Furiosa: A Mad Max Saga (2024) - บ้าคลั่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

Furiosa: A Mad Max Saga -  ฟูริโอซ่า มหากาพย์แมดแม็กซ์


กำกับโดย George Miller

เชื่อว่าใครที่เคยดู Mad Max: Fury Road (2015) จะต้องหลงรักในความบ้าดีเดือดของจักรวาล Mad Max

มาวันนี้ ผู้กำกับ "จอร์จ มิลเลอร์" ได้สานต่อตำนานอีกครั้งกับ Furiosa: A Mad Max Saga (2024) ซึ่งบอกได้เลยว่า ขึ้นแท่นหนังประทับใจในปีนี้ไปแล้ว เหมือนที่เคยหลงรัก Top Gun: Maverick (2022)

ความรู้สึกหลังชม

- ความประทับใจแรก ขอยกนิ้วให้กับ "วิสัยทัศน์" ของผู้กำกับ

Furiosa: A Mad Max Saga ว่าด้วยชีวิตเบื้องต้นของ "ฟูริโอซ่า" ตัวละครสำคัญที่เคยปรากฏใน Mad Max: Fury Road 

โลกของ Mad Max คือ โลกที่ล่มสลาย ทรัพยากรทุกอย่างมีจำกัด ส่งผลให้เกิดกลุ่มนักรบต่าง ๆ รบปล้นแย่งชิงทรัพยากร เพื่อความอยู่รอด ทุกคนต่างย้อนกลับไปใช้เทคโนโลยียุคเก่า เช่น เครื่องจักรกล รวมถึงรถยนต์สันดาป


"ฟูริโอซ่า" (Anya Taylor-Joy) เคยมีชีวิตที่เงียบสงบ ทว่าโชคชะตาพาให้เธอเข้าไปอยู่ในวงจรการแย่งชิงอำนาจระหว่าง "เดเมนทัส" และ "อิมมอร์ทัล โจ" 

ในแดนกันดาร (Wasteland) พายุแห่งความวุ่นวายได้ก่อร่างสร้าง "แรงแค้น" ทำให้ฟูริโอซ่าเป็นคนที่แข็งแกร่ง พร้อมกับบ่มเพาะ "เปลวเพลิงแห่งการแก้แค้น" ที่พร้อมจะเผาคนที่เคยทำร้ายเธอให้มอดไหม้


- จากพล็อตที่กล่าวมา Furiosa: A Mad Max Saga อาจไม่ใช่หนังที่มีพล็อตใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้หนังต่างจากเรื่องอื่น คือ "ความคิดสร้างสรรค์ ความเข้มข้น และเทคนิคทางภาพยนตร์"

หนังมีความสร้างสรรค์ในหลายมุม ทั้งแง่ดีไซน์ ฉากแอ็คชั่น คิวบู๊ ลูกเล่นมุมกล้อง ความคิดสร้างสรรค์มาเต็ม ทำให้เราว้าวได้ตลอด

ขณะที่อารมณ์ในเรื่องอัดแน่นด้วยความเข้มข้น เช่น ความเป็นเพียวแอ็คชั่น ความบ้าคลั่ง และซีนดราม่า ทำให้เราลุ้นระทึกไปกับหนังตั้งแต่ต้นจนจบ

ส่วนงานเทคนิค มุมกล้อง การโคลสอัพ การตัดต่อ ดนตรี และเสียงประกอบ บิ้วอารมณ์ได้ระทึกสุดยอด


- นี่เป็นตัวอย่างหนังที่บทดี ด้วยเส้นเรื่องใหญ่ขึ้น แต่แกร่งเเข้มในทางของตัวเอง แถมแอบซ่อนความเซอร์ไพร์สเอาไว้มาเรื่อย ๆ ทำให้อยากรู้เรื่องราวต่อไป

ที่สำคัญ เรื่องราวยังต่อเนื่องเชื่อมกับ Mad Max: Fury Road ได้สมบูรณ์แนบสนิท

- ชอบการใช้ "ภาษาภาพยนตร์" หนังใช้ภาษาภาพยนตร์ได้สวย เช่น การส่งผ่านอารมณ์ของแต่ละตัวละคร ไดอะล็อกไม่ต้องเยอะ แต่ด้วยการสื่อสารระหว่างดวงตา สีหน้าท่าทาง บริบทเรื่อง งานภาพ งานเสียง ดนตรีประกอบ ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นวิธีการเล่าเรื่องที่คมยิ่งกว่าการใช้บทสนทนาเสียอีก


- พาร์ทนักแสดง ชอบทุกคนเลย

- ดนตรีประกอบรู้สึกว่า มีความเรียลมากขึ้น ส่วนใน Mad Max: Fury Road จะค่อนไปทางมันส์บันเทิงเลย

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

สรุป

ไม่ใช่เรื่องง่ายในการสร้างหนังแอ็คชั่น 2 ชั่วโมงครึ่งให้มีคุณภาพดีเยี่ยมขนาดนี้ ผู้กำกับ จอร์จ มิลเลอร์ แสดงให้เห็นว่า

"หนังแอ็คชั่นที่ดุเดือดบ้าคลั่ง ก็สามารถพัฒนาให้เป็นงานที่เปี่ยมด้วยความสร้างสรรค์ อัดแน่นด้วยพลังงาน แถมยังมีเทคนิคทางภาพยนตร์ที่ประณีตเฉียบคม"

ถ้าถามความชอบ ระหว่างทั้งสองภาค รู้สึกประทับใจ Mad Max: Fury Road มากกว่า ตรงที่มีความออริจินัล และเส้นเรื่องที่เรียบง่าย 

อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณภาพที่เป็นอยู่ของ Furiosa: A Mad Max Saga ส่วนตัวว่ามีโอกาสไปถึงออสการ์ในหลายสาขา รวมถึง Best Picture

ใครสนใจแนะนำให้ดูในโรง หนังแบบนี้ Cinematic Experience สำคัญจริง ๆ

____________________________________

ป.ล. ไม่ดูภาคก่อนก็รู้เรื่อง แต่ถ้าดูมาจะอินขึ้น

ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพูดคุยติดต่อ

               
Lemon8: BENJI Review
IG: benjireview
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่