สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวก่อนว่าเราเป็นนิสิตปี 2 ได้เข้าร่วมโครงการ work and travel ในปีนี้ (2567) เรากำลังจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาช่วงปลายเดือนนี้ (พฤษภาคม) ช่วงที่เราไปคือ summer วันนี้จึงอยากมาเขียนถึงโครงการนี้ครับ
โครงการ work and travel เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาในช่วงปิดเทอม ผู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้ต้องเป็นนักศึกษาที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยปิดเท่านั้น มีงานให้เลือกทำหลายที่ ตัวอย่างเช่นงานในคาสิโน, งานในโรงแรม, งานในอุทยานแห่งชาติ การสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ต้องทำผ่าน agency ที่ทางสถานฑูตสหรัฐอเมริกาให้การรับรองเท่านั้น ซึ่งพี่เจ้นมีทั้งทางฝั่งไทยและอเมริกา พี่เจ้นฝั่งไทยเป็นพี่เจ้นที่เราติดต่อด้วย ไม่ว่าจะเป็นปรึกษาการเลือกงาน หรือสอบถามข้อมูลโครงการ ดูแลเรื่องการสัมภาษณ์ visa พี่เจ้นฝั่งอเมริกา (US sponsor) มีหน้าที่จัดหางานในอเมริกา ช่วงเวลาที่โครงการนี้เปิดรับจะมี 2 ช่วงต่อปีคือ 7 มีนาคม – 7 กรกฎาคม (Spring break) และ 7 พฤษภาคม –7 กันยายน (Summer break) ซึ่งโครงการอนุญาตให้เราสามารถทำงานได้ถึง 4 เดือนและให้เราเที่ยวต่อหลังจบโครงการ 1 เดือน
รายละเอียดโครงการอย่างเป็นทางการ
ขอสรุปขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการตามรูปด้านล่างนี้ครับ ขั้นตอนการดำเนินของแต่ละ agency อาจไม่เหมือนกัน อันนี้อ้างอิงจาก agency ที่เราสมัคร
ขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการ
1. สมัครเข้าโครงการ เราสมัครเข้าร่วมโครงการเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว (2566) ก่อนล่วงหน้าเกือบ 1 ปี เลยทีเดียว ถ้าถามว่าสมัครตอนไหนดี คงต้องบอกว่ายิ่งสมัครเร็วยิ่งจ่ายค่าโครงการถูก ของเราจ่ายค่าโครงการทั้งสิ้นเกือบ 80,000 หากสมัครหลังจากนั้นค่าโครงการจะขยับขึ้นมาอีก เรามองว่าหากสมัครตั้งแต่โครงการเปิดรับสมัคร (เดือนพฤษภาคม) จนถึงปลายปีนั้น ค่าโครงการจะไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากสมัครใกล้ช่วงที่เราจะบินเท่าไหร่ ค่าโครงการจะยิ่งสูงขึ้น
2. วัดระดับภาษา หลังจากที่เราสมัครไปแล้วพี่เจ้นได้โทรมาวัดระดับภาษาเราโดยที่ไม่ได้แจ้งให้เราทราบล่วงหน้า พี่เจ้นโทรมาคุยเป็นภาษาอังกฤษ คำถามที่ถามเป็นคำถามพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น ชื่ออะไร, เรียนที่ไหน, ทำไมถึงอยากร่วมโครงการนี้ เป็นต้น ซึ่งหลังจากที่เราคุยเสร็จพี่เจ้นก็จะบอกเราเลยว่ามีระดับภาษาเท่าไหร่ ผ่านไหม (ระดับภาษาเป็นการประเมินที่ให้คะแนนเต็ม 10) ซึ่งผู้สัมภาษณ์เป็นคนพิจารณา
3. เลือกงาน
ระบบเลือกงาน
