ริวิวประสบการณ์ผ่าตัดริดสีดวงทวารภายในและภายนอกที่แสนจะทรมาน (รีวิวครั้งแรกในชีวิต อย่างแบ่งปันประสบการณ์ค่ะ)

กระทู้สนทนา
แล้ววันที่รวบรวมความกล้าในการผ่าตัดริดซี่ออกไปเสียที หลังเก็บข้อมูลตามช่องทางต่างๆมานาน
 
จำได้ว่าริดซี่เริ่มก่อตัวมาตั้งแต่แต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เริ่มจากแค่รู้สึกว่ามีติ่งเนื้อเล็กๆเวลาอักเสบขนาดประมาณปลายนิ้วก้อย
เวลาไม่อักเสบก็แทบจะไม่รู้สึกเป็นปัญหาอะไรเลย ก็ด้วยพฤติกรรมตัวเองความเร่งรีบ ไม่ทานข้าวเช้า เข้าห้องน้ำไม่ป็นเวลา
ทานน้ำน้อย และแทบไม่รู้จักโรคนี้และวิธีป้องกันเลย ก็ใช้ชีวิตแบบเดิมๆเรื่อยมา จนเรียนจบ แต่งงาน และหนักสุดมามีอาการกำเริบ
ตอนที่ตั้งท้องยิ่งเกิดแรงดันในช่องท้อง บวกกับท้องผูก ริดซี่คือบวมอักเสบเยอะจนนั่งไม่ได้ ต้องทนยา เหน็บยาที่ตูด แช่ก้นในน้ำอุ่น  
ก็ทนแบบเป็นๆหายๆ มาแบบนั้นเป็นสิบปี จนตอนนี้ติ่งที่เท่านิ้วก้อยก็กลายเป็นเท่านิ้วโป้ง แถมมีหลายหัวรอบตูดเลยค่ะ 

เวลาอึ๊เสร็จใหม่ๆคือจะบวมบานอย่างนั้น ดันกลับก็ไม่เข้าแล้วค่ะ น่าจะระยะสี่แล้วแน่ๆ ทิ้งไว้กลัวว่าใหญ่กว่านี้ตูดจะหลุดออกมา5555
เลยพยายามหาข้อมูลเรื่องวิธีการรักษาตามเพจต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าเราน่าจะเป็นริดสีดวงระยะที่ 4 วิธีรักษาอย่างเดียวคือต้องผ่าออกค่ะ
และคงต้องผ่าแบบธรรมดา คือผ่าด้วยใบมีดหรือกรรไกรตัดเย็บนี่ล่ะค่ะ และทุกคนที่เคยผ่ามาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นการผ่าที่
เจ็บปวดทรมานมาก เจ็บยิ่งกว่าตอนผ่าหน้าท้องคลอดลูกอีกหลายเท่า ซึ่งก็คอนเฟริ์มด้วยตัวเองมาแล้วว่าจริงแบบนั้นเลย  ^^' 

พูดถึงการเข้ารับการรักษา เราใช้สิทธิ์ประกันสังคม ผ่าตัดฟรี ยกเว้นค่าห้องพิเศษที่เราจ่ายเอง ถ้านอนห้องรวมก็ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มอีก
ขั้นแรกก็รวบรวมความกล้า บอกหมอไปว่ามีติ่งเนื้อรอบตูดและมันอักเสบเจ็บปวดทรมานและเป็นมานานแล้ว อยากตัดน้องออกเต็มที
บวกกับบางทีอึ๊ก็มีเลือดสดๆ ออกมา กลัวว่าจะเป็นโรคร้ายอื่น เพราะเรามีประวัติคนในครอบครัวเครือญาติเป็นมะเร็งลำใส้ใหญ่
โชคดีเราเจอหมอที่น่ารักและใจดีถามว่าถ้าเรามีความกังวล หมอจะส่งเราไปตรวจอึ๊ ส่องกล้องลำใส้ใหญ่ แล้วค่อยมาคุยเรื่องการผ่าตัด
ริดสีดวงภายหลัง ผลการส่องกล้องและตรวจชิ้นเนื้อไม่มีอะไรผิดปกติ แผนต่อไปคือนัดผ่าตัดน้องริดซี่ ซึ่งหมอก็ให้ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
เอ๊กซเรย์ปอด แลวก็นัดวันผ่า ซึ่งเราผ่าตอนปลายเดือนเมษายน 67 ที่ผ่านมานี่เอง  ก่อนวันผ่าให้งดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืน 

