เหตุระเบิดกาชาดที่อุ้มผางโดยทหารกะเหรี่ยง 2 คนซึ่งทั้งสองเป็นเยาวชนเพราะอายุ 16 และ 17 ปี ทำให้ผมนึกถึงคดีเก่าคดีหนึ่งที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก ของฆาตกรหมู่ที่สังหารหมู่ด้วยระเบิดมือซึ่งร้ายแรงเป็นอันดับ 11 ของโลก(en:Mass murders committed using grenades) ชายคนนั้นคือดัด ภูมลา อายุ 22 ปี คดีของดัดกับดิดิและจอลิทู มีความคล้ายเป็นอย่างมากเช่นสถานที่เกิดเหตุคือเวทีรำวง แรงจูงใจมาจากเจออริและมีเรื่องชกต่อยกัน ส่วนสิ่งที่ต่างคืออำเภอและจังหวัดที่เกิดเหตุ,อายุซึ่งใกล้กัน และโทษที่จะได้รับ เพราะมือระเบิดอุ้มผางทั้งสองยังมีอายุระหว่าง 15-18 ทำให้ไม่ทางรับโทษประหารเหมือนดัดได้...
เริ่มที่ประวัติของฆาตกรก่อน
ดัด ภูมลา
ดัด ภูมลา เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2493 หรือถ้าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่จะมีอายุ 74 ปี เป็นลูกคนที่ 5 จากพี่น้อง 6 คน ดัดจบการศึกษาระดับชั้นป.4 (ยุคนั้นมีป.1ถึง.7 และมศ.1 ถึง มศ.3) หลังจากเรียนจบได้ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนาตามสภาพสังคมสมัยนั้น บ้านของดัดอยู่ที่บ้านคำผึ้ง ตำบลผึ้งแดด อำเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม
หลายๆคนอาจเริ่มสงสัยว่าทำไมมีอำเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม คำตอบก็คือ อำเภอมุกดาหารคืออำเภอเมืองมุกดาหารในปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันตำบลผึ้งแดดอยู่ที่อำเภอเมืองมุกดาหาร โดยจังหวัดมุกดาหารแยกตัวจากนครพนมในวันที่27 กันยายน พ.ศ. 2525 ซึ่งขณะเกิดเรื่องยังเป็นส่วนหนึ่งของนครพนมอยู่จึงต้องใช้จังหวัดนครพนม
มาต่อที่นิสัยของดัด คือลักเล็กขโมยน้อยมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าการกระทำผิดเล็กน้อยมาตั้งแต่เด็กอาจพัฒนาเป็นการกระทำผิดรุนแรง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 ดัดหนีตำรวจไปลาว แล้วสมัครเป็นทหารรับจ้างที่ลาว สงครามที่ดัดไปรบน่าจะเป็นสงครามกลางเมืองลาว เพราะเกิดอยู่ในช่วงที่เกิดคดี ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2515 ดัดก็หนีทหารจากลาวมาที่ผึ้งแดด และแน่นอนดัดเอาอาวุธสงครามกลับมาด้วย ซึ่งรวมถึงระเบิดมือ และเหมือนกับสองทหารกะเหรี่ยงมือบึ้มงานกาชาดที่เอาระเบิดมือรุ่น เอ็มเคทู มาจากฝั่งพม่า
ในวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2515 ไม่กี่วันหลังจากหนีทหารจากลาว ดัดได้ไปเที่ยวงานวัดที่วัดสระบัวในตำบลผึ้งแดด เพื่อหาเหล้าดื่ม ต่อมาเขาเดินไปยังเวทีรำวง แล้วเข้าไปโค้งนางรำ เขาจึงไปมีเรื่องกับสามวัยรุ่นคือ จันทวี บุญรักษ์,สมบูรณ์ บุญรักษ์ และสงค์ สุพร ชาวบ้านตูม แล้วเกิดการชกต่อยขึ้น ต่อมามีวัยรุ่นคนหนึ่งต่อยดัดจนล้มลง ดัดเห็นว่า 1 ดัด สู้กับ 3 ชายฉกรรจ์บ้านตูม แพ้แน่ๆ จึงเก็บความแค้นเดินออกจากงานไป ซึ่งตัววัดสระบัวแห่งนี้ตั้งอยู่ในบ้านคำผึ้งจึงไม่ไกลจากบ้านดัดมาก
ดัดกลับไปพร้อมความแค้นแล้วไปหยิบของในบ้าน คือ "ระเบิดมือที่ใช้ยามสงคราม" จากนั้นได้ออกจากบ้านไปที่วัดสระบัวเพื่อชำระแค้น
ในช่วงย่างเข้าวันใหม่ ดัดได้เดินตามหากลุ่มของจันทวี จนพบว่าพวกนี้กำลังกินน้ำแข็งใสอยู่ ในเวลา 01.00 น. ดัดแกะสลักระเบิด แล้วขว้างใส่ร้านน้ำแข็งใสโดยไม่สนว่าจะมีใครอยู่ในร้านนอกจากอริ เมื่อระเบิดทำงาน แรงระเบิดได้คร่าชีวิตชายฉกรรจ์บ้านตูม เด็ก ผู้หญิง เจ้าของร้าน คนที่แค่มากินน้ำแข็งใสไม่เกี่ยวอะไรเลย ก็ต้องมาจบชีวิตจากความแค้นของดัดที่เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย หลังจากเสียงระเบิดสงบลงดัดได้หลบหนีไป ส่วนพลเมืองดีได้เข้าช่วยเหลือนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล โดยมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ถึง 9 ศพ และบาดเจ็บถึง 13 ราย โดยบาดเจ็บสาหัส 3 ราย และไม่สาหัส 10 ราย ซึ่งจันทวี,สมบูรณ์ และสงค์ก็เสียชีวิตจากเหตุระเบิดนี้ด้วย
ตำรวจสภ.อ.มุกดาหารจึงไล่ล่าดัด โดยเดินทางไปยังบ้านของดัด แต่ ดัด ไม่อยู่ โดยพบว่าดัดหนีไปแขวงสุวรรณเขต ประเทศลาว ตำรวจมุกดาหารจึงร่วมมือกับตำรวจลาวตามล่าดัด จนกระทั่งช่วงเช้าตำรวจลาวสามารถจับดัดกลับมาได้ จากนั้นตำรวจลาวได้ส่งดัดให้ทางการไทย
จากการสอบสวนดัดให้การรับสารภาพ เขายอมรับว่าเป็นคนขว้างระเบิดจริง โดยแรงจูงใจคือแค้นที่ถูกอริชกปาก และดัดยังได้พาชี้สถานที่เกิดเหตุ
หลังจากการสอบสวนเสร็จสิ้นตำรวจจังหวัดนครพนมได้ส่งมอบสำนวนการสอบสวนและพยานหลักฐานให้คณะปฎิวิติเนื่องจากดัดกระทำความผิดโดยไม่คิดถึงชีวิตของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้หญิงที่ไปเที่ยวงานอย่างไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน
ดัดก่อนปุปุปุ กับ ปิดตา ไชยเพชร
ต่อมาในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 จอมพลถนอม กิตติขจรได้ลงนามในคำสั่งที่ 71/2515 โดยเห็นว่าการกระทำของดัดซึ่งต้องการฆ่ากลุ่มคู่อริที่ทำร้ายทำให้ชาวบ้านที่มาเที่ยวงานต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก นับเป็นเป็นการก่อคดีที่สยดสยองและเขย่าขวัญประชาชน นอกจากการกระทำของดัดไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดินยังแสดงว่าดัดมีจิตใจโหดเหี้ยมอำหมิตไร้มนุษย์ธรรม