โรม สงสัยเคสตั้งพิชิต เพื่อไทยถูกวางยาหรือไม่ ชี้แปลกๆ กฤษฎีกาก็ตอบ เท่าที่รบ.ถาม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4590018
‘โรม’ ชี้ ‘เศรษฐา’ ตั้ง ‘พิชิต’ นั่งรมต.มีปัญหาแน่ เหตุอาจถาม ‘กฤษฎีกา’ ไม่ครบถ้วน งง คน ‘เพื่อไทย’ มีเยอะ ทำไมตั้งคนนี้ มอง ถูกวางยาหรือไม่ เหน็บ นายกฯ มีประสบการณ์ไม่มาก อาจตามไม่ทัน แนะ ควรตั้งคนนั่งตำแหน่งจากความสามารถไม่ใช่ผลตอบแทนบุญคุณ ถาม แต่นายกฯ รู้จริงหรือไม่
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 23 พฤษภาคม 2567 ที่รัฐสภา นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมวินิจฉัยจะรับคำร้องของ 40 ส.ว. เกี่ยวกับคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ นาย
พิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือไม่ ว่า ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้การจะตั้งคนเป็นรัฐมนตรีมีลักษณะคุณสมบัติอยู่ ซึ่งเมื่อตั้งไปแล้วต้องมีการพิจารณาว่า คุณสมบัติมีอะไร หากเป็นคุณสมบัติที่ไม่ได้ชัดแจ้ง เรื่องนี้ก็อาจจะมีการถกเถียงกันได้ แต่ต้องยอมรับอีกว่า เรื่องนี้สังคมก็รับรู้ว่านาย
พิชิตมีเรื่องของถุงขนม 2 ล้านบาท มีการถูกเพิกถอนใบอนุญาตทนายความ และอาจจะถูกคำพิพากษาจำคุก 6 เดือนด้วยซ้ำ ดังนั้น ในเรื่องของจริยธรรมต่างๆ มีปัญหาแน่นอน
นาย
รังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ฉะนั้น การที่ นาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตั้งนาย
พิชิตก็มีปัญหาแน่นอนว่าสุดท้าย การตั้งก็อาจจะกระทบต่อการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรี และมากไปกว่านั้นคือ หากพิจารณาต่อไปเราจะพบว่า การปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเท่าที่ตนได้ฟังข้อเท็จจริงก็ชัดว่า มีการถามในลักษณะที่ไม่ครบถ้วน และทางคณะกฤษฎีกาก็ให้ข่าวเองว่า ถามแค่ไหน ตอบแค่นั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทำให้เห็นว่า การใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีย่อมจะต้องถูกตรวจสอบได้ และเมื่อถูกตรวจสอบได้ก็จะเกิดประเด็นว่า การตรวจสอบนั้น อาจทำให้นายกรัฐมนตรีมีปัญหา ถึงขนาดที่ว่า สามารถพ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรีได้โดยศาลรัฐธรรมนูญ
นาย
รังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ปัญหาเรื่องนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้น และตนไม่แน่ใจว่า ทีมกฎหมายที่ให้คำปรึกษานายกรัฐมนตรี ให้คำปรึกษากันอย่างไร ทำไมจึงตั้งนาย
พิชิตเช่นนี้ และต่อให้ไม่มีการไปยื่น ผมก็เชื่อว่ากรณีคุณสมบัติหรือสิ่งที่นาย
พิชิตเคยทำจะถูกตรวจสอบในสภาฯ โดยฝ่ายค้านแน่นอนว่าการตั้งบุคคลในลักษณะเช่นนี้มีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น แต่รัฐบาลชุดที่แล้วก็มีการตั้งรัฐมนตรีที่อาจจะมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมต่างๆ ขึ้นมา
“
ผมแปลกใจที่คนของเพื่อไทยมีหลายคน แต่ทำไม จึงเลือกที่จะตั้งนายพิชิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ผมคิดต่อว่า มีการวางยากันหรือไม่ คงเป็นปัญหาภายในของรัฐบาลที่แสดงให้เห็นถึงความไม่มีเสถียรภาพ และสิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือหลังจากที่มีการปรับคณะรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีลาออกถึง 3 คน และผมคิดว่า เรื่องนี้กระทบต่อทุกภาคส่วนที่สูญเสียความเชื่อมั่น เนื่องจากรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ” นาย
รังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามว่า มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการพยายามฟอกขาว ก่อนจะมีการตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนคิดว่าคงไม่เป็นการฟอกขาว และหากดูจากปฏิกิริยาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ไม่คิดว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะไม่ทำตามสั่งซ้ายหันขวาหันของรัฐบาล แต่อาจจะมีกระบวนการบางอย่างที่อาจจะทำให้นายกรัฐมนตรีหลงเชื่อหรือไม่ เพื่อที่จะสามารถ ทำให้ตั้งนาย