พอถึงเช้าวันผ่าตัด รู้สึกกลัว กังวล ไม่ใช่ตอนผ่านะเพราะทุกคนต่างบอกว่าตอนผ่าไม่รู้สึกอะไร แต่กังวลอาการข้างเคียงหลังผ่าซะมากกว่า
มาถึง รพ.08.30 น. พบหมอตรวจเบื้องต้น และเซ็นต์เอกสารยิมยอมการเข้ารับการผ่าตัด และจองห้องพัก คุยเรื่องค่าใช้จ่าย
เสร็จพยาบาลก็ให้เปลี่ยนชุดสำหรับคนไข้ผ่าตัดของโรงพยาบาล แล้วแทงเข็มคาสายที่หลังมือเพื่อให้น้ำเกลือนั่งรอไปเรื่อยๆโดยไม่ได้กินอะไร
คือหิวมาก หมอบอกเราคิวผ่าคนที่ 3 ก็นั่งรอนอนรอจนถึงบ่ายสอง พยาบาลก็เข้ามาเข็นและบอกเราว่าเตรียมเข้าห้องผ่าตัดเลยนะคะ

แต่เดี๋ยวก่อน ปกติที่เราอ่านขั้นตอนต้องมีสวนอึ๊ก่อนไม่ใช่หรอคะ แต่ก็ได้แต่คิดในใจว่าเดี๋ยวคงสวนตอนก่อนเข้าห้องผ่ามั๊ง
แต่เปล่าเลยค่ะ พอเข้าห้องปุ๊บหมอวิสัญญีก็มาทำการเตรียมระงับความรู้สึกให้เรา โดยให้นั่งกอดหมอนทำตัวงอเหมือนกุ้ง แล้วฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง
หรือที่เขาเรียกว่าการบล็อคหลังนั่นแหละค่ะ ขั้นตอนนี้เคยผ่านมาแล้วตอนผ่าคลอดลูก 2 คน เลยไม่ตื่นเต้น เจ็บประมาณโดนเข็มฉีดยาจิ้มประมาณนั้น
แค่คิดกังวลในใจดีนะเมื่อเช้าอึ๊มา ไม่สวนอึ๊ก่อนแบบนี้ วันแรกหลังผ่าต้องอึ๊ยากแน่ๆ ก่อนวันผ่าอัดข้าวมาซะแน่นกลัวโหย แงงงงงงง คิดแล้วก็เจ็บรอเลย