นับได้ว่าเป็นภัยต่อสังคมอย่างร้ายแรง จอมพลถนอมจึงมีคำสั่งให้ลงโทษประหารชีวิตดัด ณ ท้องที่เกิดเหตุ ส่วนของกลางให้ริบ ซึ่งในวันเดียวกันจอมพลถนอมยังมีคำสั่งให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตนายปิดตา ไชยเพชร สหายคอมมิวนิสต์ โดยเป็นหน่วยสังหารประจำหมู่บ้านที่ได้รับคำสั่งให้ฆ่าสายตำรวจที่งานวัดศรีบุญเรือง แต่ตำรวจรู้ทันทำให้เกิดการยิงปะทะกับตำรวจและปิดตาโดนจับพร้อมปืนบราวน์นิ่ง เนื่องจากคำสารภาพของปิดตาเป็นประโยชน์จึงไม่ถูกลงโทษประหาร
ในคืนนั้นดัดนอนกระสับกระส่ายในห้องขังทั้งคืน เพราะเขารู้ตัวแล้วว่าจะต้องถูกประหารแน่ๆ เขาจึงขอเบียร์จากตำรวจ แต่ตำรวจให้ไม่ได้ เพราะเป็นของมึนเมาเมื่อ ดัดยังได้ขอเสื้อสีขาวจ้างเพื่อนร่วมห้องขังมาใส่ในวันพรุ่งนี้(วันประหาร) ในเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เบิกตำรวจดัดจากห้องควบคุมในสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครพนมเพื่อดำเนินตามขึ้นตอนต่างๆก่อนการประหาร เริ่มจากอ่านคำสั่งหัวหน้าคณะปฎิวัติแล้วให้เซ็นรับทราบ จากนั้นพิมพ์ลายนิ้วมือ แล้วยกอาหารมื้อสุดท้ายมา แต่ดัดปฎิเสธไม่รับประทาน
ถัดจากนั้นตำรวจได้นิมนต์พระครูอาธาน พนมกิจ มาเทศนาเรื่องให้สำนึกในบาปและอย่าสร้างบาปอีก โดยเขารับฟังอย่างสงบ หลังจากนั้นได้ให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมาย แต่ดัดไม่ทำพินัยกรรม ส่วนจดหมาย ดัดเขียนจดหมายถึงพ่อแม่จำนวน 1 ฉบับโดยฝากให้ตำรวจส่งถึงพ่อแม่ และดัดปฎิเสธที่จะบริจาคร่างกายหรือดวงตา
ต่อมาในเวลา 12.00 น. ตำรวจได้ควบคุมตัวดัดขึ้นรถไปยังสนามบินพาณิชย์ หรือ ท่าอากาศยานนครพนม จากนั้นตำรวจได้นำตัวดัดไปมัดกับหลักประหารจากนั้นพันตำรวตตรีทวี คุปตบุตรได้อ่านคำสั่งประหารให้ประชาชนกว่า 5,000 คน ซึ่งมาดูการประหารฟัง จากนั้นเรียกแถวเพชฌฆาตซึ่งเป็นตำรวจจำนวน 5 นาย ซึ่งทั้งหมดเป็นตำรวจสภ.อ.มุกดาหาร ที่หน้ากล่องซึ่งล้อมรอบหลักประหาร เมื่อพร้อมพันตำรวตตรีทวีจึงออกคำสั่งให้ยิง เพชฌฆาต 1 คนบรรจุกระสุนปืนคาร์บิน 10 นัดมี 5 คน ใช้กระสุนรวม 50 นัด

ดัดถูกประหารเมื่อเวลา 12.32 น.ใช้กระสุนรวม 50 นัด หลังจากนั้นนายแพทย์อารีย์ มูลพันธ์ ผอ.รพ.นครพนมได้เข้าตรวจศพ โดยพบว่าดัดเสียชีวิตแล้วจากนั้นตำรวจได้พิมพ์ลายนิ้วมือ เมื่อไม่มีญาติมารับศพจึงเอาศพเป็นเก็บที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม
ถือว่าปิดฉากคดีสังหารหมู่โดยคนคนเดียวที่นองเลือดมากครั้งหนึ่งโดยมีแรงจูงใจจากความแค้นส่วนตัวไม่ได้เป็นการจ้างวานฆ่าหรือการเมือง
