ตรวจแถว 7 หุ้นเชื่อมโยงรัฐบาลเศรษฐา รอบ 9 เดือน ราคาพุ่ง-ดิ่ง แค่ไหน

ตรวจแถว 7 หุ้นเชื่อมโยงรัฐบาลเศรษฐา รอบ 9 เดือน หุ้น PR9 22 ส.ค.66 ราคาปิดที่ 17.10 บาท ล่าสุด 20 พ.ค.67 ราคาปิดที่ 18.30 บาท เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 1.2 บาท หรือ +7.02% ขณะที่ อีก 6 หลักทรัพย์ติดลมาก มากสุด SC-25.80%

ลุ้นระทึกอีกครั้งสำหรับพรรคเพื่อไทย หลังจากที่ กลุ่ม สว. จำนวน 40 คนร่วมลงชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เพราะขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 
ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวของนายพิชิต อาจจะชิงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับคำร้องหรือไม่ ในวันที่ 23 พ.ค. นี้ เนื่องจากที่ผ่านมามีกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถูกฟ้องร้อง ชิงจังหวะลาออกจากตำแหน่ง ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับคำร้อง ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับเรื่องไว้วินิจฉัย
 
อย่างไรก็ตาม ถ้านับ ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค.2566 ซึ่งเป็นวันที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาไทยได้ลงมติเห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งให้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ฉะนั้น 22 พ.ค.2567 จะครบ 9 เดือนพอดี โดยที่ผ่านมา‘รัฐบาลเศรษฐา’ ต้องเผชิญกับแรงกดดันหลายด้านทั้งมุมการเมือง เศรษฐกิจ รวมไปถึงตลาดหุ้นไทย ที่ยังไปไม่ไกลอย่างที่ถูกตั้งความหวังไว้เท่าไรนัก 
ทั้งนี้  “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจหุ้นในกลุ่ม “รัฐบาลเศรษฐา” ที่มีความเชื่อมโยงและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ราคามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

1.บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) PR9
วันที่ 22 ส.ค.66 ราคาปิดที่ 17.10 บาท 
วันที่ 20 พ.ค.67 ราคาปิดที่ 18.30 บาท 
เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 1.2 บาท หรือ +7.02%
กำไร ไตรมาส 1/67 ที่ 159 ล้านบาท
รายได้ ไตรมาส 1/67 ที่ 1,093 ล้านบาท

2.บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) XPG 
วันที่ 22 ส.ค.66 ราคาปิดที่ 1.46 บาท 
วันที่ 20 พ.ค.67 ราคาปิดที่ 1.23 บาท 
เปลี่ยนแปลงลดลง 0.23 บาท หรือ -15.75%
กำไร ไตรมาส 1/67 ที่ 51 ล้านบาท
รายได้ ไตรมาส 1/67 ที่ 233 ล้านบาท

3.บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) SIRI
วันที่ 22 ส.ค.66 ราคาปิดที่ 2.02 บาท 
วันที่ 20 พ.ค.67 ราคาปิดที่ 1.66 บาท 
เปลี่ยนแปลงลดลง 0.36 บาท หรือ -17.82%
กำไร ไตรมาส 1/67 ที่ 1,315 ล้านบาท
รายได้ ไตรมาส 1/67 ที่ 10,226 ล้านบาท 

4.บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) PTG
วันที่ 22 ส.ค.66 ราคาปิดที่ 10.70 บาท 
วันที่ 20 พ.ค.67 ราคาปิดที่ 8.75 บาท 
เปลี่ยนแปลงลดลง 1.95 บาท หรือ -18.22%
กำไร ไตรมาส 1/67 ที่ 256 ล้านบาท
รายได้ ไตรมาส 1/67 ที่ 55,083 ล้านบาท

5.บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) STEC
วันที่ 22 ส.ค.66 ราคาปิดที่ 11.90 บาท 
วันที่ 20 พ.ค.67 ราคาปิดที่ 9.70 บาท 
เปลี่ยนแปลงลดลง 2.2 บาท หรือ -18.49%
กำไร ไตรมาส 1/67 ที่ 528 ล้านบาท
รายได้ ไตรมาส 1/67 ที่ 29,860 ล้านบาท

6.บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) STPI 
วันที่ 22 ส.ค.66 ราคาปิดที่ 3.94 บาท 
วันที่ 20 พ.ค.67 ราคาปิดที่ 3.16 บาท 
เปลี่ยนแปลงลดลง 0.78 บาท หรือ -19.79%
กำไร ไตรมาส 1/67 ที่ 211 ล้านบาท
รายได้ ไตรมาส 1/67 ที่ 1,143 ล้านบาท

7.บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) SC
วันที่ 22 ส.ค.66 ราคาปิดที่ 4.34 บาท 
วันที่ 20 พ.ค.67 ราคาปิดที่ 3.22 บาท 
เปลี่ยนแปลงลดลง 1.12 บาท หรือ -25.80%
กำไร ไตรมาส 1/67 ที่ 183 ล้านบาท
รายได้ ไตรมาส 1/67 ที่ 4,024 ล้านบาท

ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้ข้อมูลกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ในช่วง 9 เดือนที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงหนักหนาสาหัส ทำสุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี อยู่ที่ 1340 จุด ขณะที่จีดีพีไตรมาส 1/67 ออกมาขยายตัวได้ดีที่ 1.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจด้วยว่าภาพโดยรวมการทำงานเพื่อประคองตัว เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถเบิกจ่ายงบได้อย่างเต็มที่จากงบประมาณปี 2567 ขณะที่ภายใต้การทำงานของรัฐบาลที่มีข้อจำกัด พยายามที่จะใช้กฎกระทรวงเข้ามาช่วย ในการปรับแก้กฎกระทรวงต่าง ๆ ทำให้มีการขยับเคลื่อนได้บ้าง เช่น มีการปรับลดค่าโอน มีการขยายกรอบจากบ้านราคา 3 ล้านบาท เป็น 7 ล้านบาท ที่จะสามารถยื่นลดหย่อนภาษีได้ ทำให้ช่วยตลาดอสังหาฯ ได้บ้าง เพียงแต่ว่า ขณะนี้ยังไม่เริ่มเห็นผล เพราะเนื่องจากกำลังซื้อในประเทศยังคงต้องรอเวลาฟื้น

ส่วนกลุ่มรับเหมา หลังจากนี้คาดว่าจะเริ่มดีขึ้นจากการที่รัฐบาลได้ใช้งบปี 2567 เม็ดเงินลงทุนกว่า 7 แสนล้านบาทจะต้องมีการระบายออกมา แต่ยังคงไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้ เพราะจากกระบวนการเริ่มตั้งแต่ผลักดันโครงการ รวมถึงมีการสำรวจสิ่งแวดล้อม และร่าง TOR อาจต้องใช้เวลา แต่จะเริ่มค่อย ๆ ดีขึ้น ปานปรีย์ พหิทธานุกร ได้ลาออกไปแล้ว ก็ยังคงต้องดูว่ารัฐมนตรีที่เข้ามาดูกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่นั้นจะเป็นใคร

อย่างไรก็ตาม ในแง่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ได้ พิชัย ชุณหวชิร เข้ามา ซึ่งงานแรกได้พิสูจน์แล้วว่า สอบผ่านในการที่แสวงหาจุดร่วม และหลีกเลี่ยงจุดต่างกับธนาคารแห่งประเทศ ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะก่อนหน้านี้การทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนก่อน ดูจะไม่เสริมกันมากนัก ขณะที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเน้นเรื่องการเมิองเป็นหลัก 

และคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะเริ่มมีการตอบรับที่ดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  โดยเฉพาะ จีดีพีไตรมาส 1/67 ออกมาดีกว่าคาด เพราะก่อนหน้าไม่มีใครมองว่าจะปรับขึ้นมาได้มากนัก ขณะที่การขับเคลื่อนของกระทรวงการคลัง มีหน้าที่กำกับตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกที น่าจะได้เห็นมาตรการต่าง ๆ จาก ตลาดหลักทรัพย์ และ ก.ล.ต.ออกมาในเร็ว ๆ นี้  และคาดว่า น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีในการกระตุ้นตลาดหุ้นไทยได้ 

ดร.วรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตลอดที่ผ่านมายังไม่ได้มีการเห็นสิ่งที่ดีขึ้นกับตลาดหุ้นไทย หากนับไปตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ช่วงเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้งไม่ได้ได้มีความแตกต่าง ซึ่งดัชนีหุ้นไทยยังคงวิ่งอยู่ในบริเวณ 1300 จุด แต่ไม่เกิน 1400 จุด ไม่ได้มีการขยับมากนัก ซึ่งบ่งบอกได้ว่า วอลุ่มเทรดไม่มีมากนักตามที่ควรจะเป็น 

ขณะที่ในแง่ของนโยบายในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจน และยังคงต้องรอดูต่อไปหลังจากที่ ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะหมดวาระลง และมีการรับสมัครท่านใหม่อยู่ 

อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลพยายามจะผลักดันนโยบาย ๆ แต่ยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจน เช่น โครงการดิจิทัลวอเล็ตมีอุปสรรคค่อนข้างจะมาก รวมถึงตลาดอสังหาฯ ที่พยายามช่วยโดยการปรับลดค่าโอนให้มีธนาคารออมสินมาช่วยปล่อยสินเชื่อ ซึ่งถือว่า เพิ่งเริ่มจึงยังไม่เห็นอิมแพกกลับมายังต้องหุ้นไทยสักเท่าไรนัก ซึ่งยังคงต้องรอ 

“ที่ผ่านมาได้เห็นความพยายามของรัฐบาล เพราะก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่า ท่านนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เป็นนักธุรกิจด้วย ท่านก็จะมีความเข้าใจ แต่อาจจะต้องรอ หรืออาจหามาตรการเพื่อมาแก้ไขกับบางอย่าง กรณีเคส หุ้น MORE และ STARK หรือหุ้นกู้ที่เมื่อมีปัญหาอาจจะต้องทำให้เร็วขึ้น เพราะปัจจุบันการดำเนินงานยังคงมีความช้ามาก เพราะปัญหาเหล่านี้ ถือว่าเป็นความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย” 
ปัจจุบันกระทรวงการคลังมีทีมทำงานอยู่หลายท่าน อาจจะต้องเข้ามาตรงจุดนี้อย่างจริงจัง และให้เห็นผลภายในระยะเวลา 3 เดือน หรือ 6 เดือน เพราะหากเทียบกับกรณีหุ้น MORE ที่มีความยืดเยื้อมากว่า 2 ปีแล้ว ซึ่งถือว่า เป็นอีกหนึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน

Cr. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1127715

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่