"คนมาก่อนย่อมมีสิทธิ์ก่อน" ระบบเลือกงานของพี่เจ้นของเราใช้ระบบมาก่อนได้ก่อน ทางพี่เจ้นจะทยอยลงงานบนเว็ปไซต์หากเราสนใจงานไหนเราก็เลือกงานที่เราต้องการ ทางพี่เจ้นจะเริ่มลงงานในระบบเยอะ ๆ ตอนเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ก่อนหน้านั้นจะยังไม่มีงานให้เราเลือกมาก หากเราเลือกไปแล้วเราไม่สามารถแก้ไขได้ เราต้องมั่นใจจริง ๆ หากมีงานใหม่เข้ามา แล้วเราสนใจงานนั้น เราไม่สามารถเปลี่ยนได้
สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกงาน (ไม่ได้เรียงตามลำดับความสำคัญนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราให้น้ำหนักกับสิ่งไหน)
1. ค่าแรงต่อชั่วโมง ค่าแรงต่อชั่วโมงจะเริ่มจาก 7.25$-20$ (อันนี้จขกท.เองไม่แม่น แต่อย่างไรก็ตามค่าแรงจะอยู่ประมาณช่วงนี้) บางงานอาจมี Tips ให้ บางงานไม่มี เราควรพิจารณาว่ารายรับทั้งหมดจากการทำงานเหมาะสมกับภาระงานที่ทำไหม
State Minimum Wages in 2024
2. ประเภทงาน มีงานให้ทำหลายประเภทตัวอย่างเช่นในโรงแรม, คาสิโน, อุทยานแห่งชาติ, ร้านอาหาร fast food, ร้านอาหาร, สวนสนุก, อุทยานแห่งชาติ เป็นต้น
สำหรับตำแหน่งงานนั้นเราขอยกตัวอย่างตำแหน่งงานในโรงแรมเนื่องจากเราเลือกงานนี้ มีตำแหน่งดังนี้ food and beverage, housekeeper, guest service ส่วนที่ว่าทำอะไรนั้น เมื่อเราไปทำงานแล้วเราขอกลับมาเขียนอีกทีครับ
3. ตำแหน่งของสถานที่ หากเราอยากอยู่ใกล้ความเจริญเราก็คงไม่เลือกงานที่ทำในอุทยานแห่งชาติ เราก็คงเลือกทำงานในเมืองใหญ่ แน่นอนว่าอาจทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นตามไป หากเราอยากทำงานที่ 2 (second job) เราก็ควรเลือกทำงานในรัฐที่เป็นเมืองซึ่งมีความหนาแน่นของประชากรเยอะกว่า ทำให้มีร้านให้เราเลือกทำงานเยอะเราอาจใช้ google street view ส่องที่ทำงานคร่าว ๆ ดูได้ว่าถูกใจเราไหม ปัจจัยเรื่องสถานที่จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึง
4. ค่าเช่าบ้าน บางงานนายจ้างจัดหาที่พักให้ บางงานเราต้องหาเอง หากเราหาเอง เราต้องไปเช่าบ้านหลังใหญ่แล้วหารกับเพื่อน ซึ่งเมื่อหารออกมาแล้วจะตกคนละ 50$-200$ ต่อสัปดาห์ บางงานนายจ้างให้ที่พักฟรี ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่นายจ้างจัดหาให้หรือเราหาเองค่าเช่าต่อคนควรจะอยู่ในช่วงที่กล่าวไป ค่าเช่าถูกเท่าไหร่ย่อมทำให้เรามีเงินเหลือเก็บเยอะเท่านั้น
5. การเดินทางจากที่พักไปที่ทำงาน หากที่พักของเราอยู่ใกล้ที่ทำงานเท่าไหร่ก็ยิ่งจะประหยัดเวลาชีวิตเราเท่านั้น บางงานจัดหาที่พักให้อยู่ในบริเวณเดียวกับที่ทำงานสามารถเดินถึงกันได้ บางงานต้องใช้ขนส่งสาธารณะ ไม่ก็ปั่นจักรยานมาที่ทำงาน ปัจจัยเรื่องการเดินทางก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญ
6. ภาษี (state tax) เงินได้ของเราของจะถูกหักเพื่อนำส่งภาษี ในแต่ละรัฐจะมีเปอร์เซ็นต์การหักที่ไม่เท่ากัน บางรัฐก็ไม่ถูกหัก หากเราถูกหักภาษีไปแล้ว เมื่อจบปีภาษี เราสามารถติดต่อทำ tax refund กับทาง agency จำนวนที่จะได้รับคืนนั้นขึ้นอยู่กับรัฐ ซึ่งเราพิจารณาว่าค่าดำเนินการคุ้มกับภาษีที่ได้คืนหรือไม่