พิชิตได้ โดยที่คำถามต่างๆ อาจจะถามไม่ครบ และคิดว่า นาย
เศรษฐาซึ่งเป็นผู้ที่อาจจะมีประสบการณ์ทางการเมืองไม่มากนัก อาจจะไม่เท่าทันหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องดูกันต่อไป
“
ผมคิดว่า วันนี้รัฐบาลควรเป็นตัวอย่างคือการตั้งคนที่มีคุณสมบัติ มีความสามารถ แต่ประเภทที่ตอบแทนการในเรื่องของบุญคุณกันมา เปลี่ยนผลัดกันไปทุก 6-7 เดือน ผมคิดว่าไม่ควรเกิดขึ้น ส่วนนายเศรษฐาจะเป็นคนที่รู้จริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” นาย
รังสิมันต์ กล่าว
ไอลอว์ เสนอขยายเวลาสมัคร สว. – เลขา กกต.ยืนยัน พอแล้ว อีก 2 วันเป็นแสนคนก็รับไหว
https://www.matichon.co.th/politics/thai-senate-2024/news_4589863
เดินหน้าสู่การสมัคร สว.วันที่ 3
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการ อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์ เปิดเผยว่า ทางไอลอว์ เสนอให้ กกต.ขยายเวลารับสมัคร จากเดิมถึงวันศุกร์ที่ 24 พ.ค. นี้ไปอีก 2 วัน นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. มั่นใจ 5 วันเพียงพอ มาเป็นแสนก็รับได้.
‘ดบ.สูง-ศก.ชะลอตัว-หนี้ครัวเรือนพุ่ง’ ผู้บริโภคไร้เชื่อมั่นซื้อที่อยู่อาศัย ไตรมาสแรกดัชนีวูบเหลือ 39.2%
https://www.matichon.co.th/economy/news_4589960
‘ดบ.สูง-ศก.ชะลอตัว-หนี้ครัวเรือนพุ่ง’ ผู้บริโภคไร้เชื่อมั่นซื้อที่อยู่อาศัย ไตรมาสแรกดัชนีวูบเหลือ 39.2%
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ดร.
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในภาพรวมของไตรมาส 1 ปี 2567 มีค่าดัชนีเท่ากับระดับ 39.2 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 (QoQ) ที่มีค่าดัชนีเท่ากับระดับ 44.5 และเป็นระดับความเชื่อมั่นที่ต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีความเชื่อมั่นในระดับเกณฑ์ต่ำ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นตลอดปี 2566 และยังคงตัวในระดับสูงในไตรมาสนี้ ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยโดยตรง รวมทั้งอยู่ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย อีกทั้งหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับเกินว่าร้อยละ 90 ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยไม่มีความพร้อมทางการเงิน ส่งผลให้มีความกังวลต่อการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพราะเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธสินเชื่อ และยังได้สอดคล้องกับข้อมูลโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่มีหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงร้อยละ -24.0 และมีมูลค่าลดลงร้อยละ -25.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) จะเห็นว่าความเชื่อมั่นและความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยลดลงมากในไตรมาสนี้
ดร.
วิชัยกล่าวว่า นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ ยังได้ศึกษาถึงกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจในมิติต่างๆ ดังนี้
ลักษณะทางประชาการศาสตร์ของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 53.1 และส่วนใหญ่มีอายุอยู่ระหว่าง 25-34 ปีหรือเป็นคนกลุ่ม Gen Y และ Gen Z มากที่สุดร้อยละ 51.9 ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีระดับการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าคิดเป็นร้อยละ 72.2 ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ร้อยละ 60.6 มีอาชีพเป็นพนักงานเอกชน และส่วนใหญ่ร้อยละ 36.3 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ในช่วง 15,001-30,000 บาท ทั้งนี้ ลักษณะทางประชากรศาสตร์ในภาพรวมมีความใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า ทั้งด้าน เพศ ช่วงอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน
ดร.