หากคดีดัดเกิดขึ้นในสมัยนี้คดีเขาเป็นข่าวดังแน่นอน ศาลน่าจะตัดสินประหารเพราะจำนนต่อหลักฐาน แต่จะถูกประหารไหมแล้วแต่ว่าคดีเขาจะเด็ดขาดตอนช่วงอภัยรอบใหญ่แบบบรรยินไหมที่ยังไม่ถึงกำหนดยื่นหนังสือทูลเกล้าก็ได้อภัยทั้งสองคดีซึ่งบรรยินฉลาดไม่ยอมยื่นหนังสือจึงรอดโทษประหารเพราะรู้แน่ๆว่าจะยื่นหรือไม่ยื่นก็ได้รับอภ้ยโทษรอบใหญ่ปี 67 ลดโทษอยู่ดีซึ่งลดโทษนักโทษประหารเด็ดขาดทั้งแเดนรวมถึงคดีที่ร้ายแรงพอกันอย่างผอ.กลอ์ฟ ซึ่งคดีเด็ดขาดตั้งแต่ปี 66 แล้ว และทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าแล้ว(ตามมาตรา 17 ของกฤษฎีกาอภัยโทษ) แน่นอนว่าต่อให้ดัดจะคดีเด็ดขาดถ้านายกไม่ยกฎีกาดัดก็รอดประหารอยู่ดี หรือถ้าประหารดัดจริงเดี๋ยวจะมีนักสิทธิมาชูป้ายหน้าบางขวางแน่นอน และอาจเจอการแทรกแซงจากต่างชาติ
ส่วนคดีระเบิดที่อุ้มผาง ผมขอบอกอีกรอบนะครับว่าผู้ก่อเหตุทั้งสองเป็นเยาวชน โทษสูงสุดคือประหารแต่เยาวชนอายุ 15 -18 จะรับกึ่งหนึ่งหรือขังในสถานพินิจๅ ดังนั้นสองทหารกระเหรี่ยงจะไม่โดนตัดสินประหารแน่ๆ
อ่านเรื่องอภัยโทษต่อได้ที่นี่
https://www.thaipbs.or.th/news/content/343186
ย้อนรอย 52 ปีจากดัด ภูมลา สู่เหตุระเบิดกาชาดอุ้มผาง
เริ่มที่ประวัติของฆาตกรก่อน
หลายๆคนอาจเริ่มสงสัยว่าทำไมมีอำเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม คำตอบก็คือ อำเภอมุกดาหารคืออำเภอเมืองมุกดาหารในปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันตำบลผึ้งแดดอยู่ที่อำเภอเมืองมุกดาหาร โดยจังหวัดมุกดาหารแยกตัวจากนครพนมในวันที่27 กันยายน พ.ศ. 2525 ซึ่งขณะเกิดเรื่องยังเป็นส่วนหนึ่งของนครพนมอยู่จึงต้องใช้จังหวัดนครพนม
มาต่อที่นิสัยของดัด คือลักเล็กขโมยน้อยมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าการกระทำผิดเล็กน้อยมาตั้งแต่เด็กอาจพัฒนาเป็นการกระทำผิดรุนแรง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 ดัดหนีตำรวจไปลาว แล้วสมัครเป็นทหารรับจ้างที่ลาว สงครามที่ดัดไปรบน่าจะเป็นสงครามกลางเมืองลาว เพราะเกิดอยู่ในช่วงที่เกิดคดี ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2515 ดัดก็หนีทหารจากลาวมาที่ผึ้งแดด และแน่นอนดัดเอาอาวุธสงครามกลับมาด้วย ซึ่งรวมถึงระเบิดมือ และเหมือนกับสองทหารกะเหรี่ยงมือบึ้มงานกาชาดที่เอาระเบิดมือรุ่น เอ็มเคทู มาจากฝั่งพม่า
ในวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2515 ไม่กี่วันหลังจากหนีทหารจากลาว ดัดได้ไปเที่ยวงานวัดที่วัดสระบัวในตำบลผึ้งแดด เพื่อหาเหล้าดื่ม ต่อมาเขาเดินไปยังเวทีรำวง แล้วเข้าไปโค้งนางรำ เขาจึงไปมีเรื่องกับสามวัยรุ่นคือ จันทวี บุญรักษ์,สมบูรณ์ บุญรักษ์ และสงค์ สุพร ชาวบ้านตูม แล้วเกิดการชกต่อยขึ้น ต่อมามีวัยรุ่นคนหนึ่งต่อยดัดจนล้มลง ดัดเห็นว่า 1 ดัด สู้กับ 3 ชายฉกรรจ์บ้านตูม แพ้แน่ๆ จึงเก็บความแค้นเดินออกจากงานไป ซึ่งตัววัดสระบัวแห่งนี้ตั้งอยู่ในบ้านคำผึ้งจึงไม่ไกลจากบ้านดัดมาก
ดัดกลับไปพร้อมความแค้นแล้วไปหยิบของในบ้าน คือ "ระเบิดมือที่ใช้ยามสงคราม" จากนั้นได้ออกจากบ้านไปที่วัดสระบัวเพื่อชำระแค้น
ในช่วงย่างเข้าวันใหม่ ดัดได้เดินตามหากลุ่มของจันทวี จนพบว่าพวกนี้กำลังกินน้ำแข็งใสอยู่ ในเวลา 01.00 น. ดัดแกะสลักระเบิด แล้วขว้างใส่ร้านน้ำแข็งใสโดยไม่สนว่าจะมีใครอยู่ในร้านนอกจากอริ เมื่อระเบิดทำงาน แรงระเบิดได้คร่าชีวิตชายฉกรรจ์บ้านตูม เด็ก ผู้หญิง เจ้าของร้าน คนที่แค่มากินน้ำแข็งใสไม่เกี่ยวอะไรเลย ก็ต้องมาจบชีวิตจากความแค้นของดัดที่เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย หลังจากเสียงระเบิดสงบลงดัดได้หลบหนีไป ส่วนพลเมืองดีได้เข้าช่วยเหลือนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล โดยมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ถึง 9 ศพ และบาดเจ็บถึง 13 ราย โดยบาดเจ็บสาหัส 3 ราย และไม่สาหัส 10 ราย ซึ่งจันทวี,สมบูรณ์ และสงค์ก็เสียชีวิตจากเหตุระเบิดนี้ด้วย
ตำรวจสภ.อ.มุกดาหารจึงไล่ล่าดัด โดยเดินทางไปยังบ้านของดัด แต่ ดัด ไม่อยู่ โดยพบว่าดัดหนีไปแขวงสุวรรณเขต ประเทศลาว ตำรวจมุกดาหารจึงร่วมมือกับตำรวจลาวตามล่าดัด จนกระทั่งช่วงเช้าตำรวจลาวสามารถจับดัดกลับมาได้ จากนั้นตำรวจลาวได้ส่งดัดให้ทางการไทย
จากการสอบสวนดัดให้การรับสารภาพ เขายอมรับว่าเป็นคนขว้างระเบิดจริง โดยแรงจูงใจคือแค้นที่ถูกอริชกปาก และดัดยังได้พาชี้สถานที่เกิดเหตุ
หลังจากการสอบสวนเสร็จสิ้นตำรวจจังหวัดนครพนมได้ส่งมอบสำนวนการสอบสวนและพยานหลักฐานให้คณะปฎิวิติเนื่องจากดัดกระทำความผิดโดยไม่คิดถึงชีวิตของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้หญิงที่ไปเที่ยวงานอย่างไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน
ในคืนนั้นดัดนอนกระสับกระส่ายในห้องขังทั้งคืน เพราะเขารู้ตัวแล้วว่าจะต้องถูกประหารแน่ๆ เขาจึงขอเบียร์จากตำรวจ แต่ตำรวจให้ไม่ได้ เพราะเป็นของมึนเมาเมื่อ ดัดยังได้ขอเสื้อสีขาวจ้างเพื่อนร่วมห้องขังมาใส่ในวันพรุ่งนี้(วันประหาร) ในเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เบิกตำรวจดัดจากห้องควบคุมในสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครพนมเพื่อดำเนินตามขึ้นตอนต่างๆก่อนการประหาร เริ่มจากอ่านคำสั่งหัวหน้าคณะปฎิวัติแล้วให้เซ็นรับทราบ จากนั้นพิมพ์ลายนิ้วมือ แล้วยกอาหารมื้อสุดท้ายมา แต่ดัดปฎิเสธไม่รับประทาน