states income tax
งานที่เราเลือก
เราเลือกงานในโรงแรมแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริด้า เมืองออร์แลนโด สาเหตุที่เราเลือกงานในเมืองนี้มาจากเมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศ มีสวนสนุก สวนน้ำ ที่มีชื่อเสียง เช่น Universal studio, Seaworld, Disney word อีกทั้งงานนี้นายจ้างของเราได้จัดห้องพักซึ่งเป็นห้องพักพนักงานให้เรา ค่าเช่าเพียงแค่ 50$ ต่อสัปดาห์ ถือว่าถูกมาก และรัฐฟลอริด้าไม่มีการหักภาษีเงินได้ ทำให้เราจะได้รับเงินเต็มจำนวน
4. สัมภาษณ์กับองค์กรแลกเปลี่ยน (US sponsor)
เราสัมภาษณ์กับทางองค์แลกเปลี่ยนผ่านทาง WhatsApp เป็นการ video call คุยสั้น ๆ ประมาณ 5 นาที คำถามที่เจอก็ถามประมาณว่าไปทำไม, ทำไมถึงอยากไป, ทำงานที่ไหน เป็นการพูดคุยสบาย ๆ ซึ่งตรงนี้ทาง agency ได้ให้เราเลือกตำแหน่งงานเรียงลำดับตามความสนใจ เราได้เลือก F&B staff>house keeper>guest service ทางองค์กรแลกเปลี่ยนจะพิจารณาว่าเราเหมาะกับตำแหน่งไหน หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ ผลสัมภาษณ์ก็ออกเราผ่านการสัมภาษณ์กับองค์กรแลกเปลี่ยนและได้ทำตำแหน่ง F&B staff
5. สัมภาษณ์กับนายจ้าง
หลังจากสัมภาษณ์กับองค์เสร็จ เราก็สัมภาษณ์กับนายจ้างกันต่อ เราก็สัมภาษณ์ผ่าน WhatsApp เหมือนเดิม ตอนสัมภาษณ์เป็นการพูดคุยสบาย ๆ นายจ้างของเราก็อธิบายว่าทำงานอะไร ต้องเตรียมอะไรบ้าง และเปิดโอกาสให้เราซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ หลังจากเราสัมภาณ์เสร็จจะมีเอกสารเซ็นสัญญาการทำงานมาให้เราเซ็น
6.สัมภาษณ์ VISA **สำคัญมาก
ทางสถานฑูตเปิดให้สัมภาษณ์ VISA ตั้งแต่เดือนมกราคม เราจองคิวและชำระค่า visa ประมาณปลายเดือนมกราคม ได้วันสัมภาษณ์ประมาณต้นเดือนมีนาคม ได้สัมภาษณ์เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น เพราะว่าถ้าเราสัมภาษณ์ไม่ผ่านรอบแรกเราจะมีเวลาเหลือให้ไปสัมภาษณ์อีก ประเภท visa ของโครงการนี้คือ J1
ustraveldocs เป็นระบบจอง visa ของสหรัฐอเมริกา เราต้องสมัคร visa เมื่อสมัครแล้วเราต้องนำบาร์โค้ดที่ได้จากเว็ปไซต์นี้ไปชำระเงินที่ธนาคารกรุงศรี ค่าธรรมเนียม J1 visa $185 คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 6-7,000 บาท (agency จะเป็นคนช่วยจองการสัมภาษณ์แบบกลุ่มให้)
ds-160 เป็นแบบฟอร์มที่กรอกข้อมูลส่วนตัวของแรา เหตุผลที่เราเดินทางเข้าอเมริกา สถานที่ทำงาน เมื่อกรอกเสร็จจะต้องใส่เลขอ้างอิง เราจะนำเลขอ้างอิงนี้ไปใส่ใน ustraveldocs
เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในวันสัมภาษณ์ (อันนี้ทาง agency ที่สมัครจะมาช่วยเช็คให้เราอีกที)
1. หนังสือเดินทางที่มาอายุอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป นับจากระยะเวลาที่อยู้สหรัฐอเมริกา