หลังจากท่อนล่างชาหมดแล้วก็ถูกจัดให้นอนคว่ำหน้า แล้วก็แค่รู้สึกตึงๆที่ก้น จินตนาการคือหมอคงถ่างตูด ตัดๆเย็บๆ ยัดผ้าก๊อชที่ตูดห้ามเลือด
น่าจะประมาณ 30 นาที ก็เรียบร้อย โดยที่เรารู้ตัวทุกอย่าง แค่ไม่รู้สึกเจ็บปวดเพราะฤทธิ์ยาชาเท่านั้นเอง แต่รอยาชาหมดฤทธิ์นี่แหละค่ะ
เตรียมรับความเจ็บปวดของจริง ไม่มีตัวแสดงแทน ซึ่งแอบถามพยาบาลก็บอกว่าประมาณ 6 ชม. ยาชาก็น่าจะเริ่มหมดฤทธิ์ แต่เราต้องนอนราบนิ่ง
บนเตียงห้ามลุกอย่างน้อย 12 ชัวโมง  ไม่อย่างนั้นจะเกิดอาการเวียนศรีษะ วูบได้ค่ะ แล้วมีผลจะทำให้เราปวดหลังปวดเอวได้ด้วย 
ระหว่างนี้เราก็นอนเล่นชิลล์ๆแบบไม่รู้สึกอะไร แต่หลังจาก 6 ชั่วโมงผ่านไปเกือบจะเป๊ะ ความเจ็บปวดถาโถมมาแบบไม่ยั้ง คือเจ็บสุด
เจ็บคนร้องให้ เจ็บจนตัวสั่น ประกอบกับผลข้างเคียงจากการบล็อคหลัง ทำให้เราปวดฉี่มากแต่ไม่สามารถฉี่ออกได้เอง ปวดแบบสุด
เหมือนกระเพาะฉี่จะแตก พยายามเบ่งฉี่ทั้งที่นอนอยู่แบบนั้นเลยค่ะ เพราะยังไม่ครบ 12 ชั่วโมง ห้ามลุกเด็ดขาด ทั้งปวดแผลทั้งปวดฉี่
ร้องขอพยาบาลให้สวนฉี่และขอฉีดยาแก้ปวดด้วย คือทนไม่ไหวแล้ว แต่พยาบาลก็บอกว่าถ้าไม่จำเป็นไม่อยากสวนให้เพราะอาจติดเชื้อได้
เลยได้แต่คูลแพคมาวางหน้าท้อง พยาบาลก็บอกให้พยายามฉี่เองดูก่อนอีกที แล้วถ้าไม่ไหวจริงๆจะมาสวนให้ เลยได้แค่ฉีดแต่ยาแก้ปวด
พอทุเลาอาการปวดแผลผ่าตัด แต่ย้ำว่าความเจ็บยังคงอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เป็นความเจ็บที่ยังพอทนได้ 

แล้วคูลแพคก็ไม่ช่วยอะไร ยังคงฉี่เองไม่ได้ ปวดจนจะขาดใจก็ไม่เกินจริง เลยบอกพยาบาลอีกทีว่าสวนเให้ถอะ ไม่ไหวแล้วค่ะ พยาบาลโอเค
แต่ไม่ได้คาสายสวนนะคะ แค่ทำครั้งเดียวพยาบาลโดยสอดสายเข้าท่อ แล้วก็กดๆตรงกระเพาะฉี่ เพื่อระบายฉี่เราออกมาซึ่งเยอะมาก
จากท้องบวมๆตึงๆ ก็ยุบแฟบลงเห็นได้ชัด โอ๊ย ความทรมานกว่าจะผ่านไป นอนมองนาฬิกาข้างฝา กว่าจะผ่านไปแต่ละวิ แต่ละนาที มันช่างนาน
เหลือเกิน โชคดีว่าหลังจากนอนราบครบ 12ชม. สามารถลุกมาฉี่ แล้วฉี่เองได้ ถึงจะใช้ความพยายามอยู่พักนึง ก็ฉี่เองได้สำเร็จ น้ำตาไหลด้วยความดีใจ
ได้แต่คิดในใจ ความเจ็บปวดมันจะอยู่กับเราอีกนานแค่ไหน ยังเป็นคำถามที่ยังไม่สิ้นสุดในใจ คืนแรกนอนก็แทบจะไม่ได้นอน หลับๆตื่นๆ
ร้องขอยาฉีดแก้ปวดทุก4 ชม. พอเข็มที่3 เขาไม่ไห้แล้ว บอกรอ6ชั่วโมงถึงให้ได้นะคะคนไข้ อมยิ้ม42แงงงงง เราก็เลยแอบกินยาแก้ปวด
ที่ซื้อไปเอง เพราะรอยาฉีดจากพยาบาลไม่ไหวจริงๆ Gofen ยาแก้ปวดที่เป็นแคปซูลสีฟ้าๆคือดีนะ ออกฤทธิ์เร็ว แนะนำติดตัวไว้เลยค่ะ
เพราะออกจาก รพ. เราจะยังต้องพึ่งน้องไปอีกสามสี่วันเลย ทานทุก 4-6ชม.  ออ ฝากไว้อีกเรื่องสำหรับคนที่จะผ่านะคะ อย่ารอให้ปวดมาก
ตอนยาชาคาดว่าจะหมดฤทธิ์หลังผ่าใหม่ๆ ขอยาฉีดกันไว้ก่อนเลยค่ะ พอปวดแล้วมากๆ กว่ายาจะออกฤทธิ์มันเจ็บปวดมากๆเลยทุกคน

