หุ้นลีสซิ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มหุ้นยอดนิยมของนักลงทุน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันหลากหลาย ทั้งต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับสูง และภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ดังนั้นในช่วง 2/67 ผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มลีสซิ่งจะเป็นอย่างไร จะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้าได้หรือไม่ Wealthy Thai ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจของ 3 หุ้นใหญ่ในกลุ่มลีสซิ่งอย่าง MTC, SAWAD และ TIDLOR มาฝาก
มาเริ่มกันที่ MTC นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดวันที่ 6 ส.ค. 67 บริษัทจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 ที่ 1,415 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2% จากไตรมาสก่อนหน้า เพราะการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ย (NII) จากสินเชื่อรวมที่ขยายตัว จากกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกันเป็นหลัก ซึ่งได้ประโยชน์จากช่วงเปิดเทอมและฤดูเพาะปลูก และการขยายสาขา
ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio อยู่ที่ 3.10% จาก 3.03% ในไตรมาส 1/67 ตามความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และเป็นช่วงที่ลูกค้าต้องการใช้เงินสำหรับช่วงเปิดเทอม และช่วงเพาะปลูก คาดกำไรสุทธิปี 2567 จะกลับมาเติบโต 16% จากปีก่อน อยู่ที่ 5,685 ล้านบาท เด่นสุดในกลุ่มฯ ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์ยังชอบ MTC มากสุดในกลุ่ม Consumer Finance คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 55 บาท
ถัดมา TIDLOR นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดวันที่ 8 ส.ค. 67 บริษัทจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 ที่ 1,060 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะรายได้ดอกเบี้ย (NII) เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของสินเชื่อ และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ขยายตัว จากรายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าขายประกัน
.
ทั้งนี้ คาดกำไรไตรมาส 2/67 จะปรับตัวลดลง 4% จากไตรมาส 1/67 เพราะค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนหน้า จากการตัดจำหน่ายหนี้สูญ (write-off) ที่เพิ่มขึ้น และ NPL Ratio อยู่ที่ 1.70% เพิ่มต่อจากไตรมาส 1/67 ที่ระดับ 1.60% จากกลุ่มรถ 4 ล้อและรถบรรทุก โดยปรับกำไรปี 2567 ลงมาอยู่ที่ 4,261 ล้านบาท ยังโต 5% จากปีก่อน และปรับราคาเป้าหมายมาที่ 19 บาท จากเดิม 22 บาท แต่คงคำแนะนำ Neutral
สุดท้าย SAWAD นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรไตรมาส 2/67 จะอยู่ที่ 1,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2.5% จากไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ ถึงแม้จะคาดว่าต้นทุนดอกเบี้ย การตั้งสำรอง และค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นก็ตาม
ถึงแม้ว่า SAWAD จะยังอยู่ในช่วงปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ แต่คาดว่าสินเชื่อในไตรมาส 2/67 จะเร่งตัวขึ้น 2.3% จากไตรมาสก่อนที่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพียง 1.1% แต่ NPL อาจยังเพิ่มขึ้นต่อจากไตรมาสก่อนที่มีอยู่ 3.1% ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 5,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% จากปีก่อน โดยคาดว่าครึ่งปีหลังสินเชื่อน่าจะเร่งตัวขึ้นและทำให้กำไรเพิ่มขึ้นมากกว่ากว่าครึ่งปีแรก ดังนั้นยังคงราคาพื้นฐาน 47 บาท และคงแนะนำ “ซื้อ”
จากภาพรวมข้างต้น ต้องรอติดตามว่างบการเงินของหุ้นแต่ละตัวจะออกมาใกล้เคียงกับนักวิเคราะห์คาดการณ์หรือไม่ และช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีพัฒนาการเชิงบวกในด้านธุรกิจอัปเดตอย่างไร
ส่องพื้นฐาน 3 หุ้นใหญ่กลุ่มลีสซิ่ง ไตรมาส 2 กำไรเติบโตไหม ?
มาเริ่มกันที่ MTC นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดวันที่ 6 ส.ค. 67 บริษัทจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 ที่ 1,415 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2% จากไตรมาสก่อนหน้า เพราะการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ย (NII) จากสินเชื่อรวมที่ขยายตัว จากกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกันเป็นหลัก ซึ่งได้ประโยชน์จากช่วงเปิดเทอมและฤดูเพาะปลูก และการขยายสาขา
ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio อยู่ที่ 3.10% จาก 3.03% ในไตรมาส 1/67 ตามความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และเป็นช่วงที่ลูกค้าต้องการใช้เงินสำหรับช่วงเปิดเทอม และช่วงเพาะปลูก คาดกำไรสุทธิปี 2567 จะกลับมาเติบโต 16% จากปีก่อน อยู่ที่ 5,685 ล้านบาท เด่นสุดในกลุ่มฯ ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์ยังชอบ MTC มากสุดในกลุ่ม Consumer Finance คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 55 บาท
ถัดมา TIDLOR นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดวันที่ 8 ส.ค. 67 บริษัทจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 ที่ 1,060 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะรายได้ดอกเบี้ย (NII) เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของสินเชื่อ และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ขยายตัว จากรายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าขายประกัน
.
ทั้งนี้ คาดกำไรไตรมาส 2/67 จะปรับตัวลดลง 4% จากไตรมาส 1/67 เพราะค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนหน้า จากการตัดจำหน่ายหนี้สูญ (write-off) ที่เพิ่มขึ้น และ NPL Ratio อยู่ที่ 1.70% เพิ่มต่อจากไตรมาส 1/67 ที่ระดับ 1.60% จากกลุ่มรถ 4 ล้อและรถบรรทุก โดยปรับกำไรปี 2567 ลงมาอยู่ที่ 4,261 ล้านบาท ยังโต 5% จากปีก่อน และปรับราคาเป้าหมายมาที่ 19 บาท จากเดิม 22 บาท แต่คงคำแนะนำ Neutral
สุดท้าย SAWAD นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรไตรมาส 2/67 จะอยู่ที่ 1,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2.5% จากไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ ถึงแม้จะคาดว่าต้นทุนดอกเบี้ย การตั้งสำรอง และค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นก็ตาม
ถึงแม้ว่า SAWAD จะยังอยู่ในช่วงปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ แต่คาดว่าสินเชื่อในไตรมาส 2/67 จะเร่งตัวขึ้น 2.3% จากไตรมาสก่อนที่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพียง 1.1% แต่ NPL อาจยังเพิ่มขึ้นต่อจากไตรมาสก่อนที่มีอยู่ 3.1% ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 5,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% จากปีก่อน โดยคาดว่าครึ่งปีหลังสินเชื่อน่าจะเร่งตัวขึ้นและทำให้กำไรเพิ่มขึ้นมากกว่ากว่าครึ่งปีแรก ดังนั้นยังคงราคาพื้นฐาน 47 บาท และคงแนะนำ “ซื้อ”
จากภาพรวมข้างต้น ต้องรอติดตามว่างบการเงินของหุ้นแต่ละตัวจะออกมาใกล้เคียงกับนักวิเคราะห์คาดการณ์หรือไม่ และช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีพัฒนาการเชิงบวกในด้านธุรกิจอัปเดตอย่างไร