วิชัยกล่าวว่า สำหรับวัตถุประสงค์ในการซื้อที่อยู่ใหม่ พบว่า ผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ร้อยละ 32.6 ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง อันดับสอง คือต้องการซื้อเพื่อลงทุนเก็งกำไร/ให้เช่าร้อยละ 18.4 และอันดับสาม ซื้อเพื่อเป็นทรัพย์สินร้อยละ 14.9 จะเห็นว่าวัตถุประสงค์ที่ซื้อเพื่อลงทุนและเป็นทรัพย์สิน มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 33.3 แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยให้ความสำคัญกับการลงทุน สะสมความมั่งคั่งและสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต และหากเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเลือกพิจารณาที่มีสัดส่วนมากขึ้น คือ ต้องการซื้อเพื่อลงทุนเก็งกำไร/ให้เช่า และต้องการแยกครอบครัว/แต่งงาน โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 18.4 และ 9.6 จากร้อยละ 12.4 และ ร้อยละ 7.5 ตามลำดับ
ดร.
วิชัยกล่าวว่า เมื่อพิจารณาลักษณะความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย พบว่า ส่วนใหญ่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยทั้งมือหนึ่งหรือมือสองร้อยละ 52.8 และหากพิจารณาเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 พบว่าผู้ที่ต้องการเฉพาะที่อยู่อาศัยมือหนึ่งเท่านั้นมีสัดส่วนเป็น ร้อยละ 38.9 ลดลงจากร้อยละ 41.5 ในขณะที่ผู้ที่ต้องการเฉพาะที่อยู่อาศัยมือสองมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 8.2 จากร้อยละ 6.9 ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่าผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีความสนใจบ้านมือสองมากขึ้น โดยส่วนใหญ่การซื้อจะอยู่ในช่วงระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.2 รองลงมาได้แก่ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.8 ซึ่งทั้งสองช่วงระดับราคาดังกล่าวเป็นกลุ่มหลัก มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 51.0 และพบว่าผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคาสูงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 (QoQ) โดยมีข้อสังเกตได้จากผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคา 10.01 – 15.00 ล้านบาท และ 15.01 – 20.00 ล้านบาท มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 4.0 และ ร้อยละ 4.9 จากร้อยละ 1.1 และ 0.3 ตามลำดับ
ดร.
วิชัยกล่าวว่า ส่วนประเภทที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคต้องการซื้อส่วนใหญ่ เป็นบ้านเดี่ยว ร้อยละ 39.3 และต้องการซื้อในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด รองลงมาคือคอนโดมิเนียมร้อยละ 34.9 โดยต้องการซื้อในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด สำหรับทาวน์เฮ้าส์มีความต้องการซื้อร้อยละ 20.0 และส่วนใหญ่ต้องการซื้อในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มากที่สุด ส่วนบ้านแฝดมีความต้องการซื้อร้อยละ 5.5 และส่วนใหญ่ต้องการซื้อในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด และอาคารพาณิชย์มีความต้องการซื้อร้อยละ 0.3 และต้องการซื้อในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด และหากพิจารณาเทียบกับอายุของผู้ตอบพบว่า กลุ่มผู้มีอายุอยู่ระหว่าง 18-44 ปี มีความสนใจซื้อบ้านเดี่ยวมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มผู้ที่มีอายุระหว่าง 45-54 ปี และ 55 ปีขึ้นไป มีความสนใจซื้อคอนโดมิเนียมมากที่สุด ซึ่งอาจเกิดจากความต้องการซื้อเพื่อลงทุนและเก็งกำไรเนื่องจากมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแล้ว
ดร.