หลังจากตื่นเช้ามา ก็เป็นเวลาที่ต้องเข้าห้องน้ำอึ๊ คือแค่คิดก็น้ำตาเล็ดแล้วล่ะ อึ๊ครั้งแรกก็อึ๊ไม่ออกหรอกทุกคน แต่ก็ลองเข้าๆดู
คิดดูสิแผลที่ตูดขนาดนั้น เจ็บปวดขนาดนี้ แล้วต้องอึ๊ผ่านจุดๆนั้น  ไม่ไหวกลับมาทำใจนอนเจ็บปวดต่อ แล้วสักพักข้าวเช้ามาส่งพร้อมยา
แต่หมอไม่ได้ให้ยาระบายอะไรเราเลย ให้แค่ยาฆ่าเชื้อกับยาแก้อักเสบสองอย่าง แต่เราก็ไม่รอความหวังจาก รพ.อย่างเดียว ทุกอย่าง
เราเตรียมไว้หมดแล้ว 555 ทั้งยาแก้ปวด Gofen ยา Dufalac ที่ช่วยะบายและทำให้อึ๊เราอ่อนนิ่มไม่แข็ง ทานหลังมื้ออาหารทันทีเลยค่ะ
และซื้อไฟบอร์Mucilinช่วยเสริมใยอาหารมาด้วยแต่ตัวนี้ไม่ได้ทานเลย เพราะกลัวจะอึ๊เองไม่ได้ จะไปกันใหญ่ เพราะเขาบอกว่าต้องกินน้ำเยอะๆ
ไม่งั้นลำใส้จะอุดตันอึ๊ไม่ออก เลยไม่อยากเสี่ยงกับผลข้างเคียง แต่ถ้าใครทานน้ำเยอะๆได้ หรือมั่นใจว่าขับถ่ายได้ไม่มีปัญหาแนะนำให้ทานค่ะ

หลังจากทานยาระบายไป สายๆก็ปวดอึ๊ ไปเข้าห้องน้ำ อึ๊ออกนิดหน่อยไม่แข็ง แต่ผ้าก๊อชที่หมอน่าจะอุดห้ามเลือดไว้ก็ออกมาด้วย
ชุ่มเลือดหน่อยๆ ปกตินะคะ ความเจ็บปวดก็ทรมานเหมือนเดิม เข้าห้องน้ำทีก็มีขาสั่นทุกที  หลังจากอึ๊เสร็จทุกครั้งล้างทำความสะอาด
แผลให้ดีนะคะ ใช้สายชำระฉีดเอามือรองเบาๆแล้วล้างได้ หลังจากนั้นก็ให้แช่ก้นด้วยน้ำอุ่น พยาบาลจะย้ำเสมอว่าแช่ก้นในน้ำอุ่นรึยัง
แช่ได้บ่อยๆเลยนะ จะช่วยลดความเจ็บปวด ลดบวมได้ เรามีผสมด่างทับทิมเอาเกร็ดมาละลายน้ำเล็กน้อยแค่พอเป็นสีชมพูหือม่วงอ่อนๆ
สลับกับเบตาดีน เพื่อฆ่าเชื้อและลดบวมอักเสบได้บ้างค่ะ ส่วนก้นถ้ามีเปียกแฉะล้างหรือแช่ก้นด้วยน้ำอุ่นถึงเกือบร้อนได้เรื่อยๆ
แล้วเช็ดทำความสะอาดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด หรือทิชชู่ที่มีความหนาซับน้ำไม่เปื่อยยุ่ย เพื่อความสะอาดเป็นหลัก หลังจากนั้น
มียาทาแผลที่หมอให้ก็โปะๆไปค่ะ แผลจะได้หายไวขึ้น เอาทุกทาง555  