2. รูปถ่าย ตามที่ทางสถานฑูตกำหนด หากรูปเราไม่ผ่านข้างในสถานฑูตมีตู้ถ่ายรูปให้ถ่ายค่าธรรมเรียม 50 บาท (รับเฉพาะเงินสด เครื่องไม่ทอนเงิน)
รูปถ่ายที่ถูกต้อง
3. DS-2019 เป็นเอกสารที่ระบุวันเริ่มงาน จบงาน ทางองค์กรแลกเปลี่ยนเป็นผู้ออกให้
4. sevis เป็นเอกสารว่าเราชำระค่าบำรุง sevis แล้ว เราต้องจ่าย sevis แล้วพี่เจ้นจะเป็นคนชำระและจัดการให้เรา
5. ใบรับรองผลการศึกษาฉบับล่าสุด
เอกสารที่เตรียมไปเผื่อไปแสดงให้ท่านฑูต
1. หนังสือรับรองความเป็นนักศึกษา
2. statement เงินในบัญชีของผู้ปกครอง ทาง agency แนะนำว่าควรมีเกิน 100,000 บาท
อาจเตรียมอาจสารอื่น ๆ ไปให้ท่านฑูตเชื่อว่าเราจะกลับมาตามวันระบุ ไม่โดด visa
ขั้นตอนการเข้ารับการสัมภาษณ์
1. เตรียมตัวเข้าไปด้านใน ที่ประตูทางเข้าเจ้าหน้าที่จะติดสติ๊กเกอร์เลขติดตามพัสดุของไปรษณีย์ไทยที่ด้านหลังหนังสือเดินทาง เราควรถ่ายเลขติดตามพัสดุไว้ เพราะว่าเมื่อเราสัมภาษณ์ visa เสร็จหนังสือเดินทางจะอยู่กับสถานฑูตเพื่อพิมพ์ visa จากนั้นจะเป็นการฝากโทรศัพท์ ด้านในสถานฑูตไม่อนุญาตให้นำเครื่องมือสื่อสารเข้าไป สามารถเอกสารติดตัวไปได้เท่านั้น เราจึงไม่แนะนำให้ในวันสัมภาณ์นำสัมภาระมาเยอะ หากใครจำเป็นต้องพกมา สามารถฝากกับพี่เจ้นที่มาดูแลเราด้านนอกในวันสัมภาษณ์ได้
Wilberforce-เจ้าหน้าที่จะแจกแผ่นพับนี้ เป็นข้อมูลว่าด้วยสิทธิ์ที่เราพึงได้รับจากการไปทำงานในสหรัฐอเมริกา
2. เข้าไปด้านใน ขั้นแรกจะมีคนตรวจเอกสารว่าถูกต้อง ครบถ้วนไหม หากรูปไม่ผ่านต้องถ่ายกับตู้ด้านใน ต่อมาเป็นการแสกนลายนิ้วมือกับเจ้าหน้าที่ เสร็จแล้วก็จะได้ไปต่อแถวเพื่อรอสัมภาษณ์กับท่านฑูต
3. สัมภาษณ์กับท่านฑูต เราแอบตื่นเต้น ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน เรายื่นเอกสารให้ท่านฑูต ท่านฑูตถามเราว่าไปถามว่าไปทำงานอะไร เมืองไหน ทำไมถึงเลือกเมืองนี้ หลังจากนั้นก็ถามว่าอ่าน Wiberforce ที่แจกมาหรือยัง แล้วก็บอกว่า visa approved หนังสือเดินทางจะถูกจัดส่งมาตามที่อยู่ที่กรอกไว้ในระบบนัดสัมภาษณ์ visa หรือเลือกไปรับที่ไปรษณีย์รองเมือง ซึ่งเราเลือกไปรับ เราได้รับหนังสือเดินทางคืนหลังสัมภาษณ์ประมาณ 2 วัน
7.จองตั๋วเครื่องบิน
หลังจากที่ผ่านขั้นตอนข้างต้นแล้ว เราก็สามารถจองตั๋วเครื่องบินเพื่อที่จะเดินทางเข้าอเมริกาได้ โดยค่าตั๋วอยู่ที่ 30,000-50,000 ไปกลับ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่จอง ยิ่งจองก่อนบินนานเท่าไหร่ ราคาจะถูกเมื่อเทียบกับจองวันใกล้บิน
ค่าใช้จ่าย
เราขอแจกแจงตามตารางด้านบน ราคาของแต่ละคนอาจถูกหรือแพงกว่านี้ อันนี้อ้างอิงจากที่เราจ่ายไปครับ
เราขอจบกระทู้นี้ไว้เท่านี้ก่อน แล้วจะมาเขียนต่อถึง “สิ่งของที่เราเตรียมก่อนบินในกระทู้นี้” เนื่องจากตอนนี้เรายังไม่จัดกระเป๋า จึงไม่สามารถเขียนได้ และจะมารีวิวชีวิตตอนอยู่อเมริกาในกระทู้ถัดไป ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ หากมีข้อสงสัยหรืออยากเพิ่มข้อมูลตรงไหน สามารถคอมเมนต์ในกระทู้นี้ได้เลยครับ