วิชัยกล่าวว่า ส่วนจังหวัดที่มีความสนใจจะซื้อที่อยู่อาศัย เมื่อพิจารณาจังหวัดที่มีความสนใจจะซื้อที่อยู่อาศัยมากที่สุด 10 อันดับแรก ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม ชลบุรี สมุทรสาคร เชียงใหม่ ภูเก็ต และประจวบคีรีขันธ์ โดยพบว่าส่วนใหญ่มีความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานครสูงถึงร้อยละ 48.1 โดยเฉพาะทำเลตามแนวรถไฟฟ้าสายหลัก ใกล้แหล่งงานหรือแหล่งชุมชน เช่น ทำเลพระราม 9 บางนา บางแค ลาดพร้าว และห้วยขวาง ทั้งนี้ จังหวัดในอันดับที่ 2-10 มีสัดส่วนอยู่ระหว่างร้อยละ 1.4 ถึง 10.6 ในขณะที่จังหวัดอื่นๆ มีความต้องการซื้อรวมเพียงร้อยละ 6.6
JJNY : โรมสงสัยเคสตั้งพิชิต│ไอลอว์เสนอขยายเวลาสมัครสว.│ผู้บริโภคไร้เชื่อมั่นซื้อที่อยู่│ไต้หวันระดมทหาร หลังจีนซ้อมรบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4590018
‘โรม’ ชี้ ‘เศรษฐา’ ตั้ง ‘พิชิต’ นั่งรมต.มีปัญหาแน่ เหตุอาจถาม ‘กฤษฎีกา’ ไม่ครบถ้วน งง คน ‘เพื่อไทย’ มีเยอะ ทำไมตั้งคนนี้ มอง ถูกวางยาหรือไม่ เหน็บ นายกฯ มีประสบการณ์ไม่มาก อาจตามไม่ทัน แนะ ควรตั้งคนนั่งตำแหน่งจากความสามารถไม่ใช่ผลตอบแทนบุญคุณ ถาม แต่นายกฯ รู้จริงหรือไม่
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 23 พฤษภาคม 2567 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมวินิจฉัยจะรับคำร้องของ 40 ส.ว. เกี่ยวกับคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ นายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือไม่ ว่า ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้การจะตั้งคนเป็นรัฐมนตรีมีลักษณะคุณสมบัติอยู่ ซึ่งเมื่อตั้งไปแล้วต้องมีการพิจารณาว่า คุณสมบัติมีอะไร หากเป็นคุณสมบัติที่ไม่ได้ชัดแจ้ง เรื่องนี้ก็อาจจะมีการถกเถียงกันได้ แต่ต้องยอมรับอีกว่า เรื่องนี้สังคมก็รับรู้ว่านายพิชิตมีเรื่องของถุงขนม 2 ล้านบาท มีการถูกเพิกถอนใบอนุญาตทนายความ และอาจจะถูกคำพิพากษาจำคุก 6 เดือนด้วยซ้ำ ดังนั้น ในเรื่องของจริยธรรมต่างๆ มีปัญหาแน่นอน
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ฉะนั้น การที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตั้งนายพิชิตก็มีปัญหาแน่นอนว่าสุดท้าย การตั้งก็อาจจะกระทบต่อการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรี และมากไปกว่านั้นคือ หากพิจารณาต่อไปเราจะพบว่า การปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเท่าที่ตนได้ฟังข้อเท็จจริงก็ชัดว่า มีการถามในลักษณะที่ไม่ครบถ้วน และทางคณะกฤษฎีกาก็ให้ข่าวเองว่า ถามแค่ไหน ตอบแค่นั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทำให้เห็นว่า การใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีย่อมจะต้องถูกตรวจสอบได้ และเมื่อถูกตรวจสอบได้ก็จะเกิดประเด็นว่า การตรวจสอบนั้น อาจทำให้นายกรัฐมนตรีมีปัญหา ถึงขนาดที่ว่า สามารถพ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรีได้โดยศาลรัฐธรรมนูญ
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ปัญหาเรื่องนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้น และตนไม่แน่ใจว่า ทีมกฎหมายที่ให้คำปรึกษานายกรัฐมนตรี ให้คำปรึกษากันอย่างไร ทำไมจึงตั้งนายพิชิตเช่นนี้ และต่อให้ไม่มีการไปยื่น ผมก็เชื่อว่ากรณีคุณสมบัติหรือสิ่งที่นายพิชิตเคยทำจะถูกตรวจสอบในสภาฯ โดยฝ่ายค้านแน่นอนว่าการตั้งบุคคลในลักษณะเช่นนี้มีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น แต่รัฐบาลชุดที่แล้วก็มีการตั้งรัฐมนตรีที่อาจจะมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมต่างๆ ขึ้นมา
“ผมแปลกใจที่คนของเพื่อไทยมีหลายคน แต่ทำไม จึงเลือกที่จะตั้งนายพิชิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ผมคิดต่อว่า มีการวางยากันหรือไม่ คงเป็นปัญหาภายในของรัฐบาลที่แสดงให้เห็นถึงความไม่มีเสถียรภาพ และสิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือหลังจากที่มีการปรับคณะรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีลาออกถึง 3 คน และผมคิดว่า เรื่องนี้กระทบต่อทุกภาคส่วนที่สูญเสียความเชื่อมั่น เนื่องจากรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ” นายรังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามว่า มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการพยายามฟอกขาว ก่อนจะมีการตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนคิดว่าคงไม่เป็นการฟอกขาว และหากดูจากปฏิกิริยาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ไม่คิดว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะไม่ทำตามสั่งซ้ายหันขวาหันของรัฐบาล แต่อาจจะมีกระบวนการบางอย่างที่อาจจะทำให้นายกรัฐมนตรีหลงเชื่อหรือไม่ เพื่อที่จะสามารถ ทำให้ตั้งนายพิชิตได้ โดยที่คำถามต่างๆ อาจจะถามไม่ครบ และคิดว่า นายเศรษฐาซึ่งเป็นผู้ที่อาจจะมีประสบการณ์ทางการเมืองไม่มากนัก อาจจะไม่เท่าทันหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องดูกันต่อไป
“ผมคิดว่า วันนี้รัฐบาลควรเป็นตัวอย่างคือการตั้งคนที่มีคุณสมบัติ มีความสามารถ แต่ประเภทที่ตอบแทนการในเรื่องของบุญคุณกันมา เปลี่ยนผลัดกันไปทุก 6-7 เดือน ผมคิดว่าไม่ควรเกิดขึ้น ส่วนนายเศรษฐาจะเป็นคนที่รู้จริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” นายรังสิมันต์ กล่าว
ไอลอว์ เสนอขยายเวลาสมัคร สว. – เลขา กกต.ยืนยัน พอแล้ว อีก 2 วันเป็นแสนคนก็รับไหว
https://www.matichon.co.th/politics/thai-senate-2024/news_4589863
เดินหน้าสู่การสมัคร สว.วันที่ 3 ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการ อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์ เปิดเผยว่า ทางไอลอว์ เสนอให้ กกต.ขยายเวลารับสมัคร จากเดิมถึงวันศุกร์ที่ 24 พ.ค. นี้ไปอีก 2 วัน นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. มั่นใจ 5 วันเพียงพอ มาเป็นแสนก็รับได้.
‘ดบ.สูง-ศก.ชะลอตัว-หนี้ครัวเรือนพุ่ง’ ผู้บริโภคไร้เชื่อมั่นซื้อที่อยู่อาศัย ไตรมาสแรกดัชนีวูบเหลือ 39.2%
https://www.matichon.co.th/economy/news_4589960
‘ดบ.สูง-ศก.ชะลอตัว-หนี้ครัวเรือนพุ่ง’ ผู้บริโภคไร้เชื่อมั่นซื้อที่อยู่อาศัย ไตรมาสแรกดัชนีวูบเหลือ 39.2%
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในภาพรวมของไตรมาส 1 ปี 2567 มีค่าดัชนีเท่ากับระดับ 39.2 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 (QoQ) ที่มีค่าดัชนีเท่ากับระดับ 44.5 และเป็นระดับความเชื่อมั่นที่ต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีความเชื่อมั่นในระดับเกณฑ์ต่ำ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นตลอดปี 2566 และยังคงตัวในระดับสูงในไตรมาสนี้ ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยโดยตรง รวมทั้งอยู่ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย อีกทั้งหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับเกินว่าร้อยละ 90 ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยไม่มีความพร้อมทางการเงิน ส่งผลให้มีความกังวลต่อการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพราะเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธสินเชื่อ และยังได้สอดคล้องกับข้อมูลโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่มีหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงร้อยละ -24.0 และมีมูลค่าลดลงร้อยละ -25.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) จะเห็นว่าความเชื่อมั่นและความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยลดลงมากในไตรมาสนี้
ดร.วิชัยกล่าวว่า นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ ยังได้ศึกษาถึงกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจในมิติต่างๆ ดังนี้
ลักษณะทางประชาการศาสตร์ของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 53.1 และส่วนใหญ่มีอายุอยู่ระหว่าง 25-34 ปีหรือเป็นคนกลุ่ม Gen Y และ Gen Z มากที่สุดร้อยละ 51.9 ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีระดับการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าคิดเป็นร้อยละ 72.2 ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ร้อยละ 60.6 มีอาชีพเป็นพนักงานเอกชน และส่วนใหญ่ร้อยละ 36.3 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ในช่วง 15,001-30,000 บาท ทั้งนี้ ลักษณะทางประชากรศาสตร์ในภาพรวมมีความใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า ทั้งด้าน เพศ ช่วงอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน
ดร.วิชัยกล่าวว่า สำหรับวัตถุประสงค์ในการซื้อที่อยู่ใหม่ พบว่า ผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ร้อยละ 32.6 ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง อันดับสอง คือต้องการซื้อเพื่อลงทุนเก็งกำไร/ให้เช่าร้อยละ 18.4 และอันดับสาม ซื้อเพื่อเป็นทรัพย์สินร้อยละ 14.9 จะเห็นว่าวัตถุประสงค์ที่ซื้อเพื่อลงทุนและเป็นทรัพย์สิน มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 33.3 แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยให้ความสำคัญกับการลงทุน สะสมความมั่งคั่งและสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต และหากเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเลือกพิจารณาที่มีสัดส่วนมากขึ้น คือ ต้องการซื้อเพื่อลงทุนเก็งกำไร/ให้เช่า และต้องการแยกครอบครัว/แต่งงาน โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 18.4 และ 9.6 จากร้อยละ 12.4 และ ร้อยละ 7.5 ตามลำดับ
ดร.วิชัยกล่าวว่า เมื่อพิจารณาลักษณะความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย พบว่า ส่วนใหญ่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยทั้งมือหนึ่งหรือมือสองร้อยละ 52.8 และหากพิจารณาเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 พบว่าผู้ที่ต้องการเฉพาะที่อยู่อาศัยมือหนึ่งเท่านั้นมีสัดส่วนเป็น ร้อยละ 38.9 ลดลงจากร้อยละ 41.5 ในขณะที่ผู้ที่ต้องการเฉพาะที่อยู่อาศัยมือสองมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 8.2 จากร้อยละ 6.9 ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่าผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีความสนใจบ้านมือสองมากขึ้น โดยส่วนใหญ่การซื้อจะอยู่ในช่วงระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.2 รองลงมาได้แก่ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.8 ซึ่งทั้งสองช่วงระดับราคาดังกล่าวเป็นกลุ่มหลัก มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 51.0 และพบว่าผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคาสูงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 (QoQ) โดยมีข้อสังเกตได้จากผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคา 10.01 – 15.00 ล้านบาท และ 15.01 – 20.00 ล้านบาท มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 4.0 และ ร้อยละ 4.9 จากร้อยละ 1.1 และ 0.3 ตามลำดับ
ดร.วิชัยกล่าวว่า ส่วนประเภทที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคต้องการซื้อส่วนใหญ่ เป็นบ้านเดี่ยว ร้อยละ 39.3 และต้องการซื้อในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด รองลงมาคือคอนโดมิเนียมร้อยละ 34.9 โดยต้องการซื้อในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด สำหรับทาวน์เฮ้าส์มีความต้องการซื้อร้อยละ 20.0 และส่วนใหญ่ต้องการซื้อในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มากที่สุด ส่วนบ้านแฝดมีความต้องการซื้อร้อยละ 5.5 และส่วนใหญ่ต้องการซื้อในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด และอาคารพาณิชย์มีความต้องการซื้อร้อยละ 0.3 และต้องการซื้อในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด และหากพิจารณาเทียบกับอายุของผู้ตอบพบว่า กลุ่มผู้มีอายุอยู่ระหว่าง 18-44 ปี มีความสนใจซื้อบ้านเดี่ยวมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มผู้ที่มีอายุระหว่าง 45-54 ปี และ 55 ปีขึ้นไป มีความสนใจซื้อคอนโดมิเนียมมากที่สุด ซึ่งอาจเกิดจากความต้องการซื้อเพื่อลงทุนและเก็งกำไรเนื่องจากมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแล้ว
ดร.วิชัยกล่าวว่า ส่วนจังหวัดที่มีความสนใจจะซื้อที่อยู่อาศัย เมื่อพิจารณาจังหวัดที่มีความสนใจจะซื้อที่อยู่อาศัยมากที่สุด 10 อันดับแรก ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม ชลบุรี สมุทรสาคร เชียงใหม่ ภูเก็ต และประจวบคีรีขันธ์ โดยพบว่าส่วนใหญ่มีความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานครสูงถึงร้อยละ 48.1 โดยเฉพาะทำเลตามแนวรถไฟฟ้าสายหลัก ใกล้แหล่งงานหรือแหล่งชุมชน เช่น ทำเลพระราม 9 บางนา บางแค ลาดพร้าว และห้วยขวาง ทั้งนี้ จังหวัดในอันดับที่ 2-10 มีสัดส่วนอยู่ระหว่างร้อยละ 1.4 ถึง 10.6 ในขณะที่จังหวัดอื่นๆ มีความต้องการซื้อรวมเพียงร้อยละ 6.6