แล้วคุณหมอก็เข้ามาตรวจแผลอีกรอบ สอบถามอาการ และความประสงค์ว่าจะอยู่รพ.ต่อ หรือกลับไปพักฟื้นที่บ้าน สรุปแล้วเราขอไปพักฟื้นที่บ้าน
ดูแลแผลเอง เพราะฉี่ได้ อึ๊น่าจะพอไหว กินยาแก้ปวดดักไว้ก่อนเอา น่าจะรอด ถ้าไม่ไหวค่อยกลับมาหาหมอใหม่ละกัน555
สรุปเราก็นอน รพ. แค่ 1 คืน บ่ายสี่โมงวันถัดมาก็ออก รพ.ได้จ้าทุกคน ขับรถเองไม่ได้นะคะ คนที่บ้านมานอนเฝ้าและรับออกรพ.
ทานยาแก้ปวดไปก็พอทุเลา ค่อยๆเดินได้ พยาบาลจะเอารถเข็นมาให้นั่ง บอกเดินสะดวกกว่าค่ะ นั่งน่าจะเจ็บมากกว่า จริ๊งงง ลมมันเย็นด้วย

กลับมาบ้านก็พยายามดูแลทำความสะอาดแผลให้ดี แช่ก้นในน้ำอุ่นเกือบร้อนบ่อยๆ (อันนี้ต้องให้แพทย์แนะนำนะคะ บางคนก็ไม่ต้องแช่ ขึ้นอยู่
กับว่าคุณใช้วิธีผ่าแบบไหน) เราผ่าริดสีดวงภายใน 1 หัว ภายนอกอีก 2 ผ่าแบบธรรมดาเลยค่ะ เย็บแผลด้วยไหมละลาย
ทานอาหารอ่อนพวกข้าวต้ม กินปลา กินผักไปก่อน งดเนื้อได้จะดีกว่านะคะช่วงนี้ ช่วยให้ลำใส้ไม่ทำงานหนัก อึ๊ง่ายขึ้น 
เราผ่าตัดวันที่ 3 ถึงเรียกว่าอึ๊ได้จริงๆ เพราะก่อหน้านั้นปวดอึ๊มีแต่ลม ไปนั่งเบ่งก็ไม่ได้ กลัวแผลปริ แต่พอถึงวันที่สามไม่ได้การณ์
เราต้องอึ๊ละ ไม่งั้นอึ๊แข็งนรกของจริงมาแน่ๆ ก็กินยาระบายช่วย กว่าจะอึ๊ออกมาคือมันตุง ตึงแผล ปวดขั้นสุด ในใจก็ต้องกลั้นความเจ็บไว้
ต้องอึ๊ออกมาให้ได้ เพราะกังวลผลข้างเคียงที่หมอเคยขู่ ว่าหากผ่าออกเยอะรูทวารจะตีบ ทำให้อึ๊เองไม่ได้ ต้องผ่าตัดซ้ำ แค่คิดก็สยอง
เลยต้องพยายามทำให้ตัวเองอึ๊ออกมาให้ได้ ในที่สุดก็สำเร็จ แต่ทุลักทุเลมาก นั่งอึ๊ไม่ออก ต้องยืนอึ๊เลยค่ะ สงสาสมเพชตัวเอง
คือเหมืออึ๊มันมาตุงตงก้นพร้อมออก แต่เพราะแผลผ่าตรงนั้นมันทำให้เราเกร็งเพราะกลัวเจ็บ จนอึ๊ไม่ได้ ต้องพยายามไม่เกร็งนะคะ
ปล่อยสบายๆ พอก้นมันตุงเต็มที่ เราใช้วิธีช่วยกดตรงข้างรูตูดรอบนอกแผล กดๆดันๆ เพื่อช่วยให้ก้อนอึ๊ออกมาได้ง่าย
กว่าจะผ่านจุดนั้นไปก็แทบแย่ แต่ก็ช่วยได้ค่ะ พออึ๊ครั้งแรกออก ครั้งต่อไปก็ตามมาได้ไม่ยาก ความเจ็บ ความกังวลก็คลายลงเยอะ
แต่ไม่จบเพียงแค่นั้น หลังจากครั้งแรกอึ๊สำเร็จ ก็ถ่ายเรื่อยๆ จนเหมือนคนท้องเสีย จำได้ว่าวันนั้นถ่ายไปเกือบ 7 รอบ ซึ่งถ่ายเนยอะไป
ก็ไม่ดีต่อแผลผ่าตัดเหมือนกันค่ะ ถ่ายวันละ 2 รอบคือเกินพอละ แต่ทำไงได้ หลังจากนั้นก็ไม่กล้ากินยาระบายเลยค่ะ 
กินแค่พรีไบโอติก กับยาที่หมอให้มา อาการทุกอย่างก็ตชค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ

ถึงตอนนี้ก็ครบ 2 อาทิตย์ ก็นัดไปติดตามแผลผ่าตัดและผลชิ้นเนื้อ แผลยังมีบวม ส่วนชิ้นเนื้อเป็นติ่งริดสีดวงธรมดา ไม่ได้มีเนื้อร้ายอะไร
ผลแทรกซ้อนอย่างอื่นไม่มีค่ะ ตอนนี้ก็ยังมีเจ็บแผลบ้าง โดยเฉพาะเวลาอึ๊ แต่ก็ถือว่าความเจ็บทุเลาลงไปมาก 
โชคดีเราไม่ค่อยมีเลือดหรือน้ำเหลืองซึม แต่จะมีเลือดซึมหลัง้างเล็กน้อยสามสี่วัน แต่ประจำเดือนมาซ้ำเติมหลังผ่าวันที่ 5 แย่หน่อย
ก็ใช้ผ้าอามัยแบบสอดเอาพอไหวค่ะ เเป้นกำลังใจให้คนที่ต้องทนทุกทรมานกับโรคนี้ ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะคะ

ถามถ้าย้อนเวลากลับไปจะผ่ามั๊ย ไม่ผ่าเด็ดขาดเพราะมันเจ็บจริงๆ ที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ แต่ผ่าแบบอื่นอาจจะไม่เจ็บก็ได้
แต่ของเราเป็นแบบภายนอก วิธีที่ดีที่สุดและลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้มากสุดก็ผ่าแบบธรรมดานี่แหละคะ เลยต้องทนเจ็บหน่อย
ผ่านมาได้ไม่มีผลข้างเคียงก็คือดีใจที่สุดแล้วค่ะ ไม่อยากคิดว่าถ้าเกิดมีภาวะรูทวารตีบ หรืออิ้นอุจาระไม่ได้จะแย่แค่ไหน
เผื่อเรื่องที่แชร์จะเป็นประโยชน์ กับการหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับตัวเองนะคะ

สุดท้ายการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ปลอดโรค ปลอดภัยนะคะ 
ไว้แผลหายดีจะมาอัพเดตอีกทีค่ะ ซึ่งน่าจะใช้เวลาเกือบเดือนถึงสองเดือนกว่าจะหายดีเป็นปกติ
ขอบคุณที่อ่านจนจบ ถึงตรงนี้ ยาวหน่อยนะคะ อมยิ้ม33
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่