Work and travel 2024 (summer) review : ก่อนออกเดินทางต้องผ่านอะไรบ้าง
โครงการ work and travel เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาในช่วงปิดเทอม ผู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้ต้องเป็นนักศึกษาที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยปิดเท่านั้น มีงานให้เลือกทำหลายที่ ตัวอย่างเช่นงานในคาสิโน, งานในโรงแรม, งานในอุทยานแห่งชาติ การสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ต้องทำผ่าน agency ที่ทางสถานฑูตสหรัฐอเมริกาให้การรับรองเท่านั้น ซึ่งพี่เจ้นมีทั้งทางฝั่งไทยและอเมริกา พี่เจ้นฝั่งไทยเป็นพี่เจ้นที่เราติดต่อด้วย ไม่ว่าจะเป็นปรึกษาการเลือกงาน หรือสอบถามข้อมูลโครงการ ดูแลเรื่องการสัมภาษณ์ visa พี่เจ้นฝั่งอเมริกา (US sponsor) มีหน้าที่จัดหางานในอเมริกา ช่วงเวลาที่โครงการนี้เปิดรับจะมี 2 ช่วงต่อปีคือ 7 มีนาคม – 7 กรกฎาคม (Spring break) และ 7 พฤษภาคม –7 กันยายน (Summer break) ซึ่งโครงการอนุญาตให้เราสามารถทำงานได้ถึง 4 เดือนและให้เราเที่ยวต่อหลังจบโครงการ 1 เดือน รายละเอียดโครงการอย่างเป็นทางการ
ขอสรุปขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการตามรูปด้านล่างนี้ครับ ขั้นตอนการดำเนินของแต่ละ agency อาจไม่เหมือนกัน อันนี้อ้างอิงจาก agency ที่เราสมัคร
ขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการ
1. สมัครเข้าโครงการ เราสมัครเข้าร่วมโครงการเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว (2566) ก่อนล่วงหน้าเกือบ 1 ปี เลยทีเดียว ถ้าถามว่าสมัครตอนไหนดี คงต้องบอกว่ายิ่งสมัครเร็วยิ่งจ่ายค่าโครงการถูก ของเราจ่ายค่าโครงการทั้งสิ้นเกือบ 80,000 หากสมัครหลังจากนั้นค่าโครงการจะขยับขึ้นมาอีก เรามองว่าหากสมัครตั้งแต่โครงการเปิดรับสมัคร (เดือนพฤษภาคม) จนถึงปลายปีนั้น ค่าโครงการจะไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากสมัครใกล้ช่วงที่เราจะบินเท่าไหร่ ค่าโครงการจะยิ่งสูงขึ้น
2. วัดระดับภาษา หลังจากที่เราสมัครไปแล้วพี่เจ้นได้โทรมาวัดระดับภาษาเราโดยที่ไม่ได้แจ้งให้เราทราบล่วงหน้า พี่เจ้นโทรมาคุยเป็นภาษาอังกฤษ คำถามที่ถามเป็นคำถามพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น ชื่ออะไร, เรียนที่ไหน, ทำไมถึงอยากร่วมโครงการนี้ เป็นต้น ซึ่งหลังจากที่เราคุยเสร็จพี่เจ้นก็จะบอกเราเลยว่ามีระดับภาษาเท่าไหร่ ผ่านไหม (ระดับภาษาเป็นการประเมินที่ให้คะแนนเต็ม 10) ซึ่งผู้สัมภาษณ์เป็นคนพิจารณา
3. เลือกงาน
ระบบเลือกงาน