ถัดจากนั้นตำรวจได้นิมนต์พระครูอาธาน พนมกิจ มาเทศนาเรื่องให้สำนึกในบาปและอย่าสร้างบาปอีก โดยเขารับฟังอย่างสงบ หลังจากนั้นได้ให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมาย แต่ดัดไม่ทำพินัยกรรม ส่วนจดหมาย ดัดเขียนจดหมายถึงพ่อแม่จำนวน 1 ฉบับโดยฝากให้ตำรวจส่งถึงพ่อแม่ และดัดปฎิเสธที่จะบริจาคร่างกายหรือดวงตา
ต่อมาในเวลา 12.00 น. ตำรวจได้ควบคุมตัวดัดขึ้นรถไปยังสนามบินพาณิชย์ หรือ ท่าอากาศยานนครพนม จากนั้นตำรวจได้นำตัวดัดไปมัดกับหลักประหารจากนั้นพันตำรวตตรีทวี คุปตบุตรได้อ่านคำสั่งประหารให้ประชาชนกว่า 5,000 คน ซึ่งมาดูการประหารฟัง จากนั้นเรียกแถวเพชฌฆาตซึ่งเป็นตำรวจจำนวน 5 นาย ซึ่งทั้งหมดเป็นตำรวจสภ.อ.มุกดาหาร ที่หน้ากล่องซึ่งล้อมรอบหลักประหาร เมื่อพร้อมพันตำรวตตรีทวีจึงออกคำสั่งให้ยิง เพชฌฆาต 1 คนบรรจุกระสุนปืนคาร์บิน 10 นัดมี 5 คน ใช้กระสุนรวม 50 นัด
ดัดถูกประหารเมื่อเวลา 12.32 น.ใช้กระสุนรวม 50 นัด หลังจากนั้นนายแพทย์อารีย์ มูลพันธ์ ผอ.รพ.นครพนมได้เข้าตรวจศพ โดยพบว่าดัดเสียชีวิตแล้วจากนั้นตำรวจได้พิมพ์ลายนิ้วมือ เมื่อไม่มีญาติมารับศพจึงเอาศพเป็นเก็บที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม
ถือว่าปิดฉากคดีสังหารหมู่โดยคนคนเดียวที่นองเลือดมากครั้งหนึ่งโดยมีแรงจูงใจจากความแค้นส่วนตัวไม่ได้เป็นการจ้างวานฆ่าหรือการเมือง
หากคดีดัดเกิดขึ้นในสมัยนี้คดีเขาเป็นข่าวดังแน่นอน ศาลน่าจะตัดสินประหารเพราะจำนนต่อหลักฐาน แต่จะถูกประหารไหมแล้วแต่ว่าคดีเขาจะเด็ดขาดตอนช่วงอภัยรอบใหญ่แบบบรรยินไหมที่ยังไม่ถึงกำหนดยื่นหนังสือทูลเกล้าก็ได้อภัยทั้งสองคดีซึ่งบรรยินฉลาดไม่ยอมยื่นหนังสือจึงรอดโทษประหารเพราะรู้แน่ๆว่าจะยื่นหรือไม่ยื่นก็ได้รับอภ้ยโทษรอบใหญ่ปี 67 ลดโทษอยู่ดีซึ่งลดโทษนักโทษประหารเด็ดขาดทั้งแเดนรวมถึงคดีที่ร้ายแรงพอกันอย่างผอ.กลอ์ฟ ซึ่งคดีเด็ดขาดตั้งแต่ปี 66 แล้ว และทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าแล้ว(ตามมาตรา 17 ของกฤษฎีกาอภัยโทษ) แน่นอนว่าต่อให้ดัดจะคดีเด็ดขาดถ้านายกไม่ยกฎีกาดัดก็รอดประหารอยู่ดี หรือถ้าประหารดัดจริงเดี๋ยวจะมีนักสิทธิมาชูป้ายหน้าบางขวางแน่นอน และอาจเจอการแทรกแซงจากต่างชาติ
ส่วนคดีระเบิดที่อุ้มผาง ผมขอบอกอีกรอบนะครับว่าผู้ก่อเหตุทั้งสองเป็นเยาวชน โทษสูงสุดคือประหารแต่เยาวชนอายุ 15 -18 จะรับกึ่งหนึ่งหรือขังในสถานพินิจๅ ดังนั้นสองทหารกระเหรี่ยงจะไม่โดนตัดสินประหารแน่ๆ
อ่านเรื่องอภัยโทษต่อได้ที่นี่
https://www.thaipbs.or.th/news/content/343186