== Drishyam 2: The Resumption (2021) บทสรุป.. ของภาพลวง.... ==



จอร์ชคุตตี้ เขามีภรรยาและลูกสาวที่น่ารัก 2 คน ในคืนวันนึงที่ฝนตกหนัก 
ลูกสาวของเขาพลั้งมือทำให้เด็กหนุ่มลูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยศใหญ่เสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจ 
หลังจากที่เด็กหนุ่มคนนั้นเอาคลิปวีดีโอหวังขู่แบล็คเมล์ให้เธอได้รับความอับอาย... 
จอร์ชคุตตี้จำเป็นต้องปกป้องครอบครัวของตน เขาเป็นคนจัดการกับศพเด็กหนุ่มคนนั้น 
และวางแผนทุกอย่างเพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้ได้ว่าศพของ ‘วรุณ’ เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ที่ใด...



เวลาผ่านมา 6 ปี จอร์ชที่ก่อนหน้านี้ทำธุรกิจเคเบิลทีวีตามบ้านเขาได้ต่อยอดธุรกิจโดยทำโรงหนังในชุมชน 
นอกจากนี้ความฝันของเขาก็คือการสร้างหนังเป็นของตัวเอง จอร์ชได้ติดต่อนายทุนพัฒนาหนังของเขา
ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ภรรยาของเขาไม่เห็นด้วยกับการที่สามีของตนลงทุนมหาศาลกับโปรเจ็คต์นี้ 
ซึ่งต้องใช้เวลามาก และที่สำคัญหนังเรื่องที่ว่าก็ยังไม่ได้เป็นรูปเป็นร่างสักที



ขณะเดียวกันฝั่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่ยอมแพ้กับการตามหาความจริงที่ว่าศพของวรุณอยู่ที่ไหน 
พวกเขาได้ส่งสายสืบลงพื้นที่เพื่อหวังหาความคืบหน้า แต่เวลายิ่งเลยผ่าน ความหวังที่จะสืบคดีให้ได้นั้นดูเหมือนยิ่งห่างไกลไปทุกที... 
จนกระทั่ง......



ต้องบอกก่อนนะครับว่า Drishyam หนังเรื่องนี้ที่ผมกำลังจะพูดถึงเป็นหนังอินเดียภาษามลยาฬัม (อ่านว่า มะ-ละ-ยา-ลำ) 
ซึ่งเป็นหนังของรัฐเกรละทางตอนใต้ของอินเดีย ผลงานการเขียนบทและกำกับของ Jeethu Joseph 
ซึ่งงานภาคแรกของเขามีขึ้นในปี 2013 จุดเริ่มต้นของคดีทั้งหมด และประสบความสำเร็จมากกกกกกก 
จนมีเวอร์ชั่นภาษาเตลูกูตามมาซึ่ง Jeethu กำกับเหมือนกัน 
แต่เวอร์ชั่นที่บ้านเรารู้จักกันดี และทำให้หลายคนชื่นชอบหนังอินเดียแนวนี้นั้น เป็นฮินดีเวอร์ชั่นในปี 2015 
ที่กำกับโดย Nishikant Kamat นำแสดงโดยดาราดังสุดฮอตขวัญใจแม่ยกอย่าง Ajay Devgn



Drishyam2 : The Resumption ก็เช่นกันครับ ที่ผมรีวิวนี่คือ Original เวอร์ชั่น ภาษามลยาฬัม 
ออกฉายในปี 2021 หรือห่างจากภาคแรก 8 ปี และเวอร์ชั่นภาษาฮินดีก็ตามหลังจากนั้นอีก 1 ปีด้วยกัน 
บางท่านดูแล้วอาจจะคิดว่าทำไมตัวแสดงถึงไม่เหมือนกันเลย ชื่อก็เปลี่ยนไปหมด 
นี่คือคำอธิบายข้อสงสัยที่ว่านั้นล่ะครับ เพราะมีการรีเมคหนังเป็นภาษาอินเดียในแต่ละภูมิภาคนั่นเอง 
(หนังที่ดังมากๆ ในอินเดียมักรีเมคกันแบบนี้)