"คนมาก่อนย่อมมีสิทธิ์ก่อน" ระบบเลือกงานของพี่เจ้นของเราใช้ระบบมาก่อนได้ก่อน ทางพี่เจ้นจะทยอยลงงานบนเว็ปไซต์หากเราสนใจงานไหนเราก็เลือกงานที่เราต้องการ ทางพี่เจ้นจะเริ่มลงงานในระบบเยอะ ๆ ตอนเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ก่อนหน้านั้นจะยังไม่มีงานให้เราเลือกมาก หากเราเลือกไปแล้วเราไม่สามารถแก้ไขได้ เราต้องมั่นใจจริง ๆ หากมีงานใหม่เข้ามา แล้วเราสนใจงานนั้น เราไม่สามารถเปลี่ยนได้
สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกงาน (ไม่ได้เรียงตามลำดับความสำคัญนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราให้น้ำหนักกับสิ่งไหน)
1. ค่าแรงต่อชั่วโมง ค่าแรงต่อชั่วโมงจะเริ่มจาก 7.25$-20$ (อันนี้จขกท.เองไม่แม่น แต่อย่างไรก็ตามค่าแรงจะอยู่ประมาณช่วงนี้) บางงานอาจมี Tips ให้ บางงานไม่มี เราควรพิจารณาว่ารายรับทั้งหมดจากการทำงานเหมาะสมกับภาระงานที่ทำไหม State Minimum Wages in 2024
2. ประเภทงาน มีงานให้ทำหลายประเภทตัวอย่างเช่นในโรงแรม, คาสิโน, อุทยานแห่งชาติ, ร้านอาหาร fast food, ร้านอาหาร, สวนสนุก, อุทยานแห่งชาติ เป็นต้น
สำหรับตำแหน่งงานนั้นเราขอยกตัวอย่างตำแหน่งงานในโรงแรมเนื่องจากเราเลือกงานนี้ มีตำแหน่งดังนี้ food and beverage, housekeeper, guest service ส่วนที่ว่าทำอะไรนั้น เมื่อเราไปทำงานแล้วเราขอกลับมาเขียนอีกทีครับ
3. ตำแหน่งของสถานที่ หากเราอยากอยู่ใกล้ความเจริญเราก็คงไม่เลือกงานที่ทำในอุทยานแห่งชาติ เราก็คงเลือกทำงานในเมืองใหญ่ แน่นอนว่าอาจทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นตามไป หากเราอยากทำงานที่ 2 (second job) เราก็ควรเลือกทำงานในรัฐที่เป็นเมืองซึ่งมีความหนาแน่นของประชากรเยอะกว่า ทำให้มีร้านให้เราเลือกทำงานเยอะเราอาจใช้ google street view ส่องที่ทำงานคร่าว ๆ ดูได้ว่าถูกใจเราไหม ปัจจัยเรื่องสถานที่จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึง
4. ค่าเช่าบ้าน บางงานนายจ้างจัดหาที่พักให้ บางงานเราต้องหาเอง หากเราหาเอง เราต้องไปเช่าบ้านหลังใหญ่แล้วหารกับเพื่อน ซึ่งเมื่อหารออกมาแล้วจะตกคนละ 50$-200$ ต่อสัปดาห์ บางงานนายจ้างให้ที่พักฟรี ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่นายจ้างจัดหาให้หรือเราหาเองค่าเช่าต่อคนควรจะอยู่ในช่วงที่กล่าวไป ค่าเช่าถูกเท่าไหร่ย่อมทำให้เรามีเงินเหลือเก็บเยอะเท่านั้น
5. การเดินทางจากที่พักไปที่ทำงาน หากที่พักของเราอยู่ใกล้ที่ทำงานเท่าไหร่ก็ยิ่งจะประหยัดเวลาชีวิตเราเท่านั้น บางงานจัดหาที่พักให้อยู่ในบริเวณเดียวกับที่ทำงานสามารถเดินถึงกันได้ บางงานต้องใช้ขนส่งสาธารณะ ไม่ก็ปั่นจักรยานมาที่ทำงาน ปัจจัยเรื่องการเดินทางก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญ
6. ภาษี (state tax) เงินได้ของเราของจะถูกหักเพื่อนำส่งภาษี ในแต่ละรัฐจะมีเปอร์เซ็นต์การหักที่ไม่เท่ากัน บางรัฐก็ไม่ถูกหัก หากเราถูกหักภาษีไปแล้ว เมื่อจบปีภาษี เราสามารถติดต่อทำ tax refund กับทาง agency จำนวนที่จะได้รับคืนนั้นขึ้นอยู่กับรัฐ ซึ่งเราพิจารณาว่าค่าดำเนินการคุ้มกับภาษีที่ได้คืนหรือไม่ states income tax
