชื้ออสุจิแค่นั้น ขณะที่ผู้ชายก็ถูกได้รับบทเป็นผู้นำ ออกไปทำงานหาเงินเข้าบ้าน พอมีเวลาเหลือจากเลิกงานก็ออกไปสุมหัวกับเพื่อนตามร้านเหล้า แวะไปหากิ๊กน้อยเพื่อถ่วงเวลาเลี้ยงลูกแล้วค่อยเสนอหน้ากลับมาบ้านอ้างว่าติดธุระเพื่อจะได้โยนภาระไปให้อีกฝ่ายอย่างแนบเนียน ฉะนั้นบอกรักอย่างเดียวไม่พอ สำคัญคือหน้าที่ที่ทั้งคู่ตกลงจะมีตั้งแต่แรก ไหนจะเรื่องเงิน , การงาน , การศึกษา หรือ สภาพความเป็นอยู่อีก เพราะ สิ่งเหล่านี้มีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ขนาดประเทศญี่ปุ่นที่มีระบบสวัสดิการครอบคลุมยังเจอกับภาวะความเครียดจากการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูงจนเกิดการฆ่าตัวตาย นับประสาอะไรกับในดินแดนคนดีย์ที่มีสภาพเป็นหลังตีนทุกภาคส่วนไม่ต้องไปนึกถึงสวัสดิการแบบบ้านเขา ทำได้แต่ยกตีนก่ายหน้าผากนอนแห้งล่วงหน้าเลยว่า วันนี้กูจะเอาอะไรให้ลูกกูแดก กับระบบโครงสร้างสุดโค่ยเรียกเห้แบบนี้ สิ่งที่ทำได้คือหมั่นดูแลและให้กำลังใจที่ไม่ใช่พูดปากเปล่าหรือมีปัญหาก็ไล่ไปหาหมอเสร็จแล้วให้ยาแดกกลับบ้านเปล่า ๆ อย่างนั้น มันไม่ช่วยได้ดีขึ้นไปกว่าการ Action ให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า เออ กูตั้งใจช่วยจริง ๆ ถ้าตอบในมุมผมก็ให้ถามใจตนเองว่าอยากมีหรือเปล่า ? ถ้าอยากมีก็ลุยเต็มที่ไม่ต้องคร่ำครวญแต่ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้องหาทำ ทั้งนี้จะเลือกแบบไหนก็สุดแท้แต่
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้