ผมเชื่อว่าทุกท่านดู Drishyam เวอร์ชั่นรีเมคฮินดีกันหมด ทำให้จำภาพตัวเอกอย่าง Ajay Devgn 
ชายร่างใหญ่สุดเท่ห์ที่ปกป้องคนในครอบครัวจากภัยรอบด้าน แต่ถ้าดูในเวอร์ชั่นต้นฉบับชื่อตัวเอกจะเป็นจอร์ชคุตตี้ 
นำแสดงโดย Mohanlal แทน ซึ่งคนคนนี้ดังมากเป็นพระเอกระดับ Top ของธุรกิจหนังมลยาฬัม (Mollywood) เลยทีเดียว 
ถึงจะดูอ้วนๆพุงพลุ้ยไปนิด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ชมดูติดขัดอะไร ที่สำคัญพี่แกเล่นได้เหนือชั้นเหลือเกินในทุกซีน



สิ่งที่เราได้เห็นจาก Drishyam ภาคแรก ความต่อเนื่องในภาคนี้ก็คือเหตุการณ์หลังจากนั้นผ่านมา 6 ปี 
ครอบครัวของจอร์ชกำลังทำอะไรกันอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตกันตามปกติก็จริง 
แต่ภาพฝันร้ายก็ยังคงหลอกหลอนสมาชิกทุกคนโดยตลอด 
ไม่ว่าจะกับสามีภรรยาหรือลูกสาวทั้ง 2 ที่เป็นวัยรุ่นกำลังจะก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ..
รวมถึงฝั่งตำรวจที่ไม่ยอมลดละกับการเอาตัวคนผิดมาดำเนินคดีให้ได้



หนังยาวตามสไตล์หนังอินเดียซึ่งผู้ชมอาจมีเคลิ้มหลับได้เพราะอารัมภบทหลายอย่างดูยืดยาวจนบางครั้งมีหาวเช่นกัน 
แต่....ทุกอย่างที่หนังพูดถึง ความธรรมดาในแต่ละซีนนั้นล้วนแล้วแต่มีความสำคัญอย่างยิ่ง 
และมันจะนำไปสู่บทสรุปสุดท้ายที่คุณจะไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่า มันจะเป็นไปได้ถึงจุดนั้นได้ยังไง (มันพีคมากกก)



เรารู้มาตลอดว่าคนทำผิดย่อมต้องชดใช้กรรมไม่ว่าอะไรก็ตามที แต่เรื่องนี้ผู้ชมจะเอาใจช่วยคนทำผิดอย่างจอร์ชคุตตี้ 
ใช่แล้วครับ แม้ว่าครอบครัวเขาจะทำให้คนคนนึงต้องตาย แต่นั่นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นฝ่ายโดนกระทำข่มขู่ก่อน
ดังนั้นเวลาที่เหลือจากนี้ก็คือการพยายามเอาตัวรอดให้ได้ ทำยังไงก็เพื่อให้ครอบครัวของตนปลอดภัย 



นี่คือหนังแนว crime thriller  ที่เหนือชั้นมาก บทหนังวางไว้เจ๋งโคตรรรรรร.. 
ทุกอย่างวางไว้เป็นสเต็ปซึ่งจะถูกเฉลยไคลแม็กซ์ตอนท้ายให้คนดูได้สาสมใจกับการตามเฝ้าลุ้นว่าพระเอกจะรอดได้ไหม
ฝ่ายตำรวจจะสืบหาศพได้หรือป่าว.. รวมถึงเราจะได้เห็นความรักของคนในครอบครัวทั้งฝั่งพระเอกที่ทำทุกอย่าง (ย้ำว่าทุกอย่างจริงๆ)
เพื่อปกป้องลูกสาว และแน่นอนฝั่งของพ่อแม่วรุณ เด็กชายที่เสียชีวิต เขาก็ทำทุกทางเช่นกันเพื่อหาศพลูกชายตัวเองให้เจอ.. 



ผมชอบตอนจบของหนังมาก...เพราะบทสรุปสุดท้ายไม่ว่าใครก็ตาม 
ไม่มีใครหลุดบ่วงกรรมได้เลย ไม่มีใครหนีพ้นได้
มันคือบทส่งท้ายที่เป็นธรรมที่สุดสำหรับทุกฝ่ายแล้วจริงๆ....

=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร 
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่