งานที่เราเลือก
เราเลือกงานในโรงแรมแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริด้า เมืองออร์แลนโด สาเหตุที่เราเลือกงานในเมืองนี้มาจากเมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศ มีสวนสนุก สวนน้ำ ที่มีชื่อเสียง เช่น Universal studio, Seaworld, Disney word อีกทั้งงานนี้นายจ้างของเราได้จัดห้องพักซึ่งเป็นห้องพักพนักงานให้เรา ค่าเช่าเพียงแค่ 50$ ต่อสัปดาห์ ถือว่าถูกมาก และรัฐฟลอริด้าไม่มีการหักภาษีเงินได้ ทำให้เราจะได้รับเงินเต็มจำนวน
4. สัมภาษณ์กับองค์กรแลกเปลี่ยน (US sponsor)
เราสัมภาษณ์กับทางองค์แลกเปลี่ยนผ่านทาง WhatsApp เป็นการ video call คุยสั้น ๆ ประมาณ 5 นาที คำถามที่เจอก็ถามประมาณว่าไปทำไม, ทำไมถึงอยากไป, ทำงานที่ไหน เป็นการพูดคุยสบาย ๆ ซึ่งตรงนี้ทาง agency ได้ให้เราเลือกตำแหน่งงานเรียงลำดับตามความสนใจ เราได้เลือก F&B staff>house keeper>guest service ทางองค์กรแลกเปลี่ยนจะพิจารณาว่าเราเหมาะกับตำแหน่งไหน หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ ผลสัมภาษณ์ก็ออกเราผ่านการสัมภาษณ์กับองค์กรแลกเปลี่ยนและได้ทำตำแหน่ง F&B staff
5. สัมภาษณ์กับนายจ้าง
หลังจากสัมภาษณ์กับองค์เสร็จ เราก็สัมภาษณ์กับนายจ้างกันต่อ เราก็สัมภาษณ์ผ่าน WhatsApp เหมือนเดิม ตอนสัมภาษณ์เป็นการพูดคุยสบาย ๆ นายจ้างของเราก็อธิบายว่าทำงานอะไร ต้องเตรียมอะไรบ้าง และเปิดโอกาสให้เราซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ หลังจากเราสัมภาณ์เสร็จจะมีเอกสารเซ็นสัญญาการทำงานมาให้เราเซ็น
6.สัมภาษณ์ VISA **สำคัญมาก
ทางสถานฑูตเปิดให้สัมภาษณ์ VISA ตั้งแต่เดือนมกราคม เราจองคิวและชำระค่า visa ประมาณปลายเดือนมกราคม ได้วันสัมภาษณ์ประมาณต้นเดือนมีนาคม ได้สัมภาษณ์เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น เพราะว่าถ้าเราสัมภาษณ์ไม่ผ่านรอบแรกเราจะมีเวลาเหลือให้ไปสัมภาษณ์อีก ประเภท visa ของโครงการนี้คือ J1
ustraveldocs เป็นระบบจอง visa ของสหรัฐอเมริกา เราต้องสมัคร visa เมื่อสมัครแล้วเราต้องนำบาร์โค้ดที่ได้จากเว็ปไซต์นี้ไปชำระเงินที่ธนาคารกรุงศรี ค่าธรรมเนียม J1 visa $185 คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 6-7,000 บาท (agency จะเป็นคนช่วยจองการสัมภาษณ์แบบกลุ่มให้)
ds-160 เป็นแบบฟอร์มที่กรอกข้อมูลส่วนตัวของแรา เหตุผลที่เราเดินทางเข้าอเมริกา สถานที่ทำงาน เมื่อกรอกเสร็จจะต้องใส่เลขอ้างอิง เราจะนำเลขอ้างอิงนี้ไปใส่ใน ustraveldocs
เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในวันสัมภาษณ์ (อันนี้ทาง agency ที่สมัครจะมาช่วยเช็คให้เราอีกที)
1. หนังสือเดินทางที่มาอายุอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป นับจากระยะเวลาที่อยู้สหรัฐอเมริกา
2. รูปถ่าย ตามที่ทางสถานฑูตกำหนด หากรูปเราไม่ผ่านข้างในสถานฑูตมีตู้ถ่ายรูปให้ถ่ายค่าธรรมเรียม 50 บาท (รับเฉพาะเงินสด เครื่องไม่ทอนเงิน) รูปถ่ายที่ถูกต้อง
3. DS-2019 เป็นเอกสารที่ระบุวันเริ่มงาน จบงาน ทางองค์กรแลกเปลี่ยนเป็นผู้ออกให้
4. sevis เป็นเอกสารว่าเราชำระค่าบำรุง sevis แล้ว เราต้องจ่าย sevis แล้วพี่เจ้นจะเป็นคนชำระและจัดการให้เรา
5. ใบรับรองผลการศึกษาฉบับล่าสุด
เอกสารที่เตรียมไปเผื่อไปแสดงให้ท่านฑูต
1. หนังสือรับรองความเป็นนักศึกษา
2. statement เงินในบัญชีของผู้ปกครอง ทาง agency แนะนำว่าควรมีเกิน 100,000 บาท
อาจเตรียมอาจสารอื่น ๆ ไปให้ท่านฑูตเชื่อว่าเราจะกลับมาตามวันระบุ ไม่โดด visa
ขั้นตอนการเข้ารับการสัมภาษณ์
1. เตรียมตัวเข้าไปด้านใน ที่ประตูทางเข้าเจ้าหน้าที่จะติดสติ๊กเกอร์เลขติดตามพัสดุของไปรษณีย์ไทยที่ด้านหลังหนังสือเดินทาง เราควรถ่ายเลขติดตามพัสดุไว้ เพราะว่าเมื่อเราสัมภาษณ์ visa เสร็จหนังสือเดินทางจะอยู่กับสถานฑูตเพื่อพิมพ์ visa จากนั้นจะเป็นการฝากโทรศัพท์ ด้านในสถานฑูตไม่อนุญาตให้นำเครื่องมือสื่อสารเข้าไป สามารถเอกสารติดตัวไปได้เท่านั้น เราจึงไม่แนะนำให้ในวันสัมภาณ์นำสัมภาระมาเยอะ หากใครจำเป็นต้องพกมา สามารถฝากกับพี่เจ้นที่มาดูแลเราด้านนอกในวันสัมภาษณ์ได้
Wilberforce-เจ้าหน้าที่จะแจกแผ่นพับนี้ เป็นข้อมูลว่าด้วยสิทธิ์ที่เราพึงได้รับจากการไปทำงานในสหรัฐอเมริกา
2. เข้าไปด้านใน ขั้นแรกจะมีคนตรวจเอกสารว่าถูกต้อง ครบถ้วนไหม หากรูปไม่ผ่านต้องถ่ายกับตู้ด้านใน ต่อมาเป็นการแสกนลายนิ้วมือกับเจ้าหน้าที่ เสร็จแล้วก็จะได้ไปต่อแถวเพื่อรอสัมภาษณ์กับท่านฑูต
3. สัมภาษณ์กับท่านฑูต เราแอบตื่นเต้น ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน เรายื่นเอกสารให้ท่านฑูต ท่านฑูตถามเราว่าไปถามว่าไปทำงานอะไร เมืองไหน ทำไมถึงเลือกเมืองนี้ หลังจากนั้นก็ถามว่าอ่าน Wiberforce ที่แจกมาหรือยัง แล้วก็บอกว่า visa approved หนังสือเดินทางจะถูกจัดส่งมาตามที่อยู่ที่กรอกไว้ในระบบนัดสัมภาษณ์ visa หรือเลือกไปรับที่ไปรษณีย์รองเมือง ซึ่งเราเลือกไปรับ เราได้รับหนังสือเดินทางคืนหลังสัมภาษณ์ประมาณ 2 วัน
7.จองตั๋วเครื่องบิน
หลังจากที่ผ่านขั้นตอนข้างต้นแล้ว เราก็สามารถจองตั๋วเครื่องบินเพื่อที่จะเดินทางเข้าอเมริกาได้ โดยค่าตั๋วอยู่ที่ 30,000-50,000 ไปกลับ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่จอง ยิ่งจองก่อนบินนานเท่าไหร่ ราคาจะถูกเมื่อเทียบกับจองวันใกล้บิน
ค่าใช้จ่าย
เราขอแจกแจงตามตารางด้านบน ราคาของแต่ละคนอาจถูกหรือแพงกว่านี้ อันนี้อ้างอิงจากที่เราจ่ายไปครับ
เราขอจบกระทู้นี้ไว้เท่านี้ก่อน แล้วจะมาเขียนต่อถึง “สิ่งของที่เราเตรียมก่อนบินในกระทู้นี้” เนื่องจากตอนนี้เรายังไม่จัดกระเป๋า จึงไม่สามารถเขียนได้ และจะมารีวิวชีวิตตอนอยู่อเมริกาในกระทู้ถัดไป ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ หากมีข้อสงสัยหรืออยากเพิ่มข้อมูลตรงไหน สามารถคอมเมนต์ในกระทู้นี้ได้เลยครับ